22 มิ.ย. 2022 เวลา 01:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสกับ 2 ตลาดสินทรัพย์แห่งแดนมังกร
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของบรรดาบริษัทต่าง ๆ คือ อัตราการบริโภคอุปโภคที่ขยายตัว และการมีนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งหากเอ่ยถึงประเทศที่มีปัจจัยดังกล่าว ‘ประเทศจีน’ ก็นับว่าเป็นประเทศที่มีปัจจัยครบถ้วนดังที่กล่าวมา
ด้วยขนาดเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องของจีน สะท้อนออกมายังผลประกอบการที่ดีขึ้นของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง ส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนในดัชนีตลาดหุ้นของประเทศจีนได้เข้ามาอยู่ใน Watch List ของนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่ตลาดตราสารหนี้ (Bond) ก็มีความน่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน เนื่องจากตลาดตราสารหนี้จีนมีจุดเด่นหลายด้าน โดยเฉพาะจากการได้อานิสงส์ที่รัฐมีมาตรการเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามามีบทบาท
ลงทุนมากขึ้นผ่านนโยบาย Bond Connect (ข้อมูลจาก : Chinabondconnect)
นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบกับประเทศที่เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลกอย่างสหรัฐอเมริกา
ก็อาจกล่าวได้ว่า จีนยังมีความได้เปรียบในด้านของการเป็นตลาดที่มีผู้บริโภคใหญ่ที่สุดในโลก
เพราะจีนมีประชากรมากถึง 1,400 ล้านคน และมีการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคเฉลี่ยต่อคนในปี 2564 เป็นมูลค่า 24,100 หยวน เติบโตเพิ่มขึ้น 12.6% จากปี 2563 (ข้อมูลจาก THAIBIZCHINA.COM ณ วันที่ 16 พฤษภาคม 2565)
และด้วยการขยายตัวที่รวดเร็วของประชากร บวกกับกำลังในการบริโภคอันมหาศาล ย่อมเอื้อให้บริษัทในจีนได้ประโยชน์ตรงนี้ไปด้วย จุดนี้จึงทำให้จีนกุมความได้เปรียบมากกว่าสหรัฐอเมริกา
และอาจมีโอกาสขึ้นแท่นเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจเบอร์ 1 ของโลกได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในช่วงนี้ตลาดสินทรัพย์ทั่วโลก รวมทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ในจีน ยังคงมีความผันผวน จนนักลงทุนหลายคนมองว่านี่คือวิกฤติ
แต่ถ้าวิเคราะห์ขนาดเศรษฐกิจของจีน และแนวโน้มการเติบโตในอนาคตแบบระยะยาว
ก็เป็นไปได้ว่าสภาพตลาดตอนนี้เป็นแค่ความผันผวนในระยะสั้น จึงทำให้การลงทุนในตลาดจีนเวลานี้ยังมีความน่าสนใจอยู่
และอาจเป็นการเปลี่ยนวิกฤติ ให้กลายเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนได้เช่นกัน…
สำหรับใครที่อยากคว้าโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นจีน ทาง KTAM มีกองทุนแนะนำอยู่ด้วยกันถึง 3 กองทุน คือ
- กองทุนเปิด KT-Ashares มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Allianz Global Investors Fund - Allianz China A-Shares (กองทุนหลัก) เพียงกองเดียวในชนิดหน่วยลงทุน (share class) “PT” ในสกุลเงินเหรียญดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์การลงทุนโดยเน้นการเติบโตของมูลค่าเงินทุนระยะยาวจากการลงทุนในตลาดหุ้น A-Shares ของจีน
- กองทุนเปิด KT-CHINA เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน BGF China Fund (กองทุนหลัก) เพียงกองเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชี ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยกองทุนหลักเน้นลงทุนในบริษัทที่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศจีน หรือเป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน
- กองทุนเปิด KT-CHINABOND เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน BGF China Bond Fund (กองทุนหลัก) เพียงกองเดียว ในชนิดหน่วยลงทุน (share class) “D2” ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ซึ่งกองทุนหลักเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่โอนสิทธิได้ประเภทตราสารหนี้ในสกุลเงินหยวน
หรือตราสารสกุลเงินท้องถิ่นไม่ใช่ประเทศจีนที่ออกโดยนิติบุคคลที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลักในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่
สำหรับท่านใดที่สนใจลงทุนกับทั้ง 3 กองทุน สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
กองทุนเปิดเคแทม ไชน่า เอแชร์ อิควิตี้ ฟันด์ (KT-Ashares) : http://bitly.ws/saQo
กองทุนเปิดเคแทม ไชน่า อิควิตี้ ฟันด์ (KT-CHINA) : http://bitly.ws/saQq
กองทุนเปิดเคแทม ไชน่า บอนด์ ฟันด์ (KT-CHINABOND) : http://bitly.ws/s7Jd
KTAM Smart Trade
เปิดบัญชีกองทุนออนไลน์ได้แล้ววันนี้ ง่าย สะดวก ปลอดภัย รวดเร็ว คลิก
คำเตือน :
ปัจจัยความเสี่ยงที่สำคัญ: ความเสี่ยงทางตลาด (Market Risk) / ความเสี่ยงจากการดำเนินงานของผู้ออกตราสาร (Business Risk) / ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk) / ความเสี่ยงของประเทศที่ลงทุน (Country Risk) เป็นต้น
กองทุนนี้มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุน หรืออาจจะได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
โฆษณา