9 มิ.ย. 2022 เวลา 05:44 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
วิทยาศาสตร์ของความไม่ถูกชะตา
Photo by Markus Spiske on Unsplash
ในภาษาไทยมีคำว่า “ไม่ถูกชะตากัน” ที่ใช้อธิบายการที่เรารู้สึกไม่ชอบหน้าทั้งที่อาจจะไม่ได้รู้จักกันเป็นส่วนตัว แค่มองเห็นผ่านๆ หรือเพิ่งได้พบกันครั้งเพราะหน้าที่การงาน หรือเพราะเพื่อนฝูงแนะนำให้รู้จัก
แอปพจนานุกรมของราชบัณฑิตสภาให้ข้อมูลไว้ว่า
ชะตาคือ “ลักษณะหรืออัธยาศัยบางอย่างที่ทำให้รู้สึกชอบหรือไม่ชอบตั้งแต่แรกพบกัน เช่น ถูกชะตากัน ไม่ถูกชะตากัน, ลักษณะที่บังเกิดสำแดงเหตุดีและร้าย เช่น ชะตาดีชะตาร้าย, ชาตา ก็ว่า.”
นิยามได้ชัดเจนดีทีเดียว
วิทยาศาสตร์มีคำอธิบายปรากฏการณ์เช่นนี้หรือไม่?
มีความพยายามอธิบายเรื่องนี้มากพอสมควรทีเดียว
Photo by Mattia Ascenzo on Unsplash
ข้อเท็จจริงที่พบก็คือ การไม่ถูกชะตากันเป็นเรื่องเกิดขึ้นจริง
แต่สัญชาตญาณเมื่อแรกพบก็ไม่ได้จำเป็นต้องอยู่ยืดยาวเสมอไป หากนึกดูให้ดี คุณอาจจะนึกออกว่ามีบ้างบางคนที่คุณไม่ชอบขี้หน้าแต่แรกเจอ แต่ภายหลังกลับกลายมาเป็นเพื่อนหรือแม้แต่คู่รักก็ยังมี
เรื่องน่าขันก็คือคนเราไม่ชอบหน้ากันง่ายมากจริงๆ เช่น มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งใน ค.ศ. 2012 ที่ทำให้รู้ว่า แค่คุณมีนามสกุลที่อ่านยากกว่าอีกคน เช่น Vougiouklaki กับ Leszczynska เทียบกับที่อ่านง่ายกว่าคือ Lazaridis หรือ Paradowska ก็เพียงพอจะทำให้คนอื่นรู้สึกในทางลบกับคุณได้แล้ว
อีกกรณีหนึ่งคือ ในตอนเข้าสัมภาษณ์งาน แค่ทักทายเชคแฮนด์ไม่หนักแน่น ก็พอจะทำให้ว่าที่นายจ้างรู้สึกว่า น่าจะจ้างคุณน้อยกว่าคนที่จับมืออย่างตั้งอกตั้งใจแล้ว
เรื่องไม่ถูกชะตานั้น คำอธิบายหลักอย่างหนึ่งที่ฟังแล้วมีเหตุมีผลทีเดียวได้แก่ คนๆ นั้นทำให้คุณรู้สึกหรือคิดไปถึงคนอีกคน ซึ่งคุณเคยมีประสบการณ์แบบร้ายๆ ด้วยในอดีต
การคล้ายกันแบบนี้เป็นไปได้ทั้งเรื่องรูปร่างหน้าตาและกิริยาท่าทาง ปฏิกิริยาแบบนี้อาจชัดเจนจนคุณเองก็รู้สึกหรือเข้าใจได้ หรือเล็กน้อยมากจนคุณไม่อาจอธิบายได้
ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ หากคุณกับคนๆ นั้นแตกต่างกันมากในหลายๆ ทาง ก็มีโอกาสที่จะไม่ชอบหน้ากันมากขึ้นไปด้วย
Photo by Andre Hunter on Unsplash
แต่เรื่องนี้ก็มีข้อยกเว้นนะครับ
เราเจอเพื่อนหรือคู่รักที่แตกต่างกันอย่างกับอะไรดี แต่ก็คบกันได้อย่างยืดยาว เพราะต่างก็เคารพในความแตกต่างเหล่านั้น และความแตกต่างนั้นกลับเหมือนเป็นส่วนเติมเต็มให้แก่กัน
เวลาที่เจอคนที่แตกต่างกันมากๆ แบบนี้ แล้วมีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ก็อาจจะเพิ่มโอกาสการไม่ชอบหน้าได้ง่ายๆ หากวิธีปฏิบัติต่อคนอื่นแตกต่างกันมาก ทั้งการดื้อรั้นจะเอาชนะ การไม่ฟังอย่างตั้งใจ และการทำตัวราวกับเหนือกว่าทั้งๆ ที่ความจริงอาจไม่ใช่เช่นนั้นเลย
ฏิกิริยาพวกนี้กระตุ้นอารมณ์โกรธเกลียดได้ง่ายมาก
บางทีอคติหรือการเหยียดบางอย่างก็ส่งผลมาก เช่น ครอบครัวคนจีนสมัยก่อนจะไม่ค่อยชอบใจที่ลูกชายหรือลูกสาวจะไปคบกับสาวหรือหนุ่มที่หน้าตาท่าทาง “ไทยมากๆ” เช่น ผิวเข้มกว่าหรือมีโครงของใบหน้าที่แตกต่างออกไป หรือแม้แต่เป็นคนในตระกูลไทยล้วน
การแสดงออกทางสีหน้าท่าทางว่าชอบหรือไม่ชอบ ก็ส่งผลให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกและรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว
มีงานวิจัยที่ชี้ว่า หากเราหวังจะให้ใครยอมรับเรา เราควรทำตัวดีกับคนนั้นๆ เพื่อเพิ่มโอกาสให้คนนั้นชอบเรา มีชื่อเรียกปรากฏการณ์แบบนี้ด้วยว่า “การชอบแบบต่างตอบแทน (Reciprocity of Liking)” ซึ่งเรานำมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้
กล่าวคือหากเราต้องการให้คนที่เพิ่งพบหน้าชอบเรา ให้ทำตัวราวกับเราชอบเขา ก็จะมีโอกาสมากขึ้นที่เขาจะชอบเราด้วย
Photo by Dan Edge on Unsplash
ผลลัพธ์ตรงกันข้ามเวลาไม่ชอบใครก็เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
การยิ้มทำให้รู้สึกเป็นมิตร และมีผลทำให้คนชอบหรือไม่ชอบเราได้อย่างชัดเจนเช่นกัน มีการทดลองที่ทำให้รู้ว่า เด็กนักศึกษาที่เล่นบทบาทอวตารตัวเองในอินเทอร์เน็ต จะชอบฝ่ายตรงข้ามมากกว่า หากอวตารของฝ่ายนั้นส่งยิ้มหน้าบานให้มากกว่า
แถมยังมีการพิสูจน์ด้วยว่า รอยยิ้มทำให้คนอื่นจดจำเราได้มากกว่าหน้าเฉยๆ ไม่ยิ้มอีกด้วย
Photo by Sydney Sims on Unsplash
อีกสาเหตุได้แก่ การที่คนทั่วไปหรือแม้แต่คนเก่งๆ หรือคนดีๆ จำนวนหนึ่งดูจะขัดหูขัดตาชาวบ้าน อาจเพราะคนเหล่านี้ที่ไม่มีทักษะการเข้าสังคมมากนัก หรืออาจจะไม่แคร์เรื่องพวกนั้นก็ได้
แต่ความแตกต่างในเรื่องการยึดถือบรรทัดฐานสังคมแบบนี้แหละครับที่ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ถูกชะตาได้ในทันทีที่พบเห็นทีเดียว
จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องน่าเสียดายทีเดียว
คนอีกจำพวกหนึ่งทีขัดหูขัดตาชาวบ้านมากก็คือ พวกที่ทำตัวเลียนแบบคนดังมากๆ จนดูน่ารำคาญ หรือทำตัวประเภทยกตนข่มท่าน อวดโอ่แบบต่างๆ มีตั้งแต่การอ้างว่าเคยรู้จักหรือคุ้นเคยกับคนดังหรือเซเลบบางคน
อาการแบบนี้มันไปกระตุ้นจิตใต้สำนึกของคนที่ต้องพบเจอและทำให้ไม่ชอบใจ
เรื่องนี้ครอบคลุมทั้งวิธีการพูดจาก ภาษากาย และการแต่งตัวทีเดียว เช่น พูดไปก็เชิดหน้าหรือมองแบบจิกอยู่ตลอดเวลา จนดูเหมือนพยายามทำตัวเหนือกว่าทั้งๆ ที่บางครั้งก็แค่เป็นบุคลิกไม่ดีประจำตัวแค่นั้น
อาการกร่างแบบนี้ก็กระตุ้นความรังเกียจได้มากครับ
ในภาษาอังกฤษมีคำว่า Humblebragging ที่หมายถึง การอวดโอ่ (brag) ที่ซ่อนมากับการถ่อมตัว (humble)
เช่น การกล่าวถึงรูปร่างหุ่นตัวเองที่ออกกำลังกายมาอย่างดี จนดูเหมือนนายแบบนางแบบ แต่กลับพูดว่าช่วงนี้อ้วนจัง หรือการอวดรูปกระเป๋าราคาหลักแสนพร้อมกับพูดว่า เขินๆ ที่จะใช้งาน เพราะไม่เคยใช้ของแพงอย่างนี้มาก่อนเลย
Photo by Markus Spiske on Unsplash
มีงานวิจัยที่ทำให้รู้ว่าเมื่อได้รับคำสั่งให้เขียนถึงจุดอ่อนของตัวเอง มีนักศึกษาที่เป็นอาสาสมัครเข้าร่วมการทดลองราว 3/4 ของทั้งหมดที่เขียนอวดโอ่ในรูปแบบนี้ เช่น ผมเป็นคนชอบความสมบูรณ์แบบ หรือดิฉันเป็นคนที่ทำงานหนักเกินไปเสมอ
บางคนก็เลี่ยงไปเขียนถึงจุดอ่อนที่ไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัครงาน
เช่น สมัครงานที่ต้องขีดเขียนบทความ แต่เขียนจุดด้อยลงไปว่าเป็นคนเกลียดการพูดต่อหน้าผู้คน เป็นต้น
อันที่จริงผลลัพธ์ไม่ได้เป็นตามที่พวกนี้คาดเดาเท่าไหร่ เพราะพวกนายจ้างมักจะเลือกจ้างผู้สมัครที่เขียนตอบอย่างจริงใจตรงไปตรงมามากกว่า เช่น คนที่ตอบว่าผมไม่ได้จัดแจงทุกเรื่องให้ดีได้ตลอดเวลา หรือบางครั้งดิฉันก็ตอบสนองกับสถานการณ์แบบเกินกว่าเหตุไปบ้าง
อีกอุปนิสัยที่งานวิจัยพบว่าทำให้คนไม่ค่อยสบอารมณ์คือ การซอกแซกถามอีกฝ่ายอย่างล้วงลึกประวัติกันในครั้งแรกที่พบปะกัน โดยเฉพาะหากตัวคนนั้นไม่แบ่งปันข้อมูลฝั่งตัวเองออกมาด้วย
ดังนั้น คนที่ไม่เก่งในการเข้าสังคม และบางทีใช้การตั้งคำถามกับคนอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความอายหรือความกระวนกระวายใจของตัวเอง ก็ได้โปรดรู้ว่านี่ไม่ใช่วิธีการที่ดีเลย และมักนำไปสู่การเริ่มต้นที่แย่
หัวข้อที่แบ่งปันได้ง่ายและเหมาะสมกว่าคือ การคุยเรื่องงานอดิเรกและความชอบในวัยเยาว์ครับ
ข้อสังเกตที่ผมว่าน่าสนใจที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือ มีการทดลองที่แสดงให้เห็นว่า คนที่แสดงตัวเองว่าเป็นคนเอื้อเฟื้อและดีต่อคนอื่นเมื่อแรกพบ “มากจนเกินไป” ราวกับเป็นพ่อพระแม่พระที่ไม่มีความเห็นแก่ตัวอยู่เลย มักจะทำให้คนอื่นระแวง และตั้งข้อสงสัยว่าเป็นคนดีจริงๆ หรือแกล้งทำ
จนในที่สุดคนส่วนใหญ่จะรู้สึกไม่วางใจและไม่ชอบคนแบบนี้
อ่านมาถึงตรงนี้ คงพอเห็นได้ว่าเรื่อง “ชะตาไม่ต้องกัน” นั้นมีอยู่จริงและหลายครั้งก็เกิดได้ง่ายดายเหลือเกิน โดยเหตุผลใหญ่ๆ เกิดจากความแตกต่างในเรื่องความคิด มุมมอง และอุปนิสัยบางอย่าง
อย่างไรก็ตาม การระมัดระวังจุดอ่อนบางอย่างก็อาจช่วยแก้ไขหรือปิดจุดอ่อนเหล่านี้ได้ ลดคนไม่ชอบหน้าแต่แรกพบได้
แม้บางเรื่องอาจจะแก้ไขยากหน่อย เช่น นามสกุลอ่านยาก ในวงการถึงได้ตั้งชื่อนามสกุลกันให้ใหม่เป็นแบบสั้นๆ จำได้ง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม การปรับแก้ไขให้การไม่กินเส้นลดลง และคบกันหรือทำธุรกิจร่วมกันได้ในระยะยาว ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
โฆษณา