14 มิ.ย. 2022 เวลา 03:30 • การศึกษา
วันเวลากับการเปลี่ยนแปลง (ตอนที่ ๑)
วันคืนที่ล่วงไปๆ สรรพสิ่งและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ใบหญ้า รถราบ้านช่อง คน สัตว์สิ่งของทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
1
เหมือนต้นไม้ แต่เดิมเราเคยเห็นมันเป็นต้นเล็กๆ ไม่นานก็เจริญเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขา แตกใบ ผลิดอก ออกผล ให้ความสดชื่นแก่ทุกชีวิต แต่ไม่นานดอกไม้ที่ดูสวยสดงดงามนั้น ก็เหี่ยวแห้งร่วงโรย ไปตามกาลเวลา
ชีวิตของเราก็เช่นเดียวกัน มีการเปลี่ยนแปลงเป็น ธรรมดา เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเสื่อม แล้วนำไปสู่ความตาย เราจึงไม่ควรประมาทในการดำเนินชีวิต ควรมองให้เห็นโทษของความเสื่อม จะได้คลายความยึดมั่นถือมั่นในสรรพสิ่งทั้งปวง
Cr.เพจการบ้าน
เราเกิดมาในโลกนี้ ก็เพียงแค่อาศัยสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลก เพื่อใช้สร้างบารมีเท่านั้น อย่าไปคิดว่ามันเป็นจริงเป็นจังอะไร เมื่อปล่อยวางจากสิ่งที่ไม่เป็นจริงแล้ว ใจของเราจะได้มุ่งแสวงหาสิ่งที่เป็นจริงของชีวิต ที่เรียกว่าอริยสัจ มีใจมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพาน ชีวิตเราจะได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง
1
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน อัจเจนติสูตร ว่า "กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละไปตามลำดับ บุคคลเมื่อเห็นมรณภัยแล้ว พึงละอามิสในโลกเสีย มุ่งสู่สันติเถิด"
ท่านตรัสไว้ชัดเจนอย่างนี้ เพราะว่าวันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชีวิตของเราร่วงโรยไปทุกขณะจิต ความแข็งแรงก็เสื่อมถอยไป
1
เริ่มแรกจากวัยทารกที่ไร้เดียงสา ย่างสู่วัยเด็กที่มีแต่ความสนุกสนานเพลิดเพลิน แล้วก็เข้าสู่วัยรุ่น วัยแห่งความเป็นหนุ่มเป็นสาว มีร่างกายแข็งแรง สนุกสนานร่าเริง
จากนั้นชีวิตเข้าสู่วัยกลางคน เป็นวัยของการทำงาน ทุกคนต้องมีหน้าที่รับผิดชอบมากมาย ต้องดูแลทั้งครอบครัว ธุรกิจการงาน ต้องต่อสู้ดิ้นรน เพื่อสร้างฐานะความมั่นคงในชีวิต
เมื่อผ่านชีวิตช่วงนี้มาแล้ว ก็ก้าวเข้าสู่วัยที่มากด้วย ประสบการณ์ร่างกายเริ่มแก่ชราเรี่ยวแรงค่อยๆ ถดถอยลงไป สังขารมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเสื่อม และนำไปสู่ความตายในที่สุด
ท่านทรงสอนต่อไปอีกว่า ผู้ไม่ประมาทในชีวิตควรมองให้เห็น "มรณภัย" คือความตายที่เข้ามาเยือนอยู่ทุกวินาที ว่าเป็นภัยใหญ่หลวงจะหลีกหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น
แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมีบารมีเต็มเปี่ยม ยังต้องดับขันธปรินิพพาน ฉะนั้นจะกล่าวไปไยกับพวกเราคนธรรมดา ที่จะต้องเจอกับสัจธรรมนี้เช่นกัน
จึงควรละ "อามิส" คือเหยื่อล่อที่ทำให้ติดอยู่ในโลก ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รสสัมผัส ธรรมารมณ์ ที่ทำให้เราเพลินอยู่ในโลก หาทางรอดพ้นจากมรณภัยไม่ได้ ทำให้เราประมาท หลงทางพระนิพพาน
ดังนั้น ท่านจึงสอนให้ละอามิสในโลกเสีย แล้วมุ่งสู่สันติ คือทำใจให้หยุดนิ่ง มุ่งเข้าไปสู่สันติสุขภายใน กลางของกลางเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าถึงบรมสุข
ความสุขอย่างยิ่งคือพระนิพพาน ที่มีแต่สุขล้วนๆ ไม่มีทุกข์เจือปน ไม่มีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นชีวิตอันอมตะ
เวลาในโลกมนุษย์นี้มีจำกัด เราควรจะใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้ ให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเราเอง และแก่เพื่อนร่วมโลก ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
พวกเราเป็นยอดนักสร้างบารมี จะต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่าต่อกาลเวลาที่สูญเสียไปเพราะเราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี และยังสันติสุขให้บังเกิดขึ้นแก่มวลมนุษยชาติ
จากหนังสือ รวมพระธรรมเทศนา1 หน้า 48-50
3
โฆษณา