9 มิ.ย. 2022 เวลา 14:14 • หุ้น & เศรษฐกิจ
หุ้น Amazon จะกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งไหม?
เมื่อช่วงปลายปี 2020 หุ้นอีคอมเมิร์ซที่ได้ประโยชน์จากการปิดเมืองอย่าง Amazon ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นจนมีมูลค่าตลาดสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก
อย่างไรก็ตามหลังจากมีการเปิดเมือง ต้นทุนของบริษัททั้งค่าใช้จ่ายด้านโกดังสินค้าและพนักงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก การที่บริษัทเร่งขยายกิจการในช่วงโควิดจนกลายเป็นภาระที่ต้องแบกไว้สูงถึง $2,000 ล้าน และได้ทำให้กำไรในไตรมาสล่าสุดลดลง
2
แล้ว Amazon ยังมีโอกาสในการฟื้นตัวกลับมาได้อีกครั้งหรือไม่ ด้วยเหตุผลใด เรามาวิเคราะห์ธุรกิจกัน
Amazon ประกอบธุรกิจหลักๆ อยู่ 2 ส่วน
1.ค้าปลีก: ขายสินค้าออนไลน์ทางเว็บไซต์ Amazon.com มีทั้งสินค้าที่บริษัทขายเอง และสินค้าที่บริษัทคู่ค้า (3rd party) มาวางขาย ปัจจุบันสัดส่วนของ 3rd party สูงถึง 55% ช่วยสเกลธุรกิจ รวมทั้งเพิ่มมาร์จิ้นให้ดีขึ้นอีกด้วยเพราะไม่มีต้นทุนในการบริหารจัดการสินค้า
3
นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่ Amazon ผลิตขึ้นมาด้วยการวิจัยและพัฒนาขึ้นมาเอง ได้แก่ Amazon Alexa, Music, Kindle E-Book
มี Prime Member ที่สมาชิกต้องจ่ายเงิน $139 ต่อปี เพื่อที่จะได้บริการส่งของฟรีภายใน 2 วันไม่จำกัดจำนวน รวมทั้งยังสามารถดูหนังและฟังเพลงได้ฟรีไม่จำกัดจากบริการของ Prime Video และ Prime Music
1
ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกกว่า 200 ล้านคน ได้เงินเข้ามาทุกปีกว่า $25,000 ล้าน
นอกจากนี้ยังมีห้าง Whole Foods Market ซึ่งขายสินค้าของชำที่ซื้อกิจการเข้ามาในปี 2017
2.ธุรกิจให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง Amazon Web Services (AWS) ที่ให้บริการ เซิร์ฟเวอร์ การเก็บข้อมูล ระบบบิ๊กเดต้า และเอไอ ปัจจุบันเป็นธุรกิจดาวเด่นของ Amazon ที่มีการเติบโตสูงมาอย่างต่อเนื่อง
รายได้ไตรมาสที่ 1 ปี 2022 อยู่ที่ $18,440 ล้านเติบโต 37% YoY ลดลงจากไตรมาสเเรกที่เติบโต 39.5% YoY ตอนนี้ AWS กลายเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ปีละ $80,000 ล้านไปแล้ว
แม้ว่ารายได้ของ AWS จะเป็นสัดส่วนเพียง 16% ของรายได้ทั้งหมดของ Amazon แต่กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Income) ที่สูงถึง $6,520 ล้านก็ช่วยให้ Amazon โดยรวมอยู่ที่ $3,670 ล้าน ถ้าไม่มี AWS โดยรวมบริษัทขาดทุนจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
3.ธุรกิจโฆษณา จากบทวิเคราะห์ของ Junglescout ระบุว่า 74% ของคนที่กำลังจะซื้อของออนไลน์ไปค้นหาข้อมูลสินค้าบน Amazon เป็นแพลตฟอร์มแรก นอกจากนี้ยังคาดว่ารายได้โฆษณาของบริษัทจะอยู่ที่ $85,000 ล้านภายในปี 2026 เติบโตปีละ 22% แบบทบต้นซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 14.3%
นอกจากนี้บริษัทยังมีการลงทุนในธุรกิจ Health Care และลงทุนในรถอีวีอย่าง Rivian โดยถือหุ้นอยู่ถึง 18.1% คาดว่าธุรกิจทั้งสองจะถูกขับเคลื่อนด้วยธุรกิจโลจิสติกส์ที่สำคัญของบริษัท
#สรุปสิ่งที่โดดเด่นจาก Morningstar
1
🔹 ธุรกิจอีคอมเมิร์ซยังโดดเด่นและแข็งแกร่ง มี Gross Merchandise Volume (GMV) หรือมูลค่าการซื้อขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มสูงถึง $580,000 ล้านในปี 2021 แซงหน้า Walmart ขึ้นเป็นที่หนึ่งแล้ว บริษัทยังมีโอกาสเติบโตในธุรกิจนี้มากเนื่องจากสัดส่วนซื้อสินค้าออนไลน์ในอเมริกายังอยู่เพียงแค่ 19% ในปี 2021
1
🔹 ธุรกิจของ Amazon Web Services (AWS) ยังสามารถเติบโตได้ 25% ในอีก 5 ปีข้างหน้า แม้ว่ารายได้จะเป็นเพียง 16% ของรายได้ทั้งหมด แต่กำไรจากการดำเนินงานดีมากๆเมื่อเทียบกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ คาดว่าคลาวด์จะเป็นธุรกิจเรือธงไปอีก 10 ปีข้างหน้า
1
🔹 ธุรกิจโฆษณาโตขึ้นมาอย่างเงียบๆ สร้างรายได้กว่า $32,000 ล้านต่อปี โดยทาง Morningstar เชื่อว่าด้วยจำนวนเดต้าของลูกค้าที่มีอยู่มหาศาล เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค รวมทั้งมีระบบเอไอจาก AWS มาช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการกำหนดกลุ่มเป้าหมายและวัดผลทางการตลาด เชื่อว่า Amazon มีคูเมืองที่แข็งแกร่งที่จะแข่งกับ Google และ Facebook ได้
1
🔹 มีโอกาสเติบโตในธุรกิจใหม่ เช่น ร้านขายยาที่มีขนาดตลาดใหญ่ถึง $75,000 ล้าน นอกจากนี้ยังสามารถนำข้อมูลลูกค้ามาวิเคราะห์แบบบิ๊กเดต้าเพื่อให้บริการด้านสุขภาพและการเเพทย์อีกด้วย
#ความแข็งแกร่งของธุรกิจ
Morningstar วิเคราะห์ว่า Amazon มีคูเมืองที่แข็งแกร่งมากดังนี้
🔹 Network effect ยิ่งคนเข้ามาซื้อของในแพลตฟอร์มมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีร้านค้าเข้ามาขายของมากขึ้นเท่านั้น ทำให้มีคูเมืองแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ
🔹 Cost advantages ด้วยสเกลขนาดใหญ่จึงทำให้มีอำนาจในการต่อรองสูงจึงบริหารจัดการต้นทุนได้ดีกว่าคู่แข่ง
🔹 Intangible Assets มีเทคโนโลยีอย่าง AWS และเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
🔹 Switching costs ต้องยกให้ AWS ที่มีความแข็งแกร่งในจุดนี้มาก องค์กรธุรกิจใช้งานแล้วยากที่จะย้ายออกเพราะเชื่อมต่อเข้ากับระบบขององค์กรไว้หมด
🔹 นอกจากนี้มีบริการ Amazon Prime ระบบสมาชิกรายปี ลูกค้าได้สิทธิ์ฟรีค่าส่งสินค้าตลอดทั้งปี การส่งอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งวัน และใช้งานบริการอื่นๆเช่น Prime Video และ Prime Music แถมยังได้ส่วนลดซื้อสินค้าจาก Whole Foods Market ด้วย
#ความเสี่ยง
🔹 ความเสี่ยงทางด้านกฎหมายที่รัฐบาลอเมริกาและประเทศอื่นๆออกมาทั้งเรื่องการผูกขาดและภาษี
1
🔹เนื่องจากในธุรกิจอีคอมเมิร์ซก็มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพราะฉะนั้นบริษัทมีความเสี่ยงในเรื่องของการบริหารจัดการงบประมาณการลงทุนทั้งเรื่องของคนโกดังเก็บสินค้า ระบบไอทีและอื่นๆ ถ้าบริหารงบประมาณผิดพลาดอาจจะทำให้เกิดการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าอย่างเช่นในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาที่ลงทุนในพื้นที่โกดังและคนมากเกินความต้องการ ทำให้ต้องแบกขาดทุน
🔹 ความเสี่ยงในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นรวมทั้งสงครามในรัสเซีย มีผลกระทบต่อบริษัททั้งในแง่ของมูลค่าหุ้น และในแง่ของภาพเศรษฐกิจโดยรวมโดยเฉพาะฝั่งยุโรป
🔹 บริษัทได้ประกาศว่า Amazon Prime Day ในปี 2022 จะจัดในเดือนกรกฎาคมในขณะที่ปีที่แล้วบริษัทได้จัดวันนี้ซึ่งเป็นวันที่มียอดขายสูงมากวันหนึ่งในไตรมาสที่สอง บริษัทน่าจะมีความท้าทายจากฐานที่สูงของปีที่แล้วกับยอดรายได้ที่อาจจะต่ำกว่าเพราะไม่มีวันสำคัญในไตรมาสที่สองของปีนี้
โดยสรุปหุ้น Amazon เป็นธุรกิจที่มีคูเมืองแข็งแกร่งมีแพลตฟอร์มหลากหลายที่มีธุรกิจ AWS ช่วยสนับสนุน สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ผมมองว่าปัญหาเรื่องต้นทุนของเรื่องคนและการบริหารคงคลังสินค้าน่าจะคลี่คลายได้หลังจากวิกฤตโควิดและสงครามจบลง ผมยังเชื่อหุ้น Amazon น่าจะกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งด้วยความแข็งแกร่งของธุรกิจ
ช่วงนี้ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง ผมอยากให้นักลงทุนทุกท่านลองประเมินมูลค่าหุ้นด้วยตัวเองก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งครับ
Disclaimer: บทความนี้เพื่อให้ไอเดียการลงทุนกับนักลงทุน ไม่ได้เป็นการเชียร์ให้ซื้อหรือขาย นักลงทุนควรจะต้องศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองอีกครั้งครับ
ถ้าเริ่มสนใจลงทุนต่างประเทศแบบที่ซื้อขายด้วยตนเอง บริการ Phillip Global Markets เริ่มต้นลงทุนเพียง 50,000 บาท ค่าคอมฯ เริ่มต้นเพียง 0.2% (ตลาด U.S. และ H.K) พร้อมมีเจ้าหน้าที่คนไทย Support 24 ช.ม.
ติดต่อ Line: @phillipglobal หรือคลิก: https://lin.ee/q0bIxVg
หรือถ้ายังเป็นมือใหม่ “กองทุนรวม” ก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมนะครับ กับบริการ Phillip Fund SuperMart ที่มีให้เลือกมากกว่า 20 บลจ. พร้อมคำแนะนำลงทุนทันสถานการณ์ โดยทีมนักวิเคราะห์กองทุน โทร. 02-635-1718 (ตอนนี้เปิดบัญชีออนไลน์ได้แล้ว)
Sources:
Morningstar
โฆษณา