เดอะ บีทเทิลส์ - วงดนตรีที่ดังที่สุดในโลก มีเพลงชื่อ Back In The U.S.S.R. เป็นแทร็กแรกในอัลบั้มคู่ชุด The Beatles ซึ่งออกวางจำหน่ายในปี 1968 (หลายคนเรียกอัลบั้มนี้ว่า The White Album เพราะมีปกเป็นสีขาวล้วนๆ ) เพลงนี้แต่งโดย พอล แม็คคาร์ทนีย์ (Paul McCartney) แต่ให้เครดิตเป็น เลนนอน-แม็คคาร์ทนีย์ ตามธรรมเนียมคู่หูนักแต่งเพลงของวง
พอลแต่งเพลงสนุกๆ เพลงนี้ด้วยการจินตนาการถึงมุมมองของสายลับชาวรัสเซียที่กำลังเดินทางกลับบ้านหลังจากปฏิบัติภารกิจบางอย่างเสร็จสิ้น เขาได้แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้จากการอยากล้อเพลง Back in the U.S.A. ของ ชัค เบอร์รี (Chuck Burry)
อย่าง "The Ukraine girls really knock me out, They leave the West behind, And Moscow girls make me sing and shout, That Georgia's always on My, my, my, my, my, my, my, my, my mind" ...ประโยคแรกนั้นเป็นหลักฐานทางวัฒนธรรมว่ายุคนั้นยูเครนยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต
ส่วนประโยคหลังพอลเล่นกับเพลง Georgia on My Mind เพลงดังของ เรย์ ชาร์ลส (Ray Charles) ซึ่งคำว่าจอร์เจียในเพลงของเรย์นั้นหมายถึงรัฐจอร์เจียในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ จอร์เจียในเพลง Back In The U.S.S.R. นั้นหมายถึงประเทศจอร์เจีย ...ที่ตอนนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตด้วยเช่นกัน
เพลง Back In The U.S.S.R. ถูกบันทึกเสียงราว 6 เดือนหลังจากที่สหภาพโซเวียตเข้ารุกรานประเทศเชโกสโลวาเกีย จึงถูกคนที่ 'อิน' เรื่องการเมืองมองว่าเพลงนี้เป็นการส่งข้อความแสดงความเห็นทางการเมืองของวงสี่เต่าทองสู่โลกคอมมิวนิสต์
สติง อดีตนักร้อง-นักแต่งเพลงหลักของวง The Police เจ้าของเพลงโคตรฮิตอมตะอย่าง Every Breath You Take เป็นอีกคนที่เคยแต่งเพลงเกี่ยวกับรัสเซีย เพลงนี้อยู่ในอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของเขาที่ชื่อ The Dream of the Blue Turtles (1985) ชื่อเพลงว่า Russians ...เป็นเพลงที่แสดงความเห็นทางการเมืองอย่างจริงจัง ไม่ขำ ไม่กวน หากแต่บอกกล่าวกันตรงๆ เลยว่าสติงคิดเห็นอย่างไรกับสงครามเย็น
(Nikita Khrushchev - เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียตผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจาก โจเซฟ สตาลิน) และโรนัล เรแกน (Ronald Reagan - ประธานาธิบดีของอเมริกาในยุคสงครามเย็น) แต่ประโยคที่เป็นเหมือนหัวใจของเพลงนี้ก็คือ "I hope the Russians love their children too" ที่สติงร้องซ้ำอยู่หลายรอบ
บิลลี โจเอล นักร้อง-นักแต่งเพลง นักดนตรี นักเปียโนชาวอเมริกัน เจ้าของเพลงที่ฮิตไปทั่วโลกอย่าง Piano Man, Just The Way You Are และ My Life เป็นสุดยอดศิลปินป๊อปอีกรายที่แต่งเพลงสะท้อนสังคมและการเมืองเอาไว้ไม่น้อย
เขาเคยเขียนถึงสงครามเวียดนามในเพลง Goodnight Saigon เคยเขียนถึงประวัติศาสตร์โลกในเพลง We Didn't Start the Fire และ 2000 Years และสำหรับสงครามเย็น บิลลี โจเอล มีเพลงชื่อ Leningrad ในอัลบั้ม Strom Front (1989) ที่เขาประพันธ์เอาไว้อย่างเหนือชั้น
ท่อนไฮไลต์ของเพลง Leningrad นำชีวิตของตัวละครทั้งสองมาบรรจบกัน เมื่อ 'ฉัน' (ซึ่งมาถึงตรงนี้ แฟนเพลงก็ต้องรู้แล้วว่าหมายถึงตัว บิลลี โจเอล นั่นเอง) ได้เดินทางมาที่เมืองเลนินกราดโดยพาลูกสาวมาด้วย แล้วได้พบกับวิกเตอร์ เมื่อวิกเตอร์สามารถทำให้ลูกสาวของบิลลียิ้มออกมาได้ ท่อนสุดท้ายของเพลงจึงเขียนไว้ว่า "We never knew what friends we had, Until we came to Leningrad"
เมื่อเวลาผ่านไป สหภาพโซเวียตเริ่มอ่อนแรงลง และเริ่มมีนโยบายเปิดกว้างมากขึ้น ในปี 1989 มีการจัดเทศกาลดนตรี Moscow Music Peace Festival ที่ร่วมกับวงร็อกชื่อดังในยุคนั้นมาแสดงดนตรีที่มอสโคว์
ไลน์อัพมีอาทิ Bon Jovi, Skid Row, Cinderella, Ozzy Osbourne รวมทั้งวงร็อกเลือดรัสเซียชื่อ Gorky Park ด้วย และวง Scorpians ร็อกรุ่นใหญ่จากเยอรมนีตะวันตกที่โดดเด่นในแวดวงร็อกระดับโลกมาตั้งแต่ยุค 70's ก็เป็นวงหนึ่งที่ได้ไปร่วมแสดงคอนเสิร์ตเพลงร็อกให้ขาร็อกชาวสหภาพโซเวียตได้รับชม เป็นการแสดงต่อหน้าคนดูนับแสนในสนามกีฬา Central Lenin Stadium ซึ่งเป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซียในตอนนั้น
เคลาส์ ไมน์ (Klaus Meine) นักร้องนำของวงเล่าถึงโมเมนต์ที่จุดประกายให้เขาแต่งเพลง Wind of Change ว่า "ผมได้ไอเดียของเพลงนี้ตอนที่ผมนั่งอยู่ใน Gorky Park Center ในคืนฤดูร้อนคืนหนึ่ง มองไปที่แม่น้ำมอสควา เพลงนี้คือการพินิจพิเคราะห์ของผมต่อสถานการณ์ของโลกในช่วงปีนั้น" ...เขาหมายถึงบรรยากาศของสงครามเย็นที่เริ่มคลี่คลาย เห็นได้ทีละเล็กละน้อยว่าสหภาพโซเวียตกำลังเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อโลกเสรี
เพลง Wind of Change เริ่มต้นด้วยเสียงผิวปากที่รองรับด้วยเสียงกีตาร์ไฟฟ้าบางเบา และเนื้อร้องท่อนแรกที่ร้องว่า "I follow the Moskva, Down to Gorky Park, Listening to the wind of change" ซี่งสองประโยคแรกนั้นบรรจุชื่อแลนด์มาร์กของเมืองมอสโคว์เอาไว้
ชาวเบอร์ลินตะวันตกออกมาต้อนรับชาวเบอร์ลินตะวันออก บรรยากาศของเสรีภาพอบอวล กลายเป็นวันที่ประเทศเริ่มหลอมรวมอีกครั้ง และมีผลให้กำแพงเบอร์ลินถูกทุบทำลายลงอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายน ปี 1990 ซึ่งไม่กี่เดือนถัดมา วงสกอร์เปี้ยนส์ก็ออกอัลบั้ม Crazy World ที่มีเพลง Wind of Change บรรจุอยู่ด้วย เพลงนี้กลายเป็นเพลงแห่งช่วงเวลาเหล่านั้น เป็นเหมือนซาวนด์แทร็กแห่งชีวิตชาวเยอรมันในยุคนั้น
และแม้ว่าเพลงนี้จะเป็นบัลลาร์ดร็อกสุดไพเราะจากวงที่เคยมีเพลงบัลลาร์ดดังๆ มาแล้วหลายเพลง (อย่าง Send Me an Angel, Still Loving You และ Holiday) แต่ Wind of Change ก็กลายเป็นเพลงที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกๆ เพลงของพวกเขาในที่สุด
และเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991 เพลง Wind of Change ยิ่งกลายเป็นเพลงแห่งห้วงเวลานั้นอย่างแท้จริง
ตัดภาพมาเมื่อรัสเซียส่งทหารเข้าไปในยูเครนในปี 2022 วงสกอร์เปี้ยนส์ยังเล่นเพลงนี้ในคอนเสิร์ตอยู่ แต่พวกเขาเปลี่ยนเนื้อเพลงท่อนแรกเป็น "Now listen to my heart, It says Ukraine, waiting for the wind to change."
หลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง ผ่านมาถึงปี 1996 โลกก็ได้ฟังเพลงชื่อ Stanger in Moscow จาก King of Pop - ไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson) เพลงนี้เป็นซิงเกิ้ลลำดับที่ 6 จากอัลบั้ม HIStory (1995) ของศิลปินซูเปอร์สตาร์ระดับโลกคนนี้
อย่างไรก็ตาม ในเนื้อเพลง Stanger in Moscow มีการใช้คำที่เป็นสัญลักษณ์ของสหภาพโซเวียตในยุคสงครามเย็น อย่างชื่อหน่วยสืบราชการลับ KGB หรือประโยคอย่าง "Kremlin's shadow belittlin' me, Stalin's tomb won't let me be"