14 มิ.ย. 2022 เวลา 08:18 • ปรัชญา
ที่มาของคำว่า "เทอร์น ออน...ทูน อิน...ดร๊อพ เอ๊าท์ (Turn on, tune in, drop out)"
พักหลังบอกตรงๆนะ แอดเริ่มถูกแนวคิดของคุณลุง "ทิมโมธี่ เลียรี่" ได้กลืนกินสมองไปเสียแล้ว 555+ เพราะเริ่มอ่านหนังสือของคุณลุงมากไปหน่อยแต่ก่อนมักจะชอบพูดคำว่า "Good Trip" หรือพูดว่า "Have a Good Trip" โน้นนี้นั้น แต่เดี๋ยวนี้ 3 คำสั้นๆ นั้นก็คือ "เทอร์น ออน...ทูน อิน...ดร๊อพ เอ๊าท์ (Turn on, tune in, drop out)" จบพอสั้นๆง่ายๆได้ใจความ แต่มีความหมายที่สุดแสนจะกินใจ และมีความหมายเกินว่าจะพรรณนา
จากความคิดส่วนตัว พอคำเหล่านี้มันมารวมกันเป็นประโยค มันเป็นอะไรที่โคตรจะมีความหมายเลยจริงๆ ซึ่งประโยคดังกล่าวนี้มันมาจากบทปาฐกถาคุณลุงเขาเองนั้นแหละ เป็นที่โด่งดังมากในสมัยฮิปปี้ครองเมืองยุค '60s เป็นวลีเด็ดที่ตอนแรกก็งงๆ ว่าลุงเขาต้องการพูดว่าอะไร พอมาตีความอีกทีผมก็ติดปากคำนี้ไปแล้วเลยทีเดียว และเชื่อว่า เดี๋ยวก็มีคนติดปากตามในไม่ช้า
เชื่อว่าเหล่าๆสหายหลายท่านก็คงจะเคยได้ยินวลีผ่านหูกันมาบ้างแล้วล่ะ มันมีความหมายจริงๆนะ ทุกวันนี้ก็ยังชอบอยู่เลย และสาเหตุที่มันติดหู ติดปาก เพราะความหมายมันลึกซึ้งมากจริงๆ
“เทอร์น ออน (turn on) ในความหมายอย่างย่น คือการผลักดันตัวตนเข้าไปอยู่ในสภาพของการมึนเมาสารบางอย่าง ชนิดไหนก็ตามอัธยาศัย เพื่อจะค้นพบทัศนะแปลกใหม่ของชีวิต
ทูน (จูน) อิน (tune in) จงสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ทุกผู้ทุกนามด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ ด้วยความเมตตากรุณา และด้วยความรักอันปราศจากเงื่อนไข และแล้วจะมีความรู้สึกอบอุ่นในโลกที่หนาวเยือก ในโลกที่น่าสะพรึงแห่งการเบียดเบียนกันและกัน
ดร๊อพ เอ๊าท์ (drop out) ละทิ้งโลก และจงดำเนินชีวิตตามปรารถนาแห่งตน”
ซึ่งคุณ ทิมโมธี่ ฟรานซิส เลียรี่ (Timothy Francis Leary) หรือ ทิมโมธี่ เลียรี่ ก็คือคนที่คิดคาถาข้างต้นขึ้นมา เขานี่แหละ คือ คนที่เหล่าฮิปปี้ในสมัยนั้นยกย่อง และยึดถือเขาแทบจะเป็นศาสดาเลยก็ว่าได้ ขนาดมีคนบอกว่ารูปถ่ายของเขาได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่าดาราดังในสมัยนั้นอย่าง เจมส์ ดีน (James Dean) ก็มิปาน
แต่อันที่จริงแล้วเขาเป็นนักจิตวิทยา และอดีตศาสตราจารย์ฮาร์วาร์ด ซึ่งถูกทางมหาวิทยาลัยไล่ออกจากการไม่สามารถให้คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่แม่นยำ และล้มเหลวในการสังเกตการณ์การนำร่องงานวิจัย (น่าจะเกี่ยวกับ สารไซคีเดลิก (psychedelic substance) ต่างๆที่ส่งผลกับสภาวะจิตของผู้รับการทดลอง) ที่เขานั้นเป็นคนริเริ่มขึ้น
ไม่นานหลังจากคุณริชาร์ด อัลเพิร์ต (Richard Alpert) ผู้ร่วมวิจัยในข้อหาให้นักศึกษาปริญญาตรีทดลองใช้สารไซโลไซบิน (psilocybin) ซึ่งเป็นสารประกอบที่มาจากเห็ดวิเศษ (magic mushroom) หรือเห็ดขี้ควาย โดยต่อมาเขาเปลี่ยนชื่อเป็น บาบา ราม ดาสส์ หรือบางทีก็เรียกว่า "รามทัสส์" Baba Ram Dass ที่เขียนหนังสือชื่อ "Be Here Now" ซึ่งเป็นคัมภีร์อีกเล่มของเหล่าบุปผาชนในปีค.ศ. 1971)
เขาใช้ตัวเองเป็นหนูทดลองในการใช้ LSD เพื่อหาความหมายของชีวิต…อันที่จริงก็เป็นเพราะเขาเชื่อว่าสารใน LSD สามารถทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์หากใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ
บางคนอาจจะฟังดูว่าเพี้ยน ดูว่าเป็นศาสนาประหลาด แต่แท้จริงๆแล้ว แก่นของมันก็คือ "การหาความสุขของชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้นเอง" มันไม่มีอะไรที่ต้องไปยึดติด หรือต้องไปบำเพ็ญภาวนา หรือไปยึดในวิถี "turn on, tune in, drop out" แบบจริงจังเพื่อไปให้ถึงซึ่งสภาวะที่เรียกว่า "นิพพาน" ตามสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาอะไรแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ (ที่บางคนก็อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแท้จริงแล้ว "นิพพาน" คืออะไร)
แอดเองก็ไม่รู้ เพียงรู้อย่างเดียวว่า ทุกวันนี้ขอให้มีความสุขในการมีชีวิตอยู่ ในการทำงานหาเงิน ไม่ไปยุ่งเกี่ยว หรือไปเดือดร้อนใคร อยากทำอะไรก็ทำเติมอะไรก็เติม จะทริปอะไรก็ไปหามาทริป จะทำอะไรตอนไหนก็ได้
แต่สุดท้ายกลับไปทำงานหาเงินวนไป ใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดาเหมือนเดิม แต่เรามีความสุขกับตรงนี้ จุดนี้ และแบบนี้ ใครจะคิดอย่างไรก็ช่างเขา เพราะนั้นคือตัวเขา ไม่ใช่ตัวเรา "ความสุขของคนเราไม่เหมือนกัน ขีดความสามารถของการค้นหาความสุขในชีวิตของคนเราก็ไม่เหมือนกัน เวลาการใช้ชีวิตของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน แต่เวลาเรานั้นมีเท่ากัญเสมอ"
อะไรที่มันปลดล็อคแล้ว ถูกกฎหมายแล้วก็จงรักษาดูแลมันไว้ ใช้ที่ถูกที่ ถูกเวลา อย่าไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครเป็นพอ แอดเชื่อว่า "พวกเราล้วนแต่เป็น ผู้ใช้ที่ชาญฉลาด มีสติปัญญา และมีสมอง หรือ "Smart user" ซึ่งไม่ใช่ผู้ใช้แบบทั่วไป (General User) ที่ไม่รู้อะไรเลยแล้วตีความไปเองว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้อย่างแน่นอน
เราใช้บนพื้นฐานขององค์ความรู้ที่อาจจะมาจากการศึกษา มาจากแรงบันดาลใจ มาจากความหลงไหลในมัน หรือแม้กระทั่งมากจากความรัก มากกว่าการยึดถือแต่วิธีการที่มาจากชุดความคิดแบบเดิมๆ
ว่าสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านั้น คือ ยาเสพติดผิดกฎหมาย สารออกฤทธิ์ต่อประสาท สิ่งที่ก่อให้เกิดโทษต่อตนเอง ต่อสังคม ต่อบ้านเมือง สิ่งที่ไร้ซึ่งประโยชน์ หรือไร้แก่นสารใดๆ" ปัจจุบันนี้สิ่งต่างๆที่ถูกชุดข้อมูลเก่าๆ มาโฆษณาชวนเชื่อก็ถูกพิสูจน์มาแล้วว่ามันเป็นอย่างไร
ข้อมูลตอนนี้มันมีออนไลน์อยู่ทั่วทุกมุมโลก เราต่างศึกษาหาความรู้ได้ เราต่างสร้างปฏิสัมพันธ์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกัญและกัญได้ เราต่างๆมีภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษบางคนที่ส่งต่อมาให้พัฒนาต่อเพื่อค้นหาประโยชน์ หาแก่นสาร หาหนทางแห่งธรรมชาติ และทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย
มาถึงวันนี้ก็ไม่รู้จะขอบคุณทุกท่านอย่างไรดีที่ทำให้เพจนี้ถูกขับเคลื่อนไปทั้งจากแรงดึงดูด ทั้งจากแรงเหวี่ยง ทั้งจากการเดินทางผ่านมิติการรับรู้ และมิติของเวลา หากมีสิ่งใดที่ผิดพลาด ไม่ว่าประการใดก็ตามต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ เราหวังว่า ในวันนี้หากคุณยังไม่เข้าใจในเรา แต่สักวันที่มาถึงคุณก็อาจจะเข้าใจในเราเอง
ไม่มีอะไรที่ซับซ้อนมากมาย สบายๆริมหาด จะใช้รักษา จะใช้สันทนาการ จะใช้เพื่ออะไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง เราสามารถตัดสินใจเลือกที่จะใช้มันได้ ไม่มีใครเขามายัดเข้าปากเรา ดูแลตัวเองให้ดีๆ จนดินแดนแห่งนี้จะเสรีอย่างสมบูรณ์
แล้วเราคงได้มาร่วม Turn on, tune in, drop out กัญนะคร๊าฟฟฟ
อ้างอิง
Damndog, Turn On...Tune In...Drop Out, Jul 24, 2008
Montipa Virojpan, หลงกลิ่นกัญชา : เรียนวิชาบุปผาชนศึกษา 101 จากปลายปากกา ‘รงค์ วงษ์สวรรค์, December 20, 2017https://www.fungjaizine.com/article/story/ganja-rong
ประภาส ทองสุข, คิดข้ามฟาก : Turn on, Tune in, Drop Out ลองคิดตามปรัชญาของบุปผาชน, Thursday, December 10, 2009
รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, เจ้าพ่อฮิปปี้, คอลัมน์ “จากท่าพระจันทร์ถึงสนามหลวง” ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม 2540http://www.rangsun.econ.tu.ac.th/data/06/03-40/05-03-เจ้าพ่อฮิปปี้.pdf
โฆษณา