16 มิ.ย. 2022 เวลา 11:38 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
"The Power of the Dog" 2021
อย่าไล่หมาให้จนตรอกและอย่าต้อนคนให้จนมุม
The Power of the Dog
ภาพยนตร์ดราม่า-จิตวิทยา เกี่ยวกับเบื้องลึกของจิตใจคน ที่มีแบล็คกราวเป็นหนังคาวบอยตะวันตก ผลงานกำกับของ Jane Campion ผู้กำกับหญิงชาวนิวซีแลนด์ ที่เป็นผู้กำกับหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่เข้าชิงออสการ์ถึง 2 ครั้ง ก่อนที่ The Power of the Dog จะคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และได้เข้าชิงถึง 12 สาขา และยังถูกนักวิจารณ์กล่าวขานว่าเป็นหนังดีที่สุดแห่งปี 2021
ในปี 1925 ยุคแห่งการทำฟาร์ม คาวบอยและการควบม้าถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นชาย ฟีล (Benedict Cumberbatch) และ จอร์จ (Jesse Plemons) สองพี่น้องผู้เป็นเจ้าของฟาร์มแต่กลับมีนิสัยต่างกันสุดขั้ว ฟีลนั้นก้าวร้าว ชอบวางท่า พูดจาแขวะผู้อื่นอยู่เสมอ ตรงข้ามกับ จอร์จ ที่สุภาพอ่อนโยน
จนกระทั่งจอร์จแต่งงาน และพา โรส (Kirsten Dunst) แม่หม้ายลูกติดมาอยู่ในบ้าน สร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งแก่ฟีล ไหนจะ ปีเตอร์ (Kodi Smit-McPhee) ลูกชายของโรสที่ดูบอบบาง ไม่เหมาะกับฟาร์ม ทั้งสองแม่ลูกมักจะถูกคุกคามอยู่บ่อยครั้ง และเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปีเตอร์จึงต้องหาหนทางเพื่อปกป้องแม่..
แม้จะเปิดเรื่องมาเป็นสไตล์คาวบอย แต่ไม่ได้มีฉากควบม้าไล่ล่ากันแต่อย่างใด หนังเลือกถ่ายทอดดราม่าเข้มข้นของตัวละครทั้งสี่ ที่พาให้รู้สึกหนักอึ้งและอึดอัด การเล่าแบ่งเป็นพาร์ทอย่างมีชั้นเชิง ค่อยๆหยอดปมไว้ทีละนิดให้คนดูได้ปะติดปะต่อเอาเอง ดูเผินๆเหมือนจะเล่าข้ามไปบ้าง แต่ทุกๆฉากมีรายละเอียดสำคัญที่เชื่อมโยงไปจนถึงบทสรุป
ทางด้านโปรดัคชั่น คอสตูม งานภาพทำออกมาได้สวยมากๆ ทุกฉากคือความสุนทรีในเชิงวิจิตรศิลป์ ทั้งภูเขาแม่น้ำ ทุ่งหญ้า ขอบฟ้าสุดลูกหูลูกตา ชีวิตความเป็นอยู่ของคนงานในยุค 20' ทุกงานภาพสื่อความหมายและความรู้สึกได้เป็นอย่างดี และการแสดงของตัวละครที่แฝงนัยยะสำคัญไว้ ทำให้ต้องตีความหมายตลอดทั้งเรื่อง แม้หนังจะดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า แต่ก็เล่าได้อย่างน่าติดตาม
หนังยังสะท้อนสังคมถึงประเด็นเพศทางเลือกที่ไม่อาจเปิดเผยได้ในยุคนั้น ผ่านตัวละครฟีล ที่แสดงออกให้เห็นถึงความเก็บกด โดดเดี่ยวได้อย่างน่าเจ็บปวด โดยเฉพาะแววตาที่สื่ออารมณ์ออกมา เบเนดิกต์ เล่นได้ดีมากๆ ไม่แปลกเลยที่จะได้เข้าชิงออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
ด้วยการเล่าที่มีสไตล์ไปสู่บทสรุปปมเปิดที่คนดูต้องนำไปคิดต่อเอาเอง หนังเน้นไปที่ความคิดของแต่ละตัวละคร ที่ไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด ค่อนข้างดูยากไปเสียหน่อย อาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคน แต่องค์ประกอบโดยรวมถือว่าเป็นงานระดับมาสเตอร์พีชเลยทีเดียว โดยเฉพาะฉากจบที่ทรงพลัง The Power of the Dog จึงเป็นอีกงานศิลป์ที่ควรค่าแก่การพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง
โฆษณา