ซึ่งเรื่องมันแดงขึ้นมา เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ยอม เอาไปฟ้อง New York Times ลองคิดภาพถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่โวยวายขึ้นมาเขาก็จะเสียสิทธิ์ในการใช้ account ของเขา
แต่ตัวเราที่เป็นคนสร้างคอนเทนต์ต้องไปหาทาง monetize เอง เช่นการไปหาสปอนเซอร์ เลยเกิดคอนเซ็ปต์ web 3.0 ที่ว่า คนที่สร้าง value ควรจะเป็นเจ้าของ value นั้นด้วย
- Web 3.0 คือ read, write, own ซึ่งนิยามนี้ออกมาครั้งแรกจากคุณ Chris Dixon ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมทางด้านคริปโตของบริษัทชื่อ Andreessen Horowitz (a16z) ซึ่งเป็น venture firm ที่ดังและใหญ่มากๆ ที่สหรัฐอเมริกา เป็นบริษัทที่ลงทุนในธุรกิจที่เป็น groundbreaking มาโดยตลอด เช่น Netscape, Facebook, Paypal, Clubhouse
- เป็น decentralized social network ที่พยายามจะเข้ามาแข่งกับ Facebook แต่ตอนนี้ยังไม่มี adoption
*3. Bored Ape Yacht Club
- เป็นตัวอย่างของ web 3.0 และ DAO ที่เริ่มต้นจากการเป็น NFT แต่พอคนซื้อไปเยอะๆ ทำให้เกิด community ของคนที่ซื้อ BAYC และคนที่ถือก็อยากสร้าง value ให้ community นี้เยอะขึ้น เลยเกิด secret chat room ที่คุณจะจอยได้ถ้าคุณมีถือ BAYC เท่านั้น
- เนื่องจากคนที่ถือ BAYC ต่างเป็น influencer ดังๆ ของคริปโต ไม่ว่าจะเป็น VC หรือ founder ทำให้รูปลิงนี้มันมี value มากขึ้น เพราะคนที่ถือรูปลิงเขา contribute สิ่งที่มีมูลค่ากลับออกมาให้กับ society ทำให้คนอยากถือรูปลิงเพื่อเข้าไปจอย community นี้มากขึ้น
- นี่คือตัวอย่างว่าพอคนที่อยู่ใน web 3.0 เขา contribute สิ่งที่เป็น value แล้วสุดท้าย value ก็จะกลับมาหาตัวเขาเอง ต่างกับ web 2.0 ที่สมมุติเราโพสต์ Facebook ให้ตาย follower เยอะมาก คนที่ได้เงินคือ Facebook ถ้าเราอยากได้เงินต้องไปวิ่งหา sponsor เอง ทั้งๆ ที่คนที่ generate revenue ให้ Facebook ก็คือ user เองนี่แหละ
======================
6. ความแตกต่างระหว่างธุรกิจแบบ Traditional และ Web 3.0
- ธุรกิจแบบ Web 3.0 จะเปลี่ยนจาก business owner และ customer เป็น community แทน คนที่ใช้แพลตฟอร์มจะไม่ใช่แค่ user แต่เป็น creator หรือ contributor แล้วถ้าเขา create value ออกมา value มันจะกลับมาที่ community เป็นการทำให้ทุกคนอยู่ในเลเวลเดียวกัน community เดียวกัน
เพราะฉะนั้นตอนนี้ถ้าเราเข้าไปซื้อ Bored Ape Yacht Club เราก็อยู่ในเลเวลของคนที่ถือรูปลิงนี้เท่ากันทั้งหมดเลย อาจจะมีบางคนที่มี influence เยอะกว่า เพราะเขาอยู่มานานกว่า แต่สุดท้ายแล้ว ถ้าราคารูปลิงทั้งหมดมันขึ้น ทุกคนก็ได้ประโยชน์เหมือนกันหมด
======================
7. ความสัมพันธ์ระหว่าง Web 3.0 กับ DAO
======================
- D คือ Decentralized ส่วน AO คือ Autonomous Organization หรือองค์กรที่สามารถปกครองตัวเองได้ โดยไม่ได้มีกฎอะไรที่ไม่ได้ออกมาจากองค์กร แต่ไม่ได้หมายความว่าองค์กรนี้จะไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมายบ้านเมือง อาจจะเป็นความต้องการขององค์กรก็ได้ที่จะเชื่อฟังกฎหมาย ซึ่งจริงๆ มูลนิธิต่างๆ ก็ถือว่าเป็น AO แต่คำว่า D ที่ทำให้มันต่าง
- DAO มันเชื่อมโยงกับ web 3.0 ตรงว่า value ที่มัน create ออกมาเป็นการ create จาก creator หลายๆ คนที่เข้ามาในแพลตฟอร์ม สมมุติเราอยากทำ Facebook แบบ web 3.0 ที่ทุกคนอยากจะมา create value แล้วก็ capture value นั้นกลับไป
แต่สุดท้ายมันก็จะต้องมีคนรันเซิร์ฟเวอร์ คนเขียนโค้ด คนติดต่อกับบริษัทโฆษณาต่างๆ ก็เลยเป็น synergy ระหว่าง DAO กับ web 3.0 โดย DAO จะมาเป็นคนรัน operation ให้กับ web 3.0 แพลตฟอร์ม เพราะเราไม่อยากเชื่อใจให้บริษัทใดบริษัทหนึ่งมารันตรงกลาง
เพราะถ้าแบบนั้นมันก็จะไม่ต่างกับการใช้ web 2.0 ซึ่งพอเป็น DAO หมายความว่า user จะเป็นใครมาจากไหนก็ได้ที่มาช่วยรัน DAO ซึ่งแตกต่างกับองค์กรที่เป็น traditional business ทำให้ DAO น่าสนใจ แล้วก็มีการใช้ระบบ blockchain ช่วยในการ consensus ในการตัดสินใจ ช่วยเรื่องการโหวตในเรื่องต่างๆ
- DAO ค่อนข้างซับซ้อนแต่ก็น่าสนใจ ที่มันซับซ้อนเพราะมันมี potential เทคโนโลยีที่มันเปลี่ยนโลกก็คือเทคโนโลยีที่คุณฟังครั้งแรกแล้วคิดว่ามันไม่น่าจะเวิร์ค ถ้ามันเป็นเทคโนโลยีที่ฟังแล้วเข้าใจง่าย แปลว่าใครๆ ก็คิดได้
เป็นแค่การคลิก Yes หรือ No ซึ่งเป็น smart contract แต่ว่า process ทั้งหมดตั้งแต่การโพสต์ proposal, discussion มันไม่ใช่ smart contract เลยเป็นแค่ text forum ธรรมดา
- ถึงแม้เราจะมี web 3.0 service แล้ว มันก็จะยังมี web 2.0 layer อยู่ข้างล่าง ไม่ว่าจะเป็น Twitter ที่ใช้ในการ PR หรือ Discord ที่ใช้ในการคุยหรือสร้าง forum กัน
- คำว่า web 3.0 ส่วนใหญ่เวลาพูดแทบจะไม่ได้แตะ Bitcoin เพราะ Bitcoin เป็น store of value ของตัวมันเอง ส่วนใหญ่จะหมายถึงฝั่ง Ethereum และ chain ต่างๆ ที่สามารถเขียน smart contract ได้ ซึ่ง chain ต่างๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่เริ่มจะเปลี่ยนจาก Proof of Work ไปเป็น Proof of Stake หมดแล้ว หรือแม้แต่ตัว Etheruem เองสุดท้ายก็จะกลายไปเป็น Proof of Stake
ซึ่งหมายความว่าคนที่มีเหรียญเยอะกว่า ก็สามารถโหวตได้มากกว่า ซึ่งหมายความว่าถ้าผมมีเงินเยอะพอ ผมก็สามารถควบคุมแพลตฟอร์ม web 3.0 ได้ด้วยก็ซื้อเหรียญเยอะๆ ก็ยังเป็นข้อกังวลอีกอันนึงสำหรับ web 3.0 ว่าสุดท้ายแล้วที่เราอยากมุ่งไปทาง decentralize มันจะ decentralize ได้จริงๆ หรือเปล่า ถ้ามันสามารถโดน attack ด้วยการซื้อได้ ซึ่งวิธีการแก้ที่ง่ายที่สุดเลยก็คือทำให้การซื้อมันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำได้
- ในอดีต Justin Sun ที่จะเป็นเจ้าของ Tron Blockchain เคยทำ attack ด้วยการซื้อเหรียญ Steem จนกลายเป็น majority holder แล้วก็ไปเปลี่ยน tokenomics ให้พังทลาย แล้วก็ทะเลาะแตกกันออกมาเป็น 2-3 เหรียญ เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ก็ต้องรอดูกันว่าถ้า web 3.0 มันโตมากกว่านี้ แล้วมี value มากกว่านี้จะมีคนมาพยายาม atttack อีกหรือเปล่า
- ที่ User Experience ของ web 3.0 มันไม่ดี เพราะ web 3.0 มันให้ power กลับไปที่ user เยอะมาก ถ้าเทียบกับ web 2.0 ไม่ว่าจะเป็นการครอบครอง asset การใช้ hardware/software wallet การใช้ blockchain การจ่ายค่าแก๊สทั้งหลาย ถ้าคุณอยากใช้ decentralize money คุณก็จะสามารถทำได้ทุกอย่าง จะเอา private key ไปโพสต์แล้วให้คนขโมยเงินหมดเลยก็ได้ ไม่มีการห้าม
เพราะ power ทั้งหมดอยู่ที่คุณ พอ power อยู่ที่ user ทำให้ learning curve มันก็เลยสูงมาก เวลาจะเข้ามาใช้งาน จะมีคำศัพท์ที่ต้องเรียนรู้เยอะแยะไปหมด จริงๆ แล้วก็มีหลายๆ บริษัทที่พยายามจะเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาตรงนี้เพื่อให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น แต่ก็แน่นอนว่าถ้าเราไปใช้ solution พวกนั้น เราก็จะเสียสละคำว่า web 3.0 ที่แท้จริงออกไป
กลายเป็น hybrid ระหว่าง web 2.0 และ web 3.0 ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่แย่ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่อยากมาคีย์ข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตทุกขั้นตอน มันยาก
- อีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือมีโทรศัพท์ยี่ห้อหนึ่งชื่อ Fairphone เป็น smartphone ที่สามารถซ่อมและอัพเกรดด้วยตัวเอง ซื้อเฉพาะส่วนมาเปลี่ยนได้ สามารถ customize ได้ว่าอยากมีลำโพงประเภทไหน เลนส์ประเภทไหน เปลี่ยนได้ตามใจ ซึ่งมันก็ฟังดูดี แต่ไม่ค่อยมีคนใช้ เพราะการจะใช้ Fairphone มันยากกว่าปกติ มันให้ power กับ user เยอะมาก แต่ user อาจจะไม่ได้ต้องการ จริงๆ แล้ว user อาจจะต้องการแค่ความสะดวกสบาย
เพราะฉะนั้น web 3.0 ก็เลยเป็นสิ่งที่น่าสนใจว่า user ต้องการคำว่า own เยอะแค่ไหน เขาอาจจะไม่ต้องการก็ได้ อาจจะเป็นแค่คนในโลกคริปโตที่ make up this word ขึ้นมาเพื่อขายคริปโตของตัวเองก็ได้ ไม่มีใครรู้ แต่ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่จริง สุดท้ายมันต้อง scale ออกไปให้ได้ user experience ต้องดีกว่านี้ ต้องมี adoption เยอะกว่านี้ มันถึงจะไม่ตาย
- ลองคิดภาพดูสมมุติว่าธุรกิจของคุณคือขายน้ำปลา แล้วมี community ที่มีความคลั่งไคล้ในน้ำปลาของคุณเยอะมาก ถึงขนาดที่ยอมไปซื้อบิลบอร์ดเพื่อโฆษณาน้ำปลาของคุณ คุณก็สมควรที่จะให้รางวัลกับคนกลุ่มนี้ อย่าง K-POP ถ้าประเทศไหนที่มีบิลบอร์ดของศิลปินเยอะ ก็มีโอกาสที่ศิลปินจะมาแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศนั้นเยอะขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการให้รางวัลกับ community ในรูปแบบนึง
แต่ถ้าเป็นธุรกิจของเรา เราก็ควรหาวิธีที่จะตอบแทนรางวัล (reward) กลับไปที่ community ไม่ว่าจะเป็นด้านตัวเงินหรือชื่อเสียง เหมือนกับว่า marketing ที่ธุรกิจเราควรจะต้องทำ ตอนนี้จะ outsource ไปให้ community ทำแทน ถ้าสามารถเรา align value ของเรากับของ community ได้
- จะเห็นได้ว่าทั้งหมดนี่ยังไม่ได้แตะ blockchain เลย แต่ว่าเป็นสิ่งที่ธุรกิจทุกอันควรจะปรับตัวไปทางนั้น เลิกคิดว่าเราจะเป็นแค่ business owner กับ customer แต่จะทำยังไงถึงเกิดเป็น community ของคนที่คลั่งไคล้โปรดักของเรา
======================
11. ธุรกิจที่ Web 3.0 จะเข้ามาตอบโจทย์
=====================
- คิดว่าสุดท้ายแล้วหวังว่า web 3.0 จะตอบโจทย์ทุกธุรกิจ แต่ถ้าตอนนี้มีธุรกิจที่คิดว่า web 3.0 จะสามารถ disrupt ได้ก่อนคือ
*1. คอนเทนต์
- เพราะมันไม่จำเป็นต้อง interact กับโลก physical สมมุติเช่น Medium ผมเขียนบทความไป แล้ว Medium ก็ได้เงิน ผมไม่ได้อะไร เลยเกิดเป็น mirror.xyz ที่เกือบจะเป็น fully web 3.0 แล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องออนไลน์คอนเทนต์น่าจะเป็นเรื่องแรกที่จะโดน disrupt จาก web 3.0 ก่อน ให้เราสามารถสร้างคอนเทนต์ แล้วก็ให้ทุกคนในแพลตฟอร์มช่วยกันสร้าง network effect ขึ้นมา แล้ว value มันก็กลับมาที่เรา
- ซึ่งตรงนี้มีคนพยายามเคยทำแล้วชื่อ Steemit ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น Hype แล้ว เพราะโดน Justin Sun hard fork ไป เขาอยากเป็น medium ที่เป็น web 3.0 ที่มันยังไม่เกิดเพราะว่า UX/UI มันซับซ้อน แล้วก็มีเรื่อง tokenomics นู่นนี่นั่นเข้ามา เพราะฉะนั้นก็ยังรออยู่ว่าเมื่อไหร่จะเกิด web 3.0 ที่ใช้งานง่าย และมี value ที่สะท้อนกลับมาให้ content creator คิดว่านี้จะเป็นสิ่งแรกที่น่าจะโดน disrupt ก่อน
*2. เกม
- เกมจริงๆ เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก อย่างนึงที่เกิดขึ้นในโลก metaverse ก็คือเกมที่มาจาก web 2.0 ไปสู่ web 3.0
*1. Single experience เกมในสมัยแรกๆ ที่มี เช่น Mario ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากชาติไหน มาเล่น Mario ก็จะได้ประสบการณ์การเดียวกันคือ เหยียบหัวสัตว์ประหลาดหรือเก็บเห็ด
*2. Multiexperience เป็นเกมที่สามารถทำได้หลายอย่างในเกม ไม่ว่าจะเป็นพวกเกม RPG ต่างๆ พวก SimCity แต่ multiexperience ก็ยังลิมิตอยู่ที่ game studio เราจะมีประสบการณ์ยังไงก็ได้ ตราบใดที่อยู่ในกรอบที่ game studio วางไว้
*3. User-created experience เช่น Minecraft, Roblox พวกนี้บริษัทเกมแทบจะไม่ได้เขียนเกมแล้ว แค่เขียน game engine ออกมา แล้วให้ user ไปสร้างเองว่าอยากได้คอนเทนต์อะไร ซึ่งอันนี้ทำให้เกิดสิ่งที่น่าสนใจมากๆ เกิด experience ออกมาเยอะแยะมากมายมาก ซึ่งช่วยสร้างมูลค่าให้กับเกมตัวนั้นเยอะมาก แต่คนที่ capture มูลค่าตรงนี้ก็คือ บริษัทเกม ซึ่งเพราะมันคือเกมแบบ web 2.0
*4. Metaverse พอตอนนี้เรามี blockchain มี web 3.0 แล้ว เราสามารถมี user-created experience แต่ให้ value ที่ capture ได้กลับไปที่ user ได้ กลายเป็นโลกของ metaverse ขึ้นมา ซึ่งเรื่องเกมที่คิดว่าโลกของ web 3.0 จะเข้ามา disrupt ได้มากๆ เลย เพราะเกมเมอร์เป็นกลุ่ม community ที่ชอบการ create เห็นได้จาก การที่เกมเมอร์ออกมาสตรีม ออกมาเขียนโค้ด สร้างสูตรต่างๆ มีเยอะมากๆ