14 มิ.ย. 2022 เวลา 11:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ
“มาม่า” การขึ้นราคาที่กระทบ แทบทุกคน
สินค้าตัวแล้วตัวเล่าต่างทยอยขึ้นราคากันตั้งแต่ต้นปี
โดยผู้ผลิตเกือบทุกรายก็ให้เหตุผลในการขึ้นราคาว่าเป็นเพราะเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้น
จนต้องขึ้นราคาเพื่อรักษาการทำกำไร
แต่ถ้าหาก “มาม่า” ที่ถูกตรึงราคาไว้ที่ 6 บาท มากว่า 13 ปี
จะถูกขึ้นราคาตามสินค้าอื่น ๆ บ้าง
ใครจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นราคาครั้งนี้ ?
เราจะมาลองวิเคราะห์กัน
แน่นอนว่าการขึ้นราคาจะต้องกระทบกับกลุ่มลูกค้าหลักของมาม่า
คือผู้มีรายได้น้อย และคนชนชั้นกลางระดับล่าง
ที่ต้องแบกรับราคาที่สูงขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะไม่มีอาหารที่ราคาถูกกว่านี้ให้เปลี่ยนไปทานแล้ว
แต่อย่างไรก็ตามการขึ้นราคาครั้งนี้
ก็ใช่ว่าจะมีแต่ผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ใช้แรงงานเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ
เพราะร้านอาหารจำนวนมาก ก็เป็นลูกค้าหลักของมาม่าเช่นกัน
อย่างเช่น ร้านก๋วยเตี๋ยว ซึ่งเป็นที่ฝากท้องของพนักงานออฟฟิศต่าง ๆ
ก็อาจต้องพลอยขึ้นราคาไปด้วย เพื่อรักษากำไรให้คงเดิม
ทำให้ช่วงพักเที่ยงในครั้งต่อ ๆ ไป เราอาจต้องควักเงินจ่ายมากกว่าเดิม
นอกจากนี้ในอีกแง่หนึ่ง
ด้วยความที่ภาพลักษณ์ของมาม่านั้น เป็นอาหารที่ไว้ใช้กินเมื่อเราต้องการประหยัด
ทำให้ในทางเศรษฐศาสตร์แล้ว เราอาจบอกได้ว่ามาม่าเป็น สินค้าด้อย (Inferior Goods)
ซึ่งสินค้าด้อยนั้น จะมีความต้องการเพิ่มขึ้นมาก เมื่อรายได้ของผู้คนลดลง
ตรงข้ามกับสินค้าทั่วไป ที่เราจะซื้อเพิ่มเมื่อมีรายได้สูงขึ้น
ทำให้ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจ
ที่ผู้คนต้องรัดเข็มขัดในการใช้จ่ายมากขึ้น
1
การที่คนชนชั้นกลางจะหันมาบริโภคอาหารราคาถูก
อย่างเช่น มาม่า เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายบ้าง
ก็เป็นเรื่องที่อาจพบเห็นได้
แต่ถ้าหากมาม่าทำการขึ้นราคา
ก็จะเป็นการเพิ่มความยากลำบากให้กับการประหยัดเงิน
ของคนเหล่านี้มากขึ้น
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าการขึ้นราคาของมาม่านั้น
ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างกว่าที่เราคิด
จึงไม่แปลกใจที่หน่วยงานภาครัฐอย่าง กระทรวงพาณิชย์
ต้องออกมาขอร้องให้ตรึงราคาอย่างถึงที่สุด
แม้ในวันที่ผู้ประกอบการส่งสัญญาณว่าแบกรับต้นทุนไม่ไหวแล้วก็ตาม
โฆษณา