Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
t
tt
•
ติดตาม
9 มิ.ย. 2022 เวลา 07:47 • การศึกษา
ปัญญาทางโลกและปัญญาทางธรรมต่างกันอย่างไร และจะพัฒนาได้อย่างไร ?
ในความคิดผม ปัญญาทางโลกและปัญญาทางธรรม ควรจะเป็นตัวเดียวกัน นั่นคือความจริงของธรรมชาติเป็นอย่างไร มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น นั่นคือเป็นความจริงแท้ ไม่ว่าจะมองมุมไหนไม่ว่าในทางโลกหรือทางธรรมก็จะจริงเสมอ แต่ปัญหาคือธรรมชาติได้สร้างการรับรู้ของมนุษย์ให้อยู่ในขอบเขตหนึ่ง ที่ไม่สามารถก้าวไปรับรู้ความจริงของธรรมชาติในระดับสูงได้ เช่น สร้าง ตา หู จมูก สัมผัสให้เห็นและรับรู้เฉพาะที่ตัวเองเห็นและสัมผัสได้
จึงจะเชื่อว่ามีอยู่จริง และสร้างอวิชชา กิเลส ตัณหา ให้มนุษย์ยึดติดและหลงอยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หลงในตัวตน ยึดมั่นถือมั่นอย่างเหนียวแน่นและเชื่อว่าตัวตนนี่แหละคือความจริงสูงสุดและก็พัฒนาสติปัญญาไปในทางรับใช้ตัวตน เพราะไม่สามารถเข้าใจความจริงของธรรมชาติที่ไม่มีตัวตนได้ พูดง่ายๆว่าธรรมชาติหลอกให้มนุษย์เชื่อว่าเรามีตัวมีตน เพื่อให้อยู่ในกรอบของการยึดมั่นถือมั่นตลอดกาล
แต่ในทางศาสนา เขาพัฒนาปัญญาในอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถเข้าถึงความจริงของธรรมชาติในระดับสูงสุด ที่ไม่สามารถใช้วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ ปัญญาทางโลกกับทางธรรม จึงแยกตัวออกจากกัน กลายเป็นคู่อริ คู่ความขัดแย้ง ที่อีกฝ่ายก็ไม่เชื่อในอีกฝ่าย เกิดเป็นปัญญาทางโลกและปัญญาทางธรรม
แต่ถ้าเกิดมีนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ แบบไอน์สไตน์สงสัยว่า ปัญญาทางโลกกับทางธรรม ควรจะเป็นตัวเดียวกัน และสามารถคิดค้นสมการพิสูจน์ได้ เช่นเรื่องตัวตนหรืออัตตา ที่เราเชื่อว่ามีอยู่จริง เราจึงเห็นวัตถุมีตัวตน เป็นก้อน จับต้องได้ แต่นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะผู้นั้นสามารถคิดค้นเครื่องมือกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนระดับซูมลงไปในระดับล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆเท่า
ส่องที่ตัวตนของเราลงไปและซูมดูลึกที่สุดในระดับสเกลของแพลงค์ ( ระดับที่เล็กที่สุดของอนุภาค) จะเห็นว่าวัตถุสิ่งของกลายเป็น โมเลกุล สสาร ธาตุ อะตอม ควากซ์ เล็ปตรอน โบซอน และเป็นเส้นสตริงที่สั่นไปมาในที่ว่าง และหายไปชั่วขณะและโผล่ขึ้นมาใหม่ และหายไปอีกและโผล่กลับมาในที่ว่าง นั่นคือส่วนที่เล็กที่สุดของตัวตนของเรา ไม่มีตัวตนซักกะหน่อย มันมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อยู่ตลอดเวลา
สสารและพลังงานโดยนัยคือสิ่งเดียวกัน มันมีการเปลี่ยนรูปกันกลับไปกลับมา ตลอดเวลาในระดับเล็กมากโดยที่ ตาเรามองไม่เห็นในระดับเสกลใหญ่ๆ
เหมือนกับที่กล่าวไว้ในกฏของไตรลักษณ์ ( อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา) ซึ่งเป็นปัญญาทางธรรมที่ค้นพบมาก่อนแล้ว จะเห็นว่าปัญญาทั้งสองแบบ วิ่งลู่เข้าหากันในความจริงที่เป็นหนึ่งเดียว โดยที่ไม่มีการแบ่งแยกอีกต่อไป
ถ้าถามผมว่าจะพัฒนาต่อไปยังไง การพัฒนา ปัญญาทางโลกกับทางธรรมควรจะทําคู่ขนานกันไป ต่างส่งเสริมซึ่งกันและกัน โดยไม่ขัดแย้งกัน ส่วนที่ไม่ใช่ปัญญาทางธรรมหรือเปลือกที่ไม่ใช่แก่นหรือสิ่งแปลกปลอมก็ช่วยกันขจัดทิ้งไป เช่นพวกไสยศาสตร์ อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ทรงเจ้า บูชาวัตถุ เพราะปัญญาทางโลก เขาอาจเข้าใจผิดว่าคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญญาทางธรรม ซึ่งเป็นอันตรายสร้างความขัดแย้ง โต้เถียงในเรื่องที่ไม่ใช่สาระ
เราควรจะส่งเสริมปัญญาทางโลกในด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีให้เจริญก้าวหน้าถึงขีดสูงสุด สามารถศึกษาลงไปถึงเรื่องจิตวิญญาณของมนุษย์และนามธรรมต่างๆ จนเข้าใจละเอียด แจ่มแจ้ง ส่วนปัญญาทางธรรมก็ส่งเสริมการเรียนปริยัติ ( ความรู้ทางธรรม) ควบคู่ไปกับปฏิบัติ ( สมาธิภาวนา) ขจัดสิ่งแปลกปลอมออกไปโดย แพร่กระจายความรู้สู่ศาสนิกชนให้มากๆ สุดท้ายปัญญาทางโลกกับทางธรรมจะมาบรรจบกันเอง ถึงมันจะใช้เวลานานแสนนานก็ตาม
บันทึก
4
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย