21 มิ.ย. 2022 เวลา 05:32 • กีฬา
การจับแร็คเก็ตเบื้องต้น🏸
การจับแร็คเก็ตนั้นเป็นสิ่งสำคัญในลำดับแรกๆเลยที่ควรจะทำให้ถูกต้องก่อนการเล่น เพื่อความปลอดภัยของแขน ข้อมือ และนิ้วขณะการเล่น และยังช่วยให้เรานั้นสามารถเล่นแบดมินตันได้อย่างเพลิดเพลิน และไหลลื่นได้🌿
หลักทั่วไปในการจับไม้แร็กเกต มีวิธีการจับไม้แร็กเกตที่นิยมกันมี 2 แบบ
  • 1.หน้ามือแบบรูปตัววี(Forehand Girp : V-Shape)
วิธีการจับไม้แร็กเกตแบบวีเชพ
1. ยกมือข้างที่ถนัดขึ้นมาแล้วกางนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ออก เป็นรูปตัววีแล้วสอดด้ามแร็กเก็ตเข้าไปในช่องรูปตัววี
2. ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้คีบทางด้านแบนของด้ามไม้แร็กเกตไว้ เมื่อจับถูกต้องหัวไม้แร็กเกตด้านที่เป็นสันจะอยู่ตรงกลางร่องตัววีพอดี จากนั้นนิ้วที่เหลือทั้ง 3 นิ้ว กำด้ามไม้แร็กเกตเข้ามาโดยกำให้สุดด้าม ปลายด้ามจะอยู่ในอุ้งมือ
3. ใช้นิ้วชี้ล็อกทางส่วนโค้งของ ด้ามไม้แร็กเกตเอาไว้ เมื่อจับด้ามไม้แร็กเกตเรียบร้อยสังเกตจะเห็นว่านิ้วชี้ไม่ติดกับนิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อยที่เรียงติดกันเป็นมุม 45 องศา ส่วนนิ้วหัวแม่มือจะวางทาบอยู่ด้านแบนของด้ามไม้แร็กเก็ต
เหมาะ สำหรับการตีลูกหลังมือ(Backhand) โดยที่นิ้วหัวแม่มือจะกดอยู่ที่ สันใหญ่ของด้ามในการตีลูกหน้ามือการจับไม้แบบวีเชพไม่สามารถปรับหน้าไม้ให้ตั้งฉากกับลูกขนไก่ได้ ลูกขนไก่จะทำมุมกับหน้าไม้ประมาณ 45 องศา ซึ่งทำให้แรงที่ใช้ในการตีลูกได้ประโยชน์เพียงครึ่งเดียว และทำให้วิถีของลูกขนไก่จะไม่ตรงหรือที่เราเรียกกันว่าลูกไซด์
ลูกตบของนักกีฬาที่จับไม้ แบบวีเชพจะมีเสียงดังน่าเกรงขามมาก แต่ลูกขนไก่วิ่งค่อนข้างช้าเมื่อเปรียบกับการตบโดยจับแร็คเก็ตแบบเช็คแฮนด์(Shakehand)
นอกจากนั้นยังทำให้ลูกขนไก่เสียหายง่าย โดยขนจะหักหรือบี้ จากการตบเพียง 2-3 ครั้ง ซึ่งทำให้เกิดความสิ้นเปลืองเป็นอย่างมากในการฝึกซ้อม
  • การจับแร็คเก็ตแบบแช็คแฮนด์(Forehand Girp : Shakehand)
การจับแร็คเก็ตแบบเช็คแฮนด์ เหมาะ สำหรับการตีลูกหน้ามือ (Fore Hand) จนถึงลูกอ้อมศีรษะ (Over Head) ลูกขนไก่จะกระทบหน้าแร็คเก็ตเป็นมุมฉาก
ทำให้ลูกที่พุ่งไปนั้นมีความเที่ยงตรงและเร็ว
สามารถใช้ตีหลังมือได้(Backhand) โดยปรับนิ้วเพื่อช่วยให้การตีลูกได้แรงขึ้นโดยขยับนิ้วชี้ลงไปชิดกับนิ้วกลางแล้วยื่นนิ้วหัวแม่มือกดลงที่สันเล็กของด้าม นิ้วหัวแม่มือจะช่วยส่งแรงทำให้ตีลูกหลังมือได้แรงขึ้นกว่าการใช้ข้อมือเพียงอย่างเดียว
การตีหลังมือโดยวิธีนี้จะด้อยกว่าการตีโดยการจับไม้แบบวีเชพเล็กน้อย ใช้มือซ้ายจับที่คอไม้แร็กเกตก่อนวางฝ่ามือขวาลงบนด้ามไม้แร็กเกต แล้วจึงค่อยๆ ลากมือลงมาเรื่อย ๆ จนนิ้วก้อยหยุดที่ปลายด้ามแล้วกำทั้ง 4 นิ้วรอบ ๆ ด้ามไม้แร็กเกตส่วนนิ้วหัวแม่มือจะอยู่ทางด้านแบนอีกด้านหนึ่งของไม้แร็กเกตคล้ายการสัมผัสมือ
1
หลักทั่วไปในการจับไม้แร็กเกต ดังต่อไปนี้
1. ไม่จับไม้แร็กเกตจนแน่นเกินไปกระชับมือเพียงให้อยู่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด
ในการตีหากจับไม้แร็กเกตแน่นจนเกินไปจะทำให้เกิดอาการเกร็งในส่วนของแขนและไม่สามารถตีและบังคับลูกขนไก่ไปยังเป้าหมายด้วยการใช้นิ้วและข้อมือได้ถนัดกลายเป็นการใช้แขนมากกว่า
เพราะหลักการเล่นแบดมินตันต้องใช้นิ้วมือและข้อมือในการตีลูกขนไก่บังคับไปยังเป้าหมายด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งจะทำได้ดีและง่ายกว่าการใช้แขน
2. วิธีการจับไม้แร็กเก็ตที่ไม่ถูกต้อง เพื่อเป็นข้อเปรียบเทียบที่พบเห็นมีอยู่ 2 วิธีคือ
  • การจับไม้แร็กเกตแบบหน้าเดียว
ข้อแตกต่างของการจับแร็กเก็ตแบบนี้กับการจับแบบวีเชพ(V-Shape)
คือนิ้วหัวแม่มือจับอยู่ตรงสันทำให้ไม่สามารถตีลูกขนไก่ได้ทั้ง 2 หน้า คงตีได้เพียงหน้าเดียวเฉพาะหน้ามือเท่านั้นส่วนด้านหลังมือไม่สามารถตีได้เลย
  • การจับแร็กเก็ตแบบรวมนิ้วหรือแบบกำค้อน
คือการจับไม้แร็กเกตแบบนี้จะใช้นิ้วทั้งห้าจับที่บริเวณด้ามไม้แร็กเกตในลักษณะที่กำแน่นรวมนิ้วทั้งห้าติดกัน ทำให้ไม่สามารถใช้นิ้วและข้อมือในการตีลูกขนไก่อย่างถูกต้อง ทำให้การตีลูกในแต่ละครั้งนั้นมีความยากขึ้น
สำหรับข้อเสียของการจับไม้แร็กเก็ตที่ไม่ถูกวิธีทั้ง 2 แบบที่กล่าวข้างต้นแล้วนั้น
โอกาสที่ตัวผู้เล่นจะพัฒนาเป็นผู้เล่นที่ดีต่อไป
ในอนาคตได้นั้นเป็นเรื่องยากเพราะมีจุดอ่อนอยู่มากและการแก้ไขก็ทำได้ยากเช่นเดียวกัน เนื่องจากเกิดความเคยชินและติดจนเป็นนิสัย
ฉะนั้นควรที่จะฝึกให้ถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่มนะครับ
เทคนิคในการจับไม้แร็กเกต
นอกจากการจับไม้แร็กเกตแบบวีเชฟ(V-Shape)และแบบเช็คแฮนด์(Shakehand) แล้วในแต่ละแบบยังอาจแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่
  • การจับไม้แร็กเก็ตแบบสั้น
(จับที่โคนด้ามทำให้เหลือส่วนที่ใช้ตีสั้น)
✅ข้อดีคือสามารถควบคุมไม้แร็กเก็ตได้ดี เพราะไม้สั้นลงทำให้รู้สึกเบาเหมาะสำหรับการเล่นลูกหน้าตาข่าย สามารถควบคุมลูกได้แม่นยำ
❌ข้อเสีย คือ ตบลูกไม่รุนแรง มีผู้เริ่มเล่นจำนวนมากจับไม้แร็กเกตแบบสั้นช่วยให้ตีเป็นเร็ว แต่ถ้าไม่เปลี่ยนจับให้ยาวขึ้นกว่าเดิมเขาจะมีจุดอ่อนที่ตบลูกได้ไม่รุนแรง คู่ต่อสู้จะโยนลูกให้ตบโดยไม่เกรงกลัว
ดังภาพที่ (1)
  • การจับไม้แร็กเก็ตแบบปานกลาง
✅นักกีฬาส่วนใหญ่จะจับไม้แร็กเกตแบบนี้ เพราะไม่มีข้อเสียเด่นชัด สามารถเล่นได้ทุกลูกดีพอสมควร
ผู้เล่นบางคนที่มีพรสวรรค์เปลี่ยนวิธี จับไม้แร็กเกตให้เหมาะกับการตีลูกแต่ละลูก คือตีลูกแบบหน้ามือจับแบบเช็คแฮนด์(Shakehand) ตีลูกแบบหลังมือจับแบบวีเชพ(V-Shape)
ลูกตบท้ายสนามจับไม้ยาวแบบเช็คแฮนด์(Shakehand) และเมื่อเข้าเล่นหน้าตาข่ายจะจับไม้สั้นแบบวีเชพ(V-Shape)หรือเช็คแฮนด์ (Shakehand)
ดังภาพที่ (2)
  • การจับไม้แร็กเก็ตแบบยาว
(จับที่ปลายด้ามให้เหลือส่วนที่ใช้ตียาว)
✅ข้อดีคือมี การตบลูกที่รุนแรงการตีลูกไกลถึงหลังซึ่งจะเสียแรงน้อย
❌ข้อเสียคือ จะเล่นลูกหน้าตาข่ายไม่ค่อยดี นักกีฬาที่จับไม้แร็กเก็ตแบบยาวมักจะเป็นผู้ที่เคยจับไม้แร็กเกตแบบปานกลางมาก่อน และมาพบว่าการจับไม้แร็กเกตแบบยาวช่วยให้ตบลูกได้รุนแรงดี
ดังภาพที่ (3)
นักกีฬาแบดมินตันที่มีความรู้ในการจับไม้แร็กเก็ตสามารถนำไปแก้ไขการตีลูกให้ดี ยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังสามารถประเมินความสามารถคู่แข่งขันได้ โดยการดูว่าเขาจับไม้แร็กเกตแบบใด
นักกีฬาแบดมินตันที่มีความรู้ในการจับไม้แร็กเก็ตสามารถนำไปแก้ไขการตีลูกให้ดี ยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังสามารถประเมินความสามารถคู่แข่งขันได้ โดยการดูว่าเขาจับไม้แร็กเกตแบบใด
😱คู่แข่งขันที่น่าเกรงขามมากที่สุด คือ ผู้ที่ปรับการจับไม้แร็กเก็ตให้เหมาะสมกับการตีลูกแต่ละลูก แต่ผู้เล่นที่สามารถทำได้เช่นนี้มีจำนวนค่อนข้างน้อย
การควบคุมแร็คเก็ต
ความสำคัญของการใช้ข้อมือ
ข้อมือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเล่นแบดมินตันมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าใช้ข้อมือได้ถูกต้องเพียงอย่างเดียวแล้วจะทำให้ทิศทางการพุ่งของลูกดีเท่านั้น การจะตีให้ดีที่สุดต้องอาศัยการก้าวเท้า (Pace) กำลัง (Power) และการหลอกล่อ (Deception) ประกอบกันไปด้วย
ผู้เล่นจะสามารถเคลื่อนไหวข้อมือได้ดีในลักษณะทำมุม 90 องศากับแขนในขณะหักข้อมือไปข้างหน้าและทำมุม 45 องศาในขณะหักกลับไปข้างหลังการใช้แรงข้อมือจะทำให้สามารถตีลูกต่าง ๆ ได้มีประสิทธิภาพ
เทคนิคการใช้ข้อมือ
1. ก่อนการตีลูกทุกครั้งจะต้องงอข้อมือไปข้างหลังเสียก่อนไม่ว่าจะตีลูกในลักษณะใดก็ตาม
2. ความเร็วของการสะบัดหรือหักข้อมือนั้นขึ้นอยู่กับความเร็วของการสวิงแขน แต่ไม่จำเป็นต้องหักข้อมือไว้ก่อนการสวิงแขนและการเคลื่อนที่
3. ข้อมือเป็นส่วนสุดท้ายหลังการสวิงไม้แร็กเก็ต ถ้าฝึกได้ดีสามารถหลอกล่อฝ่ายตรงข้ามได้ด้วยการเปลี่ยนทิศทางของลูกตามการหมุนข้อมือในช่วงสุดท้าย
4. ข้อมือที่แข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดีนั้น สามารถฝึกกันได้โดยการฝึกตีลม หวดอากาศ จากเบาๆแล้วค่อยๆแรงขึ้น
ทั้งนี้ทั้งนั้น การวอร์มข้อมือก่อนเล่นยังเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่เสมอ เพื่อลดอาการบาดเจ็บจากการเล่น และทำให้เราสามารถเล่นแบดมินตันได้อย่างเพลิดเพลินอีกด้วย
ไม่พลาดสาระต่างๆเกี่ยวกับแบดมินตัน
อย่าลืมกดติดตาม มิสเตอร์แบดฯ(Mr.Badminton)
แล้วก็อย่าลืม กดLike👍 กดShare ⤴️
เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะครับ
……
สุดท้ายนี้ใครที่มีข้อสงสัยหรือคำชี้แนะ สามารถคอมเมนท์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านล่างได้เลยครับ👇👇
โฆษณา