21 มิ.ย. 2022 เวลา 02:11 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
เก่งแต่เกิด หรือ แกร่งจากเกลา ?
Photo by Tim Bish on Unsplash
ความเชื่อเรื่องคนเราเก่งมาแต่เกิดหรือเก่งจากการฝึกฝนกันแน่ เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาช้านานในโลกตะวันตกนะครับ
อย่างน้อยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ก็ชัดเจนมาตั้งแต่ราว 150 ปีที่แล้ว และเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร ก็ต้องเอ่ยถึงชื่อคนคนนี้ครับ ฟรานซิส กอลตัน (Francis Galton)
คุณทวดกอลตันนี่ไม่ธรรมดานะครับ แกเกิดในปี ค.ศ. 1822 และอายุยืนทีเดียวเพราะเสียชีวิตตอนอายุ 89 ปี แกเป็นคนอังกฤษในยุควิกตอเรียที่อังกฤษแทบจะเป็นเจ้าโลก เป็นดินแดนพระอาทิตย์ไม่ตกดิน
ตัวแกเองเป็นคนรอบรู้ในสารพัดวิชา (polymath) เช่น เป็นนักสถิติ นักจิตวิทยา นักสำรวจ นักประดิษฐ์ นักอุตุนิยมวิทยา ฯลฯ เก่งซะขนาดนี้เลยได้รับการอวยยศเป็นอัศวินใน ค.ศ. 1909
https://en.wikipedia.org/wiki/Francis_Galton
ในทางวิชาการแกตีพิมพ์งานวิจัยและหนังสือมากถึง 340 รายการ (บทความหรือเล่ม)
กอลตันเป็นคนแรกที่คิดวิธีการใช้แบบสอบถามและการสำรวจในการเก็บข้อมูล และยังเป็นคนคิดวิธีการทางสถิตในการศึกษาความแตกต่างระหว่างมนุษย์และนำมาใช้กับศึกษาเรื่องการถ่ายทอดสติปัญญาให้กันในสายตระกูล
เขาเป็นคนคิดคำว่า nature versus nurture (ระหว่างธรรมชาติกับการอบรมเลี้ยงดู) ที่ยังฮิตมาถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ เขายังเป็นคนคิดสาขาวิชาที่เรียกว่า สุพันธุศาสตร์ (eugenics) โดยเป็นคนคิดคำนี้ขึ้นใช้เรียกใน ค.ศ. 1883 โดยมีความหมายครอบคลุม การใช้ความรู้ทางพันธุศาสตร์ในการปรับปรุงเผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งกลายมาเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้พวกนาซีนำเอามาใช้แอบอ้างในทางที่ผิด เป็นเหตุผลสนับสนุนการกวาดล้างคนยิวในฐานะเผ่าพันธุ์ที่ทำให้พวกอารยันปนเปื้อนไม่บริสุทธิ์
หนังสือที่เขาเขียนขึ้นใน ค.ศ. 1869 ชื่อ Hereditary Genius (อัจฉริยะถ่ายทอดทางสายเลือดได้) จัดเป็นความพยายามทางวิทยาศาสตร์แรกสุดที่ศึกษาเกี่ยวกับอัจฉริยภาพอย่างเป็นระบบ
https://galton.org/books/hereditary-genius/
ในหนังสือเล่มนี้ กอลตันตั้งสมมุติฐานว่าพวกลูกหลานของคนที่ “มีชื่อเสียง” หรือ “ความโดดเด่น” ในสาขาอาชีพใดอาชีพหนึ่ง มีโอกาสมากกว่าที่จะบรรลุ “ชื่อเสียง” หรือ “ความโดดเด่น” ในอาชีพนั้นๆ ไปด้วย
คนที่กอลตันเลือกมาศึกษาก็มีทั้งรัฐบุรุษ ผู้พิพากษา ผู้บัญชาการกองทัพ บาทหลวงระดับสูง นักเขียน และนักวิทยาศาสตร์ โดยเขาศึกษาครอบครัว 300 ตระกูล ซึ่งมีผู้ชายที่โดดเด่นอย่างน้อย 1 คน สำหรับกลุ่มประชากรชาวอังกฤษนั้น พบว่าโอกาสที่จะบรรลุความมีชื่อเสียงมีแค่ 1 ใน 4,000 หรือราว 0.025 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ผลลัพธ์ที่เขาได้แสดงอยู่ในตารางต่อไปนี้ แต่กล่าวโดยสรุปแบบสั้นๆ ก็คือ ญาติที่มีสายเลือดใกล้ชิดกับคนมีชื่อเสียงหรือโดดเด่นมี “โอกาสมากกว่า” ที่จะประสบความสำเร็จ จนมีชื่อเสียงหรือความโดดเด่นเช่นเดียวกัน
หากเทียบกับญาติที่มีสายเลือดห่างออกไปมากกว่า หรือแม้แต่ไม่เกี่ยวข้องกับ (ค่าเฉลี่ยข้างต้น)
หากดูรายละเอียดจากตัวเลขตาราง ก็คงยากจะปฏิเสธว่า ความโดดเด่นถ่ายทอดกันได้ผ่านทางสายเลือดในครอบครัวจริงแท้แน่นอน
ยิ่งหากพิจารณาจากประวัติครอบครัวที่โดดเด่น เช่น ตระกูลของโยฮัน เซบัสทีอัน บาค (Johann Sebastian Bach) คีตกวีและนักออร์แกนชาวเยอรมันที่มีคนในตระกูลถึง 54 คนที่เป็นดนตรี โดยในจำนวนนี้ก็มีมากถึง 17 คนที่กลายเป็นนักแต่งเพลงชื่อดัง
แต่เรื่องอาจจะไม่ง่ายขนาดนั้น
เพราะเรื่องนี้ไม่อาจอธิบายกรณีของโรแบร์ต ชูมันน์ (Robert Schumann) นักเปียโนและประพันธกรชาวเยอรมันที่มีชื่อเสียง และมักได้รับการยกย่องกันว่าเป็นหนึ่งในผู้ประพันธ์เพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคโรแมนติก
เพราะในบรรดาบรรพบุรุษและลูกหลานรวม 136 คนของเขานั้น ไม่มีสักคนที่แสดงความสามารถโดดเด่นทางดนตรีเลย!
เสียงตอบรับเกี่ยวกับข้อสรุปในหนังสือเล่มนี้น่าสนใจดีครับ
อัลเฟรด วอลเลซ ที่เป็นคนค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการอย่างเอกเทศจากชาร์ลส์ ดาร์วิน แสดงความเห็นสนับสนุนแนวคิดข้างต้น ตัวดาร์วินเองก็เขียนจดหมายถึงกอลตันที่เป็นญาติกัน แสดงความเห็นด้วยเช่นกัน
นักวิทยาศาสตร์อังกฤษคนอื่นๆ ร่วมสมัยส่วนใหญ่ก็เห็นไม่แตกต่างออกไปสักเท่าไหร่
https://en.wikipedia.org/wiki/Alfred_Russel_Wallace
แต่ในคนที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ กระแสตอบรับมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ที่น่าสนใจคือคนที่วิพากษ์วิจารณ์ความเห็นนี้มากที่สุดได้แก่ พวกที่อยู่ในวงการศาสนา
ความสามารถที่สืบทอดกันได้ในครอบครัว จำเป็นหรือเพียงพอที่จะทำให้คนสักคนกลายมาเป็นคนมีชื่อเสียงหรือมีความโดดเด่นจริงหรือ?
การเติบโตท่ามกลางบรรยากาศและความพร้อม เช่น เป็นสมาชิกในครอบครัวนักดนตรี ก็น่าจะมีส่วนในการหล่อมหลอมให้ลูกหลานอยากเป็นนักดนตรีบ้างไม่มากก็น้อย
ในทำนองเดียวกัน การมีญาติที่โด่งดังย่อมส่งผลในทางบวกเกื้อหนุนในทางสังคมในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเป็นอย่างน้อย
ยังไม่นับว่าศตวรรษที่ 19 ที่กอลตันใช้ชีวิตอยู่ในอังกฤษ เรื่องของชนชั้นและแวดวงสังคมชนชั้นสูง ก็น่าจะส่งผลมากทีเดียว
การศึกษาวิจัยชิ้นนี้ของเขาจึงอาจได้รับผลจากปัจจัยเรื่องชนชั้นและความเหลื่อมล้ำเป็นอย่างมาก
อันที่จริงมุมมองเรื่องผลกระทบจากปัจจัยแวดล้อมแบบนี้ ยังส่งผลต่อวงวิชาการจนถึงปัจจุบัน
กล่าวคือนักวิทยาศาสตร์ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมไม่น้อยกว่าปัจจัยทางพันธุกรรม และพยายามอย่างยากลำบากที่จะควบคุมปัจจัยในการศึกษาให้รัดกุมมากขึ้นเรื่อยๆ
เช่น หันมาศึกษาในแฝดแท้ (ที่เกิดมาจากอสุจิและไข่เดียวกัน จึงมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกันทุกประการ) ที่บังเอิญต้องแยกกันไปอยู่ในครอบครัวและสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกันมากๆ
Photo by Marlon Alves on Unsplash
อีกครึ่งศตวรรษต่อมา การโต้แย้งในประเด็นนี้เหวี่ยงไปอีกด้านหนึ่ง เจ. บี. วัตสัน (J. B. Watson) ที่เป็นนักจิตวิทยาและนักพฤติกรรมวิทยาชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง โดยเป็นนักจิตวิทยาที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ถึงกับกล่าวว่า...
หากเอาทารกที่สุขภาพแข็งแรงดีมาให้ผมสักโหลหนึ่ง ผมก็อาจจะเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้น โดยรับประกันได้ว่าทารกเหล่านี้จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เลือกให้ได้ ไม่ว่าจะหมอ ทนาย ศิลปิน พ่อค้า หรือแม้แต่ขอทานและขโมย โดยไม่ขึ้นกับความสามารถพิเศษ ความชอบส่วนตัว นิสัยใจคอ สมรรถภาพ อาชีพ และเผ่าพันธุ์ของบรรพบุรุษเลย
เจ. บี. วัตสัน (J. B. Watson), นักจิตวิทยาและนักพฤติกรรมวิทยา
แน่นอนว่าข้อเสนอแบบนี้เป็นแค่เรื่องทางความคิด แต่ไม่อาจนำมาปฏิบัติได้จริง เพราะจะดูผิดศีลธรรมไปมาก แต่ก็สะท้อนถึงความคิดเห็นทางวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นได้ดีมาก
ปัจจุบันเรามีความรู้ด้านพันธุศาสตร์มากขึ้นอย่างมาก จนรู้ว่าการกลายพันธุ์บางตำแหน่งในสายดีเอ็นเอ ทำให้คนเกิดมามีสุขภาพที่แย่หรือแม้แต่ทุพพลภาพได้ เช่น ในคนไทยมีคนที่เป็น “พาหะ” โรคโลหิตจางแบบธาลัสซีเมียมาถึงราว 24 ล้านคน
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวเองว่าเป็นพาหะ เพราะไม่มีอาการป่วยแต่อย่างใด
แต่หากพาหะแต่งงานกัน ก็มีโอกาสที่ลูกจะป่วยเป็นธาลัสซีเมีย โดยปัจจุบันมีคนไทยที่เป็นโลหิตจางแบบนี้ราว 600,000 คน หรือร้อยละ 1 ของประชากรทีเดียว
ผู้ป่วยธาลัสซีเมียอาจมีอาการน้อยมาก ตั้งแต่ไม่มีอาการซีดหรือซีดเพียงเล็กน้อย แต่ไม่มีผลต่อการใช้ชีวิต ไปจนถึงมีอาการซีดรุนแรง ตัวเหลือง ตาเหลือง ตับม้ามโต รูปหน้าเปลี่ยนและการเจริญเติบโตผิดปกติ หรือแม้แต่เสียชีวิต
กลับมาที่เรื่องการถ่ายทอดอัจฉริยภาพในครอบครัวอีกที
นายแพทย์อัลเบิร์ต รอเธนเบิร์ก และคณะ ทำวิจัยตรวจสอบผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลรวม 435 คน ในสาขาต่างๆ ด้านวิทยาศาสตร์คือ ฟิสิกส์ เคมี และสรีรวิทยาหรือการแพทย์
พบว่าคนกลุ่มนี้มีพ่อและแม่ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นศาสตราจารย์ หรือทำวิจัยอยู่เพียง 11 คน (2%) เท่านั้น
ในทางตรงกันข้าม หากนับเฉพาะพ่อหรือแม่ของนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รางวัลโนเบลที่ “เป็นเพศเดียวกัน” หากแบ่งเป็นกลุ่มๆ รวม 18 กลุ่ม จะพบว่ามีถึงราวครึ่งหนึ่ง (53%) ที่เป็นกลุ่มอาชีพเดียวกัน เช่น ทำเกษตร ไฟฟ้า วิศวกร เภสัชกร ฯลฯ
เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับการศึกษาอีก 2 งานวิจัย ที่ศึกษาคนที่โดดเด่นในอาชีพต่างๆ ระดับนานาชาติ 548 คน เช่น เฮนรี คิสซิงเจอร์ เจ. เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ และเอ็มมา โกลด์แมน กับที่ศึกษาคนไอคิวสูง 560 คนในสหรัฐอเมริกาที่ไม่ได้รับรางวัลใดเลย และเกิดร่วมยุคกับคนที่ได้รางวัลโนเบล
ก็พบว่ามีสัดส่วนพ่อแม่ที่อยู่กลุ่มอาชีพเดียวกันรวม 20% ซึ่งแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญกับ 2% ในกรณีของนักวิทยาศาสตร์โนเบล
ดังนั้นหากเทียบในเชิงอาชีพแล้ว ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการส่งถ่ายพันธุกรรมชั้นยอดที่จะทำให้เป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ในสาขาอาชีพต่างๆ ให้แก่กันจริง
นอกจากนี้ ในการศึกษากลุ่มที่สองดังกล่าวในคนที่ไอคิวสูงมาก ซึ่งติดตามผลกันแบบชั่วชีวิตทีเดียว ทำให้พบว่ามีอยู่แค่ 17% ที่มีอาชีพในกลุ่มเทียบเท่ากันระหว่างพ่อหรือแม่กับลูก ซึ่งก็เป็นผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกับกรณีของนักวิทยาศาสตร์โนเบลอีกเช่นกัน
จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา น่าจะทำให้เห็นได้ว่า แม้ว่าน่าจะมีปัจจัยเชิงพันธุกรรมจากพ่อแม่มาเกี่ยวข้องอยู่บ้าง แต่อัจฉริยภาพไม่น่าจะเป็นเรื่องของสิ่งที่ถ่ายทอดกันได้
และคำกล่าวจำพวก “เกิดมาเก่ง” หรือ “เกิดมาเพื่อเป็น (อาชีพ) ” นั้น น่าจะมีลักษณะสรุปจนง่ายเกินไป (oversimplify) เพราะการที่จะแสดงออกถึงอัจฉริยภาพแบบนั้นได้ ยังต้องการปฏิสัมพันธ์กับส่วนอื่นๆ ในพันธุกรรมของคนเหล่านั้น และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่คนเหล่านั้นเติบโตขึ้นมาอีกด้วย
การฝึกฝน ความสนใจ และการที่มีคนที่เป็นตัวอย่างหรือแบบอย่างให้ดำเนินรอยตามได้ ร่วมกับลักษณะพันธุกรรมที่ได้รับถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ จึงเป็นองค์ประกอบที่ครบถ้วนของอัจฉริยภาพ และ/หรือความสำเร็จที่ตามมา.
โฆษณา