22 มิ.ย. 2022 เวลา 06:12 • หนังสือ
ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน ep 8
ส่วนที่ 2
แฟ้มข้อมูลแห่งความมั่งคั่งที่ 7
คนรวย:คบหาสมาคมกับคนที่มองโลกในแง่ดีและประสบความสำเร็จ
คนจน:ขลุกอยู่กับคนที่มองโลกในแง่ร้ายหรือไม่ประสบความสำเร็จ
คนที่ประสบความสำเร็จจะมองความสำเร็จของผู้อื่นเป็นเครื่องสร้างกำลังใจให้ตัวเอง พวกเขามองผู้ที่ประสบความสำเร็จคนอื่นๆเป็นต้นแบบในการเรียนรู้ พวกเขาจะบอกตัวเองว่า "ถ้าพวกเขาทำได้ ฉันก็ทำได้" ดังที่ผมได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ การเลียนแบบเป็นหนึ่งในวิธีเรียนรู้เบื้องต้นของมนุษย์
คนรวยรู้สึกขอบคุณที่คนอื่นๆประสบความสำเร็จล่วงหน้าไปก่อน เพราะพวกเขาจะได้มีแผนที่ไว้สำหรับเดินตามรอยทางสู่ความสำเร็จ ซึ่งง่ายกว่าการที่พวกเขาจะต้องลองผิดลองถูกเองทั้งหมด หลักการที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลพร้อมให้ทุกคนหยิบไปประยุกต์ใช้กับตัวเองแล้ว
ดังนั้น วิธีที่รวดเร็วและง่ายดายที่สุดในการสร้างความมั่งคั่งก็คือ การเรียนรู้ว่าคนรวยซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเล่นเกมอย่างไร เป้าหมายก็คือการนำกลยุทธ์ทั้งภายใน (วิธีคิด) และภายนอก (วิธีปฏิบัติ) ของพวกเขามาเป็นแบบอย่าง ถ้าคุณปฏิบัติและมีความคิดแบบเดียวกับคนรวย โอกาสที่คุณจะได้รับผลอย่างเดียวกันก็เป็นไปได้มากทีเดียว นั่นคือวิธีที่ผมใช้และเป็นสาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้
ตรงกันข้ามกับคนรวย เมื่อคนจนได้ยินเรื่องราวความสำเร็จของคนอื่น พวกเขามาตัดสิน วิพากษ์วิจารณ์ ล้อเลียน และพยายามดึงคนเหล่านั้นลงมาอยู่ระดับเดียวกัน คนรู้จักคนประเภทนี้บ้างไหม? คุณมีสมาชิกครอบครัวแบบนี้บ้างไหม? คำถามสำคัญคือ คุณจะเรียนรู้หรือหน้าแรงบันดาลใจจากคนอื่นทั้งๆที่คุณดูถูกพวกเขาได้อย่างไร?
เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมได้รู้จักคนที่ร่ำรวยมากๆผมจะหาทางพบปะกับพวกเขา ผมอยากจะพูดคุยกับคนเหล่านี้ เรียนรู้วิธีคิดของพวกเขา แลกเปลี่ยนเบอร์ติดต่อ และถ้าเราชอบอะไรคล้ายๆกัน เราก็อาจกลายเป็นเพื่อนกันได้
ถ้าคุณคิดว่าผมผิดที่เลือกคบแต่กับคนรวย แล้วคุณคิดว่าผมน่าจะเลือกคบพวกถังแตกอย่างนั้นหรือ? ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ! อย่างที่ผมบอกไปแล้ว พลังงานนั้นแพร่กระจายได้ราวกับโรคติดต่อ และผมก็ไม่สนใจที่จะเอาตัวเองไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของพลังในแง่ลบหรอก!
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ให้สัมภาษณ์ทางวิทยุ และมีผู้หญิงคนหนึ่งโทรเข้ามาถามคำถามที่ดีมาก "ฉันจะทำยังไงดีถ้าฉันเป็นคนมองโลกในแง่ดีและอยากพัฒนาตัวเอง แต่สามีฉันชอบบั่นทอนกำลังใจฉันอยู่เรื่อย ฉันควรเลิกกับเขาดีไหม? หรือพยายามทำให้เขาเปลี่ยนตัวเอง? วิธีไหนดีกว่ากันคะ?"
ผมมักได้ยินคำถามทำนองนี้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 100 ครั้งโดยเฉพาะระหว่างการสัมมนาแทบทุกคนถามคำถามเดียวกัน "ถ้าคนใกล้ชิดของเราไม่ยอมพัฒนาตัวเองแถมยังฉุดเราให้ต่ำลงด้วยล่ะ?"
คำตอบที่ผมมอบให้แก่ผู้หญิงคนนั้นและผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกคนคือสิ่งที่ผมกำลังจะบอกคุณต่อไปนี้
ประการแรกก็คือ อย่าเสียเวลาชักจูคนที่มองโลกในแง่ร้ายให้เปลี่ยนแปลงตนเองหรือชวนเขามาร่วมสัมมนาด้วย มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณ หน้าที่ของคุณคือการใช้สิ่งที่คุณได้เรียนรู้มาปรับปรุงตัวเองและชีวิตคุณให้ดีขึ้น จงทำตัวเป็นแบบอย่างจงประสบความสำเร็จและมีความสุข...และบางที...ผมขอย้ำว่าบางที...
เขาอาจเห็นแสงสว่าง (ในตัวคุณ) และต้องการมันบ้าง ผมขอพูดอีกครั้งพลังงานติดต่อกันได้ ความมืดย่อมเลือนหายไปในแสงสว่าง เขาคงต้องพยายามอย่างหนักน่าดู ถ้าคิดจะคงความ "มืด" ไว้ในขณะที่รอบตัวมีแต่แสงสว่าง หน้าที่ของคุณก็แค่ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าเขาเลือกที่จะถามเคล็ดลับแห่งความสำเร็จจากคุณถึงเวลานั้นคุณค่อยบอกเขาไป
ฃ้อสอง ผมอยากให้คุณจำหลักการสำคัญข้อหนึ่งให้ขึ้นใจ "ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง และเหตุผลนั้นก็มีไว้เพื่อสนับสนุนฉัน" ใช่ มันยากมากที่จะคิดอะไรในแง่ดีและมีสติเมื่อถูกรายล้อมด้วยผู้คนที่คิดไม่ดีและสถานการณ์อันเลวร้าย
แต่นั่นคือบททดสอบ เหมือนเหล็กที่ย่อมกล้าแกร่งขึ้นเมื่อผ่านเปลวไฟ ถ้าคุณจริงจังกับจุดมุ่งหมายขณะที่คนรอบตัวเพราะแต่กางขาหรือแม้แต่กระทั่งส่งเสียงคัดค้าน คุณก็จะยิ่งก้าวไปได้อย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
อีกข้อควรจำไว้คือ "ไม่มีสิ่งใดมีความหมายนอกจากความหมายที่เรามอบให้มันเอง" ในส่วนแรกของหนังสือเล่มนี้เราพูดถึงการที่เรามักลงเอยด้วยการทำตัวเหมือนพ่อแม่ของเราคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนรวมกัน หรือไม่ก็ต่างจากพวกเขาอย่างสิ้นเชิง ขึ้นอยู่กับว่าเรา "เลือกมอง" การกระทำของพวกเขาอย่างไร
ตั้งแต่นี้ไป ผมอยากให้คุณฝึกมองพฤติกรรมและความคิดในแง่ลบของคนอื่นเสียใหม่ เพื่อจะได้เป็นเครื่องเตือนใจว่าสิ่งใดที่คุณไม่ควรทำ ยิ่งพวกเขามีความคิดในแง่ลบมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีเครื่องเตือนใจว่าการกระทำเช่นนั้นน่ารังเกียจมากแค่ไหน
ผมไม่ได้แนะนำให้คุณบอกพวกเขาอย่างนี้หรอกครับ เพียงแค่ทำสิ่งที่คุณต้องทำและไม่ดูถูกคนอื่น เพราะถ้าคุณเริ่มตัดสิน วิพากษ์วิจารณ์ และทำให้พวกเขารู้สึกแย่กับสิ่งที่พวกเขาเป็นและทำ คุณเองก็จะไม่ต่างอะไรจากพวกเขา
ถ้าเรื่องย่ำแย่จนถึงขั้นเลวร้ายที่สุด จนคุณทนรับพลังบอลทำลายของพวกเขาไม่ได้อีกต่อไป ถ้ามันฉุดให้คุณตกต่ำลงจนถึงขั้นที่คุณก้าวไปไหนไม่ได้ คุณอาจต้องตัดสินใจขั้นเด็ดขาดว่าคุณคือใครและคุณอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในรูปแบบไหน
ผมไม่ได้แนะนำให้คุณทำอะไรคุณหันพลัดแล่นนะครับ แต่ผมคนนึงล่ะที่จะไม่มีวันใช้ชีวิตร่วมกับพวกที่คิดแต่ในแง่ร้าย และดูแคลนความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และก้าวหน้าของผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตส่วนตัว จิตใจ หรือการเงินก็ตามที ผมไม่มีวันทำเช่นนั้นกับตัวเองเพราะผมเคารพตัวเองและชีวิตของผม และผมสมควรจะมีความสุขและประสบความสำเร็จสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในความคิดของผม
โลกนี้มีคนกว่า 6,300 ล้านคน แล้วเรื่องอะไรผมจะต้องมานั่งจมปลักกับคนที่คอยบั่นทอนกำลังของผมอยู่ตลอดเวลา ถ้าพวกเขาไม่ฉุดตัวเองขึ้นมา ผมก็ขอก้าวต่อไป!
ก็อีกนั่นแหละ พลังงานนั้นแพร่กระจายได้ คุณสามารถสร้างผลกระทบต่อคนอื่นได้ทั้งในแง่ดีและในแง่ร้าย และในทางกลับกัน คนอื่นก็อาจสร้างผลกระทบในแง่ดีหรือในแง่ร้ายกับคุณได้เช่นกัน ผมขอถามหน่อยว่า คุณจะยอมกอดคนอื่นไหมหากคุณรู้ว่าเขาเป็นโรคหัดขั้นร้ายแรง?
คนส่วนใหญ่คงตอบว่า "ไม่มีทางฉันไม่อยากจะติดเชื้อหัดหรอก" ผมเชื่อว่าความคิดในแง่ลบก็ไม่ต่างกับการเป็นโรคหัดในจิตใจ แต่แทนที่จะคัน คุณก็จะมีอาการปากคอเราะร้าย แทนที่จะเกา คุณก็จะทำหน้าตาบูดบึ้ง และแทนที่จะระคายเคือง คุณก็จะรู้สึกคับข้องใจ แล้วอย่างนี้ คุณยังอยากใกล้ชิดกับคนพวกนี้อยู่อีกหรือ
ผมแน่ใจว่าคุณคงเคยได้ยินคำพังเพยที่ว่า "กาเข้าฝูงกาหลงเข้าฝูงหงส์" มาแล้ว คุณรู้ไหมว่าคนส่วนใหญ่มีรายได้ไม่เกิน 20% ของรายได้เฉลี่ยของเพื่อนสนิทของตัวเอง? นั่นคือสาเหตุที่คุณน่าจะเลือกคนที่จะคบหาสมาคมและคนที่คุณจะใช้เวลาอยู่ด้วยให้ดี
จากประสบการณ์ของผม คนรวยไปรวมกลุ่มกันตามสนามกอล์ฟไม่ใช่เพื่อไปเล่นกอล์ฟหรอกนะ แต่เพื่อพบปะคนรวยและคนที่ประสบความสำเร็จมันเหมือนกันต่างหาก มีอีกเรื่องนึงคำเปรียบเปรยที่ว่า "สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณรู้อะไร แต่อยู่ที่คนรู้จักใครต่างหาก" ดังนั้น ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า
"ถ้าคุณอยากจะบินกับฝูงอินทรีย์ อย่าไปว่ายน้ำกับฝูงเป็ด!" ผมคบหาสมาคมแต่กับพวกมองโลกในแง่ดีและประสบความสำเร็จเท่านั้น และที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ผมแยกตัวออกห่างจากพวกมองโลกในแง่ร้าย
ผมยังตั้งมั่นที่จะดึงตัวเองออกจากสถานการณ์ที่สร้างมลพิษให้กับจิตใจ ผมไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องเอาตัวเองไปเกลือกกลั้วกับพลังงานในแง่ลบเหล่านั้นเลย พลังงานในแง่ลบในที่นี้ประกอบด้วย การทะเลาะเบาะแว้ง การซุบซิบนินทา และการรอบแทงข้างหลัง...รวมไปถึงการดูรายการทีวี "ไร้สาระ" ด้วย นอกเสียจากคุณจะใช้ดูเพื่อความผ่อนคลาย ไม่ได้ดูแบบเอาเป็นเอาตายเพื่อความบันเทิงแต่เพียงอย่างเดียว
ถ้าผมดูทีวี ส่วนใหญ่ผมจะดูช่องกีฬาเหตุผลข้อแรกเพราะผมชอบดูบรรดามืออาชีพแสดงฝีมือ ซึ่งในที่นี้คือการลงแข่งขัน และข้อสอง คือผมชอบฟังการสัมภาษณ์หลังแข่งขัน ผมชอบฟังความคิดของผู้ชนะ นักกีฬาที่ได้เข้ามาร่วมแข่งขันในลีกใหญ่ๆไม่ว่าจะเป็นกีฬาชนิดใดก็ตาม ผมถือว่าพวกเขาเป็นผู้ชนะแล้ว พวกเขาต้องเอาชนะคนนับหมื่นกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกทึ่งกับความสามารถของพวกเขาแต่ละคนมาก
ผมชอบฟังทัศนคติของผู้ที่ชนะในการแข่งขัน "ถือเป็นความพยายามอันยอดเยี่ยมของสมาชิกทุกคนในทีม วันนี้เราทำได้ดีทีเดียว แต่เราก็ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุงแก้ไขอีก นี่แสดงให้คุณเห็นว่าความพยายามฝึกซ้อมที่ผ่านมานั้นได้ผลจริงๆ"
แต่ผมก็ชอบฟังทัศนคติของผู้แพ้ด้วย "เราแพ้เกมนี้เท่านั้นแหละ เราจะกลับมาใหม่ เราจะลืมความพ่ายแพ้ในวันนี้ แล้วทุ่มเทให้กับการแข่งขันในนัดต่อไป เราจะกลับไปหารือกันว่าจะปรับปรุงตรงจุดไหนได้บ้างแล้วก็จะทำทุกอย่างเพื่อคว้าชัยชนะ"
ในการแข่งขันโอลิมปิกปี 2004 เพอร์ดิต้า เฟลิเซียน สาวแคนาดาผู้ครองตำแหน่งแชมป์โลกในกีฬาวิ่งข้ามรั้ว 100 เมตรเป็นตัวเก็งที่จะได้เหรียญทองครั้งนั้น ในการแข่งขันรอบสุดท้าย เธอชวนรั้วอันแรกและหกล้มอย่างแรง จนไม่สามารถวิ่งเข้าเส้นชัยได้เธอผิดหวังอย่างมาก นอนร้องไห้ด้วยความสับสน เธอฝึกซ้อมเพื่อการแข่งขันครั้งนี้วันละ 6 ชั่วโมง
อาทิตย์ละ 7 วัน เป็นเวลา 4 ปีเต็ม เช้าวันต่อมา ผมได้ดูเธอออกมาแถลงข่าว น่าเสียดายที่ไม่ได้อัดเทปไว้ ทัศนคติของเธอช่างน่าทึ่งเหลือเกิน เธอให้สัมภาษณ์ว่า "ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว และฉันก็จะใช้มันให้เป็นประโยชน์ ฉันจะตั้งใจและฝึกซ้อมให้หนักขึ้นอีกเพื่อการแข่งขันในอีก 4 ปีข้างหน้า
ใครจะไปรู้ว่าเส้นทางชีวิตของฉันจะเป็นยังไงถ้าหากเมื่อวานฉันแข่งชนะขึ้นมา? ฉันอาจจะหมดไฟไปเลยก็ได้ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าตอนนี้ฉันกระหายชัยชนะยิ่งกว่าเก่า ฉันจะกลับมาอย่างคนที่แข็งแกร่งกว่าเดิม" ก็ผมได้ยินเธอพูดอย่างนั้น ผมก็พูดออกมาได้เพียง "โอ้โห!" คุณสามารถเรียนรู้จากการฟังคำพูดของผู้ชนะได้มากทีเดียว
คนรวยชอบคบหากับผู้ชนะ คนจนคลุกคลีอยู่กับผู้แพ้ ทำไม? มันเป็นเรื่องของความสบายใจ คนรวยสบายใจที่ได้คบหากับผู้ที่ประสบความสำเร็จคนอื่นๆ พวกเขารู้สึกว่าเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันมีคุณค่า
คนจนจะรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ใกล้ผู้ประสบความสำเร็จมากๆพวกเขากลัวว่าจะไม่เป็นที่ยอมรับหรือไม่ก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง ดังนั้น เพื่อปกป้องตัวเอง ตัวตนของพวกเขาจึงเลือกที่จะตัดสินและวิพากษ์วิจารณ์ผู้ที่ประสบความสำเร็จคนอื่นๆ
ถ้าคุณอยากร่ำรวย คุณต้องปรับปรุงแผนผังการเงินภายในหัวคุณให้เชื่อออกมาจากสุดขั้วหัวใจว่า คุณเองก็มีดีไม่น้อยไปกว่าเศรษฐีเงินล้านพวกนั้นเลย
ผมตกใจมากที่มีคนเดินเข้ามาและขอแตะตัวผมระหว่างการสัมมนา พวกเขาบอกว่า "ผมยังไม่เคยสัมผัสเศรษฐีเงินล้านมาก่อนเลย" ผมยิ้มให้อย่างสุภาพตามปกติ แต่ในใจอยากจะบอกว่า "หัดลืมตาถั่วๆซะบ้าง! ผมไม่ได้ดีเด่หรือแตกต่างไปจากคุณหรอก ถ้าคุณไม่ยอมทำความเข้าใจในเรื่องนั้น คุณก็จะถังแตกไปตลอดชาติ!"
ผู้อ่านที่รัก มันไม่ใช่เรื่องของการ "สัมผัส" เศรษฐีเงินล้านหรอก แต่มันเป็นการตัดสินใจว่าคุณมีดีและมีค่าเท่าเทียมกับพวกเขา แล้วก็ทำตัวให้ได้อย่างนั้นต่างหาก คำแนะนำที่ดีที่สุดของผมคือ ถ้าคุณอยากจะสัมผัสเศรษฐีเงินล้านตัวจริง จงเป็นเศรษฐีเงินล้านด้วยตัวเอง!
ผมหวังว่าคุณคงเข้าใจประเด็นทั้งหมดที่ผมพูดมานะครับแทนที่จะเย้ยหยันคนรวย จงเอาพวกเขาเป็นแบบอย่าง แทนที่จะหลบหน้าจากคนรวย จงเข้าไปทำความรู้จัก แทนที่จะพูดว่า "โอ้โห พวกเขาช่างวิเศษเหลือเกิน" จงพูดว่า "ถ้าพวกเขาทำได้ ฉันก็ทำได้" ถ้าคุณทำได้อย่างนี้ ในที่สุด ถ้าคุณอยากจะสัมผัสเศรษฐีเงินล้าน ก็ไม่ต้องไปมองหาใคร...คุณสามารถสัมผัสตัวเองได้เช่นกัน!
ประกาศเจตจำนง : วางมือทาบหัวใจแล้วพูดว่า...
"ฉันเอาคนรวยที่ประสบความสำเร็จเป็นแบบอย่าง"
"ฉันคบหากับคนรวยที่ประสบความสำเร็จ"
"ถ้าพวกเขาทำได้ฉันก็ทำได้"
เอานิ้วชี้แตะศีรษะของคุณแล้วพูดว่า...
"ฉันมีสมองเงินล้าน!"
ข้อปฏิบัติสมองเงินล้าน
1.ไปที่ห้องสมุด ร้านหนังสือ หรือท่องโลกอินเตอร์เน็ต เพื่ออ่านชีวประวัติของคนที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จอย่างสูง แอนดรูว์ คาร์เนกี้ , john d rock Felller, Mary Kay, Donald trump, Warren buffett, แจ๊ค เวลซ์, บิล เกตส์ และ เม็ด เทอร์เนอร์ ล้วนเป็นตัวอย่างที่ดี จงใช้เรื่องราวของพวกเขาเป็นแรงบันดาลใจ เพื่อเรียนรู้กลยุทธ์ความสำเร็จเฉพาะด้าน และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ จงใช้แนวความคิดของพวกเขาเป็นแบบอย่าง
2.ลองเข้าสังคมคนรวย เช่น สมัครสมาชิกชมรมเทนนิส,ชมรมสุขภาพ ธุรกิจ หรือกอล์ฟคลับ คลุกคลีกับพวกคนรวยในสิ่งแวดล้อมหรูๆหรือถ้าคุณไม่มีเงินจ่ายค่าสมาชิกก็ลองไปดื่มกาแฟหรือชาสักถ้วยที่โรงแรมสุดหรูในเมืองของคุณ ทำความคุ้นเคยกับบรรยากาศโปรดของและสังเกตดูลูกค้าของโรงแรม ลองดูว่าพวกเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากคุณเลย
3.ค้นหาว่าสถานการณ์ใดหรือใครที่ฉุดให้ชีวิตคุณตกต่ำ ดึงตัวเองออกมาจากสถานการณ์หรือกลุ่มคนนั้นๆถ้าเขาเป็นคนในครอบครัว จงใช้เวลากับพวกเขาให้น้อยลง
4.เลิกดูรายการทีวีไร้สาระ และอย่าดูข่าวอันหน้าหดหู่
จบแฟ้มข้อมูลแห่งความมั่งคั่งที่ 7
แล้วพบกันใหม่แฟ้มข้อมูลแห่งความมั่งคั่งที่ 8
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ
หากต้องการสอบถามหรือแลกเปลี่ยนความรู้ติดต่อ admin พี่ซีได้ที่.telegram
โฆษณา