15 มิ.ย. 2022 เวลา 02:50 • หุ้น & เศรษฐกิจ
รู้จัก ไมเคิล เบอร์รี The Big Short ผู้ได้กลิ่น วิกฤติก่อนใคร
2
“ถ้าคนส่วนใหญ่ทำอย่างหนึ่ง คนคนนี้จะทำในทางตรงกันข้าม” น่าจะเป็นประโยคที่อธิบายตัวตนของนักลงทุนคนนี้ได้เป็นอย่างดี โดยเขาคนนี้มีชื่อว่า คุณไมเคิล เบอร์รี ผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็นนักลงทุนจอมสวนกระแส
3
คุณไมเคิล เบอร์รี ได้เคยทำนายวิกฤติฟองสบู่ซับไพรม์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2008
ได้อย่างแม่นยำ จนถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Big Short
6
ในช่วงที่ผ่านมา ชื่อของเขาก็ได้ถูกพูดถึงอีกหลายครั้ง ทั้งจากการออกมาแสดงมุมมองต่อสภาพเศรษฐกิจ
โดยเมื่อไม่นานมานี้ เขาก็เพิ่งออกมาเตือนว่าสหรัฐอเมริกา กำลังจะเจอกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ
2
แล้วเส้นทางของนักลงทุนสวนกระแสคนนี้ เป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
คุณไมเคิล เบอร์รี เป็นนักลงทุนชาวอเมริกัน เกิดในปี 1971 หรือราว 51 ปีก่อน
2
หลายคนน่าจะยังไม่รู้ว่า คุณไมเคิล เบอร์รี ต้องสูญเสียดวงตาไป 1 ข้าง ตั้งแต่อายุ 2 ขวบ
เนื่องจากเป็นโรคมะเร็งจอตาในเด็ก ซึ่งถือว่าเป็นโรคที่พบได้น้อยมาก
ทำให้เขาต้องใช้ตาเทียมนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
5
พอเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย เขาเลือกเรียนสาขาเศรษฐศาสตร์และสาขาเตรียมแพทย์ที่มหาวิทยาลัย UCLA และหลังจากนั้นเขาก็ยังได้รับวุฒิแพทยศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Vanderbilt
6
ก่อนที่จะเรียนต่อด้านการแพทย์ที่มหาวิทยาลัย Stanford และพอจบมาแล้ว ก็เริ่มทำงานที่โรงพยาบาล Stanford สาขาประสาทวิทยา
5
อย่างไรก็ตาม แม้จะทำงานที่เกี่ยวข้องกับด้านการแพทย์ แต่ในช่วงเวลากลางคืนที่ไม่ได้ทำงานหลัก
คุณไมเคิล เบอร์รี จะทำงานอดิเรกที่เขาชื่นชอบไปด้วย นั่นคือ การลงทุนทางการเงิน
4
ไม่นานหลังจากนั้น ด้วยความหลงใหลในงานอดิเรก เขาตัดสินใจลาออกจากการทำงานด้านการแพทย์ และมุ่งหน้าเข้าสู่โลกการเงินและการลงทุนแบบเต็มตัว ในปี 1996 หรือในวันที่เขามีอายุได้ 25 ปี
2
โดยเขามีการเขียนบทความเกี่ยวกับหุ้นบนเว็บไซต์ที่มีชื่อว่า “Silicon Investor”
5
ซึ่ง ณ เวลานั้นเป็นเว็บไซต์ที่มีการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ของหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกา
1
บทความของเขาแสดงให้เห็นว่า เขามีความสามารถอย่างมากในการเลือกหุ้นลงทุน จนหลายบทความ ไปเตะตาบริษัทจัดการกองทุนชื่อดังระดับโลกหลายแห่ง
ไม่ว่าจะเป็น กองทุน The Vanguard Group
บริษัทประกันภัยอย่าง White Mountains Insurance Group
รวมไปถึงนักลงทุนชื่อดังในตลาดหุ้นวอลล์สตรีตอย่างคุณ Joel Greenblatt
5
โดยคุณไมเคิล เบอร์รี บอกว่าสไตล์และความรู้ด้านการลงทุนของเขานั้น
ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคุณ Benjamin Graham และคุณ David Dodd
ผู้เขียนหนังสือด้านการเงิน การลงทุน ที่โด่งดังที่สุดเล่มหนึ่งตลอดกาล ในแวดวงการลงทุน
นั่นคือ “Security Analysis”
3
เขาบอกว่า ตัวเองเป็นนักลงทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นคุณค่า รวมทั้งการเลือกลงทุนในหุ้นของเขา ก็ยังมีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย หรือ Margin of Safety
1
ซึ่งเป็นการลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าราคาพื้นฐานมาก ๆ ยิ่งส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยยิ่งมาก ก็ยิ่งปลอดภัย
 
ในปี 2000 เขามาจัดตั้งกองทุนที่ชื่อว่า Scion Capital
โดยใช้เงินมรดกและเงินกู้ยืมจากครอบครัวของเขามาจัดตั้งกองทุน
1
ซึ่งผลงานกองทุนของเขานั้นต้องบอกว่า “สุดยอด”
เนื่องจากสามารถเอาชนะดัชนี S&P 500 ได้อย่างขาดลอย
2
ปี 2001 ผลตอบแทนดัชนี S&P 500 ลดลง 12% ผลตอบแทนกองทุน Scion Capital เพิ่มขึ้น 55%
ปี 2002 ผลตอบแทนดัชนี S&P 500 ลดลง 22% ผลตอบแทนกองทุน Scion Capital เพิ่มขึ้น 16%
ปี 2003 ผลตอบแทนดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 29% ผลตอบแทนกองทุน Scion Capital เพิ่มขึ้น 50%
4
โดยเฉพาะใน 2 ปีแรก ผลตอบแทนของกองทุน Scion Capital เพิ่มขึ้น สวนทางกับดัชนี S&P 500 ที่ลดลง
เนื่องจากคุณไมเคิล เบอร์รี ได้ทำนายไว้ว่าหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาหลายตัวนั้นมีราคาแพงมาก
2
จึงทำให้เขาทำการ Short หรือยืมมาขายก่อนและซื้อคืนทีหลัง เพื่อทำกำไรจากการร่วงลงของหุ้นเทคโนโลยีที่เขามองว่ามีมูลค่าสูงเกินมูลค่าพื้นฐาน
1
ซึ่งมันสวนทางกับคนส่วนใหญ่ ที่แห่กันเข้ามาลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา และไม่นานหลังจากนั้น ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาก็เกิดวิกฤติฟองสบู่หุ้นอินเทอร์เน็ต หรือ “Dot-com bubble”
2
แต่เรื่องที่ทำให้เขายิ่งเป็นที่รู้จักในแวดวงการลงทุนมากยิ่งขึ้นคือ เขาเป็นนักลงทุนคนแรก ๆ ที่คาดการณ์ว่าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจจากปัญหาสินเชื่อซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกา
1
ซึ่งต่อมา “วิกฤติซับไพรม์” ก็ได้ลุกลามจนกลายเป็นปัญหาเศรษฐกิจระดับโลก
3
เรื่องของเรื่องคือ ในปี 2003 ถึงปี 2004 เขาเริ่มทำการวิเคราะห์สถานการณ์ และความเปลี่ยนแปลงในตลาดสินเชื่อซับไพรม์ ซึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้กู้ยืมที่ไม่มีคุณสมบัติครบถ้วนมากพอที่จะได้รับอัตราดอกเบี้ยของตลาดที่ดี
2
พูดง่าย ๆ คือ เป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูงต่อทั้งผู้ปล่อยกู้และผู้กู้ ในการนำไปซื้อที่อยู่อาศัย
5
แต่เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาในเวลานั้นกำลังเฟื่องฟู
สถาบันการเงินหลายแห่งจึงปิดตาข้างเดียว และเต็มใจที่จะปล่อยสินเชื่อ
ขณะที่ผู้กู้ ก็อยากได้เงินกู้มาซื้ออสังหาริมทรัพย์
เพื่อไปเก็งกำไรราคาบ้านที่กำลังปรับตัวเพิ่มขึ้น
1
แต่สำหรับคุณไมเคิล เบอร์รี ที่กลับมาศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังอีกครั้งในปี 2005 กลับมองว่า ผู้กู้นั้นมีเครดิตต่ำ และมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้ หลังจากที่ผ่านพ้นช่วงดอกเบี้ยที่ต่ำ หรือ “Teaser Rates” ในช่วง 2 ปีแรก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น จนบั่นทอนความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้จำนวนมาก
พอเรื่องเป็นแบบนี้ เขาจึงเริ่มทำการขาย Short ตราสารหนี้ที่เกี่ยวกับสินเชื่อบ้านและอสังหาริมทรัพย์ให้กับกองทุนที่เขาบริหาร
1
เพราะเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้ ตราสารหนี้เหล่านั้นจะมีราคาลดลงอย่างมาก
แต่ในตอนนั้น กลับมีลูกค้าบางคนในกองทุนของเขากังวลว่า การคาดการณ์ของเขาจะไม่ถูกต้อง และต้องการถอนเงินออกจากกองทุนของเขา
4
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายการคาดการณ์ของเขานั้น ถูกต้อง
วิกฤติซับไพรม์เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาในที่สุด
เหตุการณ์นี้ ทำให้เขาสามารถทำกำไรส่วนตัวได้กว่า 3,400 ล้านบาท และทำกำไรสำหรับลูกค้าในกองทุนของเขาได้กว่า 24,000 ล้านบาท จากการขาย Short ตราสารหนี้ที่เกี่ยวกับสินเชื่อบ้านและอสังหาริมทรัพย์
 
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เขาก็ทำการปิดตัวกองทุน Scion Capital ลง
เพื่อไปมุ่งเน้นการลงทุนส่วนตัวของเขามากขึ้น
5
โดยตลอดระยะเวลาที่เขาบริหารกองทุนในช่วงปี 2000 ถึงปี 2008 นั้น
กองทุนดังกล่าวของเขาสามารถทำผลตอบแทนได้สูงถึง 489%
5
ปัจจุบัน คุณไมเคิล เบอร์รี ก็ยังคงลงทุนอยู่ และยังคงแทงสวนทั้งกองทุนและหุ้น ที่ดูเหมือนจะมีมูลค่าเกินกว่าความเป็นจริง ทั้งการ Short กองทุน ARKK ของคุณเคธี วูด ไปจนถึง Short หุ้น Tesla ของคุณอีลอน มัสก์
7
และเมื่อเดือนที่แล้ว คุณไมเคิล เบอร์รี ก็เพิ่งออกมาพูดว่า
สหรัฐอเมริกากำลังจะเจอกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ
อัตราการออมของชาวอเมริกันต่ำสุด นับตั้งแต่ปี 2008
คนอเมริกันจำนวนไม่น้อย กำลังมีการหมุนเงินใช้หนี้บัตรเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
4
ในขณะเดียวกัน ก็ยังได้บอกว่าการลดลงของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกานั้น อาจจะยาวนานกว่าที่หลายคนคิดเอาไว้
3
ถึงตรงนี้ เราก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า คำทำนายในครั้งนี้ของคุณไมเคิล เบอร์รี จะเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน
แต่เราในฐานะนักลงทุนก็ควรจะเตรียมใจเผื่อไว้ เพื่อรับแรงกระแทกกับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหม่ ที่อาจจะเกิดขึ้น ก็เป็นได้..
1
หนังสือ BRANDING THE NATION หนังสือที่เล่าถึงการสร้างแบรนด์ของแต่ละประเทศที่ทำให้ แต่ละประเทศเป็นแบบทุกวันนี้
เช่น ทำไมเยอรมนีเป็นประเทศแห่งรถยนต์ ทำไมฝรั่งเศสเป็นประเทศแห่งแบรนด์หรู สั่งซื้อเลยที่
โฆษณา