21 มิ.ย. 2022 เวลา 02:50 • หุ้น & เศรษฐกิจ
รู้จัก “Magic Formula” สูตรคัดหุ้นเวียดนามของ ดร.นิเวศน์
รู้หรือไม่ว่าในช่วงที่ ดร.นิเวศน์ เริ่มเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม
เขาได้ใช้สูตรในการคัดกรองหุ้นที่ชื่อว่า Magic Formula ด้วย
โดย “Magic Formula” เป็นหนึ่งในวิธีการคัดเลือกหุ้นที่เรียบง่าย แต่สร้างผลตอบแทนอย่างมหัศจรรย์
ถูกคิดค้นโดยผู้จัดการกองทุน Gotham Asset Management, LLC
คุณ Joel Greenblatt ใช้กลยุทธ์ที่ว่านี้ สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วงปี 1988 ถึงปี 2009 มากถึง 23.8% ต่อปี หรือเกินกว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาอย่าง S&P 500 ที่ 9.6% ต่อปี ชนิดที่ว่าขาดลอยเลยทีเดียว
แล้ว Magic Formula คืออะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
1
Magic Formula เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการลงทุนแบบเน้นคุณค่า โดยจะเป็นการคัดหุ้นที่มีประสิทธิภาพในการทำธุรกิจสูงในราคาถูก ผ่านการดูสองอัตราส่วนทางการเงินง่าย ๆ
ตัวแรก ก็คือ “Return on Capital” คือ อัตราส่วนผลตอบแทนจากเงินลงทุน
ซึ่งเป็นตัวสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
แทนด้วยสูตร EBIT / (Working Capital + Fixed Assets) โดยที่
- EBIT หรือ Earnings Before Interest and Taxes คือ กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี
- Working Capital คือ เงินทุนหมุนเวียนที่บริษัทใช้ดำเนินธุรกิจ เช่น ลูกหนี้การค้า เจ้าหนี้การค้า และสินค้าคงเหลือ เป็นต้น คำนวณแบบง่าย ๆ โดยนำสินทรัพย์หมุนเวียน - หนี้สินหมุนเวียน
1
- Fixed Assets คือ สินทรัพย์ถาวร หรืออาคาร ที่ดิน เครื่องจักร และอุปกรณ์
สรุปง่าย ๆ ก็คือ Return on Capital จะทำให้เราเห็นภาพว่าเงินที่เราลงทุนไปนั้น
ให้ผลตอบแทนกลับมามากหรือน้อยขนาดไหน ซึ่งเราสามารถนำไปตีความได้ว่า
ถ้า ROC มีค่ามาก แปลว่า บริษัทมีประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจสูง
ถ้า ROC มีค่าน้อย แปลว่า บริษัทมีประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจต่ำ
อีกตัวหนึ่งก็คือ “EBIT/EV Multiple” คือ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อมูลค่ากิจการ ซึ่งเป็นตัวสะท้อนความถูกแพงของกิจการ หาได้จาก EBIT / Enterprise Value โดย
- EBIT คือ กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี
- Enterprise Value คือ มูลค่ากิจการ หาได้จากการนำมูลค่าตลาดของบริษัท + หนี้สินรวม
1
ถ้า EBIT/EV Multiple มีค่าน้อย แปลว่า มูลค่ากิจการถูก
ถ้า EBIT/EV Multiple มีค่ามาก แปลว่า มูลค่ากิจการสูง
หลังจากนั้น เราก็ต้องนำหุ้นมาจัดอันดับ เริ่มจาก
- จัดอันดับหุ้นที่มีค่า Return on Capital สูงที่สุดเป็นอันดับที่ 1 ไล่ไปจนถึงต่ำที่สุด
เพื่อไล่อันดับกิจการที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจสูง
1
- จัดอันดับหุ้นที่มีค่า EBIT/EV Multiple ต่ำที่สุดเป็นอันดับที่ 1 ไล่ไปจนถึงสูงที่สุด
เพื่อไล่อันดับกิจการที่มีมูลค่ากิจการถูก
หลังจากนั้น เราก็นำอันดับหุ้น Return on Capital มาบวกกับอันดับหุ้น EBIT/EV Multiple
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น
หุ้น A มีค่า Return on Capital อยู่ในอันดับที่ 20
หุ้น A มีค่า EBIT/EV Multiple อยู่ในอันดับที่ 10
โดยหุ้น A จะมีอันดับรวม คือ 20 + 10 เท่ากับ 30
1
ขั้นตอนสุดท้าย นำผลรวมของอันดับมาจัดเรียง เพื่อเลือกหุ้นที่จะลงทุนเข้ามาในพอร์ต
โดยมีการเลือกลงทุนสัดส่วนเท่ากันในหุ้น 20-30 อันดับแรก
โดยเราจะเริ่มลงทุนในต้นปี และถือจนถึงปลายปี
หลังจากนั้นปรับพอร์ตการลงทุน และใช้เกณฑ์ Magic Formula แบบเดิม ทำซ้ำในปีต่อไปเรื่อย ๆ
ทั้งนี้ Magic Formula ก็อาจจะมีเงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น กำหนดให้มูลค่าของบริษัทต้องสูงกว่า 3,500 ล้านบาทเท่านั้น หรือตัดหุ้นในอุตสาหกรรมกลุ่มการเงิน และกลุ่มสาธารณูปโภคออกไป
อย่างในกรณีของ ดร.นิเวศน์ ที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ ก็พบข้อจำกัดจากการใช้กลยุทธ์ Magic Formula เมื่อนำไปประกอบการลงทุนจริงในตลาดเวียดนาม
โดยการจะใช้กลยุทธ์ Magic Formula ให้ได้ผลดีนั้น จะต้องมีการปรับพอร์ตเป็นระยะ ตามอันดับที่เปลี่ยนไป แต่หุ้นบางตัวก็มีสภาพคล่องต่ำ อาจทำให้ไม่สามารถขายออกได้ตามต้องการ
คำถามที่น่าสนใจคือ ถ้านำ Magic Formula มาใช้กับตลาดหุ้นไทย ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไร ?
ในช่วงเวลาปี 2009 ถึงปี 2018 Magic Formula สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยกว่า 25% ต่อปี สามารถเอาชนะผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หากเราจะนำ Magic Formula ไปใช้งาน เราก็ควรระวังเหมือนกัน ว่าผลลัพธ์และผลตอบแทนที่เกิดขึ้นในอดีต ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าเราจะได้ผลตอบแทนชนะตลาดแบบนี้ตลอดไปในอนาคต
แต่อย่างน้อยด้วยหลักการจัดอันดับหุ้นที่ดูจากพื้นฐานของกิจการเป็นหลัก
ทั้งการดูผลตอบแทนจากการลงทุน และการประเมินมูลค่ากิจการว่าถูกหรือแพง
ก็น่าจะเป็นอีกไอเดียหนึ่ง ที่เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้
ว่าหุ้นตัวไหน กิจการอะไร เหมาะสมกับกลยุทธ์การลงทุนของเรา..
1
หนังสือ BRANDING THE NATION หนังสือที่เล่าถึงการสร้างแบรนด์ของแต่ละประเทศที่ทำให้ แต่ละประเทศเป็นแบบทุกวันนี้
เช่น ทำไมเยอรมนีเป็นประเทศแห่งรถยนต์ ทำไมฝรั่งเศสเป็นประเทศแห่งแบรนด์หรู สั่งซื้อเลยที่
โฆษณา