20 มิ.ย. 2022 เวลา 03:38 • ข่าว
ประเทศที่อนุญาตให้ใช้กัญชาได้อย่างเสรี ไม่ได้มีความนิ่งนอนใจกับความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนจากการใช้กัญชา
ประเทศไทยควรต้องเร่งดำเนินการศึกษาผลกระทบของการใช้กัญชาต่อความสามารถในการขับขี่ เพื่อกำหนดนโยบายให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายจราจรทางบกสามารถใช้เครื่องมือทางกฎหมายเพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากกรณีขับขี่ภายใต้ผลกระทบที่อาจเกิดจากกัญชา
แม้ยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนโดยตรงถึงผลกระทบของการใช้กัญชาต่อสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนน แต่มีผลวิจัยที่ชี้ว่ากัญชาสามารถส่งผลต่อความสามารถบางอย่างที่สำคัญต่อการขับขี่ได้
ภายหลังการปลดล็อกกัญชาจากการเป็นยาเสพติดที่มีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการเมื่อ 9 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา โดยมีการวางเงื่อนไขให้การใช้กัญชาจากการปลดล็อกในครั้งนี้ต้องเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะเท่านั้น และไม่ได้ต้องการให้นำมาใช้เพื่อการสันทนาการแต่อย่างใด
ทั้งยังกำหนดความเข้มข้นของสารสำคัญที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาทอย่างสาร THC หรือ Tetrahydrocannabinol ในกรณีนำกัญชามาใช้เป็นสารสกัดไว้ว่าจะต้องไม่เกินกว่าร้อยละ 0.2
ทำให้กัญชาที่แม้จะเป็นยาเสพติดโดยสภาพ ไม่ถูกถือว่าเป็นยาเสพติดด้วยผลทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม การปลดล็อกในครั้งนี้นำมาซึ่งความกังวลของหลายภาคส่วนว่าผู้ที่บริโภคกัญชาแล้วจะมีผลกระทบต่อความสามารถในการขับขี่ในลักษณะเดียวกับการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่เพียงใด
และจะซ้ำเติมปัญหาอุบัติเหตุทางถนนนี้ให้ทวีความรุนแรงมากขึ้นหรือไม่ และหากเป็นเช่นนั้นควรจะต้องมีวิธีการป้องกันและรับมือต่อไปอย่างไร
จากผลการศึกษาของต่างประเทศแสดงให้เห็นถึงผลกระทบของการใช้กัญชาต่อความสามารถในการขับขี่ที่แตกต่างและหลากหลาย
สำหรับการศึกษาของ National Highway Traffic Safety Administration หน่วยงานของสหรัฐอเมริกา ชี้ว่าความสามารถในการขับขี่อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มข้นของสาร THC ในเลือดและอาจไม่สร้างความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุมากไปกว่าผู้ขับขี่ทั่วไป
กล่าวคือ คนที่มีระดับความเข้มข้นของสาร THC ในเลือดระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ไม่แสดงถึงผลกระทบต่อความสามารถในการขับขี่ที่ใกล้เคียงกันแต่อย่างใด ทั้งยังพบว่าสาร THC สามารถตรวจพบในเลือดหลังการใช้กัญชาได้นานหลายวัน และในหลายกรณีนานถึงหลายสัปดาห์ ขณะที่อาจเกิดความมึนเมาหลังใช้เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
อย่างไรก็ดี มีผลการศึกษาอีกจำนวนไม่น้อย เช่น ผลการศึกษาของ Godfrey D. Pearlson และคณะ แสดงให้เห็นว่าการใช้กัญชาส่งผลกระทบต่อความสามารถบางอย่างที่สำคัญต่อการขับขี่ได้อย่างชัดเจน
แม้ว่าจะน้อยกว่าสารเสพติดชนิดอื่นเมื่อเปรียบเทียบกัน เช่น แอลกอฮอล์ โดยพบว่าการใช้กัญชาอาจกระทบต่อความว่องไวต่อปฏิกิริยาการตอบโต้ การใช้สมาธิในการขับขี่ หรือความสามารถในการรับรู้ เป็นต้น
ทั้งนี้ ไม่พบข้อมูลสถิติจากแหล่งใดที่แสดงให้เห็นได้ว่าการใช้กัญชาทำให้การเกิดอุบัติเหตุเพิ่มสูงขึ้น
ซึ่งสาเหตุอาจจะเพราะยังไม่สามารถหาวิธีที่จะพิสูจน์ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างผลของการใช้กัญชากับความสามารถในการขับขี่ได้จากการศึกษาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
จึงอาจกล่าวได้ว่าความเข้มข้นของสาร THC ที่ตรวจพบในเลือดอาจไม่ได้ส่งผลต่อปัญหาอุบัติเหตุทางถนนโดยตรง แต่ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่าการใช้กัญชาไม่สร้างความเสี่ยงใด ๆ ในการเกิดอุบัติเหตุทางถนนได้เสียทีเดียว
ในประเทศที่ได้อนุญาตให้ใช้กัญชาได้อย่างเสรี ไม่ได้มีความนิ่งนอนใจกับความเสี่ยงที่อาจเพิ่มขึ้นกับการเกิดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนจากการใช้กัญชา
อุรุกวัย ถือว่าผู้ขับขี่ที่ตรวจเลือดและพบว่ามีสาร THC มีความบกพร่องในการขับขี่
สหรัฐอเมริกาทั้ง 50 รัฐได้จัดการกับปัญหาดังกล่าวด้วยวิธีเดียวกันกับปัญหาแอลกอฮอล์ คือการนำกรณีเมากัญชาแล้วขับเข้าสู่ระบบกฎหมายว่าด้วยขับรถภายใต้อิทธิพลของแอลกอฮอล์หรือสารเสพติด (Driving under the influence: DUI) โดยการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวภายใต้แต่ละรัฐมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง โดยแบ่งได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่
1) กฎหมายที่ไม่ยอมรับให้มีสาร THC ในผู้ขับขี่ได้เลย (Zero tolerance law)
2) กฎหมายที่กำหนดให้เป็นความผิดสำหรับการมีความเข้มข้นของสาร THC ในเลือดของผู้ขับขี่ในบางระดับ (Per se law)
3) กฎหมายที่กำหนดว่าเป็นความผิดจากการพิจารณาว่าผู้ขับขี่ได้รับผลกระทบในการขับขี่จากการใช้กัญชาหรือไม่ และ
4) กฎหมายที่กำหนดให้มีความเข้มข้นของสาร THC ในเลือดของผู้ขับขี่ได้ไม่เกิน5 ng/mL (Permissible inference law)
สหราชอาณาจักรและแคนาดาที่กำหนดความเข้มข้นของสาร THC ในเลือดของผู้ขับขี่ที่มีได้ไม่เกินกว่า 2 ng/mL และสำหรับเยอรมนีกำหนดให้ผู้ขับขี่สามารถตรวจพบสาร THC ได้ไม่เกิน1 ng/mL แต่จะตรวจเฉพาะในเลือดส่วนเซรั่ม (Blood Serum) เท่านั้น
ประเด็นผลกระทบของการใช้กัญชาต่อความสามารถในการขับขี่สำหรับประเทศที่ปลดล็อกแล้วนั้น จึงเป็นประเด็นที่ไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างยิ่ง แม้จะยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนโดยตรงถึงผลกระทบของการใช้กัญชาต่อสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนน
แต่มีผลวิจัยที่ชี้ว่ากัญชาสามารถส่งผลต่อความสามารถบางอย่างที่สำคัญต่อการขับขี่ได้ ประกอบกับข้อแนะนำเรื่องการใช้กัญชาที่เกี่ยวกับการขับรถดังปรากฏในแถลงการณ์มหาวิทยาลัยมหิดลที่ว่า
“ผู้ที่ใช้กัญชา ไม่ควรขับรถหรือทำงานกับเครื่องจักรในระยะ 6 ชั่วโมงหลังใช้กัญชา เพราะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้สูง” อย่างไรก็ดี ผลของกัญชา ขึ้นอยู่กับปริมาณสารออกฤทธิ์ที่เสพไป
นอกจากนี้ เนื่องจากการขับสารออกในแต่ละคนแตกต่างกันผลของสารออกฤทธิ์ในแต่ละคนจึงแตกต่างกันไปด้วย
จึงเห็นได้ชัดเจนว่าประเทศไทยควรต้องเร่งดำเนินการศึกษาผลกระทบของการใช้กัญชาต่อความสามารถในการขับขี่
เพื่อกำหนดนโยบายให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายจราจรทางบกสามารถใช้เครื่องมือทางกฎหมายเพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากกรณีขับขี่ภายใต้อิทธิพลของกัญชาต่อไป
โดยอาจพิจารณากำหนดความเข้มข้นของสาร THC ในเลือดของผู้ขับขี่ในระดับ 0 ng/mL หรือในรูปแบบ Zero tolerance law เพื่อตอกย้ำว่าการขับขี่หลังการใช้กัญชาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ และควรเตรียมจัดเก็บข้อมูลสถิติอุบัติเหตุที่เป็นผลเกี่ยวเนื่องจากการใช้กัญชาเพื่อนำมาศึกษาและจัดทำนโยบายที่เหมาะสมต่อไป
= = = = = = = = = =
บทความโดย ดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัย นโยบายด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ทีดีอาร์ไอ ดร. สลิลธร ทองมีนสุข อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักวิชาการ นโยบายด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ทีดีอาร์ไอ รัศมีจันทร์ เสาวคนธ์ นักวิจัยนโยบายด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ทีดีอาร์ไอ
= = = = = = = = = =
ติดตามผลงานล่าสุดจากทีดีอาร์ไอได้ ที่
โฆษณา