23 มิ.ย. 2022 เวลา 09:02 • ประวัติศาสตร์
*** สามก๊ก สรุปจบเข้าใจง่าย ***
กว่าที่ประเทศจีนจะมาถึงปัจจุบันนี้ได้ ต้องผ่านสงครามกลางเมืองและสภาพบ้านเมืองแตกแยกมาแล้วหลายยุคสมัย และหนึ่งในยุคที่มีการต่อสู้ดุเดือดและมีชื่อเสียงที่สุด คือ ยุคสามก๊ก ซึ่งเกิดถัดจากสมัยราชวงศ์ฮั่นนั่นเอง
มีการหยิบเอาประวัติศาสตร์ช่วงนี้ไปเขียนเป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์หลายฉบับ มีฉบับหนึ่งของนักเขียนชื่อหลอกว้านจงนั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ประวัติศาสตร์ตอนนี้เป็นที่แพร่หลายไปทั่ว จนปัจจุบันมีการทำสื่อออกมามากมายทั้งภาพยนต์ ซีรีย์ เกมส์ การ์ตูน
แม้สิ่งที่หลอกว้านจงเขียนไม่ตรงตามประวัติศาสตร์ทั้งหมด แต่ก็พอมีเค้าโครงพอทำให้ชาวโลกให้ความสนใจประวัติศาสตร์ตอนนี้มากขึ้น (ปกตินับว่ายุคสามก๊กเกิดใน ค.ศ. 220 - 280 แต่ถ้านับการเริ่มในนิยาย เรื่องนี้เริ่มตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 2 แล้ว)
บทความนี้จะพาทุกท่านไปสัมผัสเรื่องสามก๊กเวอร์ชันหลอกว้านจง โดยจะเรียกชื่อตามแบบไทย เพื่อให้ท่านสามารถเรียนรู้นิยายอิงประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเรื่องนี้โดยเข้าใจง่ายนะครับ
*** ที่มาของสามก๊กฉบับไทย ***
ในไทยนั้นก็มีการแปลสามก๊กหลอกว้านจงไปหลายสำนวน สำนวนที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่ คือสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง ซึ่งแปลไว้ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 มีเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นแม่กองแปล และต่อมามีการถอดบทเรียนจากวรรณกรรมเรื่องนี้ไปใช้มากมาย ทั้งกลศึก, การใช้คน หรือการคิดอ่านวางแผน จนมีสุภาษิตในหมู่คนไทยว่า “อ่านสามก๊กสามจบคบไม่ได้” หรือ “ยังมิได้อ่านสามก๊กอย่าพึงคิดการใหญ่”
เนื่องจากในตอนแปลนั้น มีการแปลชื่อตัวละครด้วยสำเนียงฮกเกี้ยน และเป็นฮกเกี้ยนโบราณสำเนียงย่อยที่ถูกเอามาทำให้เป็นสำเนียงไทยอีกที ทำให้ไม่เหมือนฮกเกี้ยนมาตรฐาน จนอาจเรียกว่าไทยมีชื่อตัวละครสามก๊กของตนเองเวอร์ชันนึง ไม่เหมือนที่อื่น ยกตัวอย่างเช่นชื่อ ขงเบ้ง นั้น ฮกเกี้ยนมาตรฐานเรียก ค้องบิ๋ง และจีนกลางเรียก ข่งหมิง
2
ภาพแนบ: ชุดสามก๊ก 3 เล่มสีทองนี้น่าจะคุ้นตากันดี
*** กำเนิดโจรโพกผ้าเหลือง ***
ราชวงศ์ฮั่นของจีนมีอายุมาได้ 400 ปี ถึงรัชกาลพระเจ้าเลนเต้ แต่เนื่องจากเลนเต้มัวเมาสุรานารี และหูเบาเชื่อพวกขันที ทำให้ปล่อยปละละเลยจนพวกขันทีทำการฉ้อราษฎร์บังหลวง ขูดรีดชาวบ้าน ทำให้แผ่นดินเป็นทุรยศ ผู้คนได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
จนใน ค.ศ. 184 มีชายชื่อเตียวก๊กประกาศตนเป็นผู้วิเศษ นำพาชาวบ้านก่อกบฏต่อราชวงศ์ฮั่น พวกกบฏผูกผ้าโพกหัวสีเหลือง เรียก “โจรโพกผ้าเหลือง”
ภาพแนบ: โจรโพกผ้าเหลือง
ตัดบทไปที่ชายคนหนึ่งชื่อ เล่าปี่ ซึ่ง “สูงประมาณห้าศอกเศษ หูยานถึงบ่า มือยาวถึงเข่า หน้าขาวดังสีหยก ฝีปากแดงดังชาดแต้ม จักษุชำเลืองไปเห็นหู” (ที่ว่ามานี้แปลว่าโหงวเฮ้งดีมาก) แม้เขาจะมีเชื้อสายกษัตริย์ แต่บรรพบุรุษกลับตกอับลงเรื่อยๆ จนพอถึงรุ่นเขาก็กลายเป็นคนทอเสื่อขาย อย่างไรก็ตามเล่าปี่เป็นคนจิตวิทยาดี ดรามาเก่ง ทำให้คนหลงรักได้ง่าย
เมื่อทางการมาประกาศชวนชาวบ้านจับโจรโพกผ้าเหลือง เล่าปี่ได้เข้าสมัครและได้รู้จักกับผู้กล้าชื่อกวนอู และเตียวหุย พวกเขาถูกคอกันจึงสาบานเป็นพี่น้องที่สวนดอกท้อหลังบ้านเตียวหุย พร้อมพูดประโยคอมตะว่า “แม้ไม่เกิดวัน เดือน ปีเดียวกัน แต่ขอตายวัน เดือน ปีเดียวกัน!” ซึ่งนี่เป็นฉากที่ทำให้ลูกผู้ชายชาวจีนอ่านแล้วซาบซึ้งใจ และทำตามมาตลอด
ภาพแนบ: คำสาบานในสวนท้อ
อนึ่ง กวนอู ขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์ ใช้ง้าวเป็นอาวุธ นอกจากนั้นยัง “สูงประมาณหกศอก หนวดยาวประมาณศอกเศษ หน้าแดงดังผลพุทราสุก ปากแดงดังชาดแต้ม คิ้วดังตัวไหม จักษุยาวดังนกการะเวก เห็นกิริยาผิดประหลาดกว่าคนทั้งปวง” (นี่ก็โหงวเฮ้งดี แต่โหงวเฮ้งดีไม่ได้แปลว่าหล่อ พวกหล่อๆ หน้าขาวน่ะให้ไปเป็นพระเอกงิ้ว ไม่ได้เป็นขุนนางหรอก)
4
สำหรับ เตียวหุย นั้นใช้ทวนงูเลื้อยเป็นอาวุธ ติดสุราเรื้อรัง มีนิสัยหยาบช้า และ “สูงประมาณ 5 ศอก ศีรษะเหมือนเสือ จักษุกลมใหญ่ คางพองโต เสียงดังฟ้าร้อง กิริยาดังม้าควบ” ทั้งกวนอู เตียวหุยเป็นนักรบมากฝีมือ แต่มีข้อเสียคืออีโก้สูง สำหรับเล่าปี่นั้นใช้กระบี่คู่ แต่ไม่ได้เก่งต่อสู้เท่า เน้นใช้จิตวิทยากล่อมคนไปเรื่อยๆ
2
เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ร่วมกันปราบโจรโพกผ้าเหลืองเป็นสามารถ ครั้งหนึ่งยังเคยช่วยขุนนางชื่อตั๋งโต๊ะไว้ได้ แต่เมื่อตั๋งโต๊ะเห็นพวกเขาเป็นฟรีแลนซ์ไร้ยศ ก็ไม่สนใจนัก
โจรโพกผ้าเหลืองถูกปราบมากๆ ต่อมาก็เฟดตัวลง
ภาพแนบ: เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย
*** เค้าลางหายนะ ***
1
หลังพระเจ้าเลนเต้เสด็จสวรรคตในปี 188 โฮจิ๋น ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ของราชสำนัก เข้าดูแลการสืบราชสมบัติของเล่าเปียน ฮ่องเต้รัชกาลต่อมา มาถึงตอนนี้ทั้งโฮจิ๋น และฝ่ายขันที ต่างคิดกำจัดอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อชิงความเป็นใหญ่ แต่โฮจิ๋นเสียทีถูกฝ่ายขันทีลวงไปฆ่าก่อน
ภาพแนบ: โฮจิ๋นกับสิบขันที
ก่อนตายโฮจิ๋นเคยส่งจดหมายไปถึงตั๋งโต๊ะ ซึ่งเป็นตอนนั้นขุนศึกใหญ่ในเมืองเสเหลียงทางตะวันตก (ปัจจุบันอยู่แถวๆ มณฑลกานซู) เพื่อขอทหารมาช่วยรักษาความสงบในเมืองหลวง
ครั้นตั๋งโต๊ะมาถึงเมืองหลวงลกเอี๋ยง (ลั่วหยาง) ในปี 189 เห็นว่าสถานการณ์วุ่นวายเพราะขุนนางฝ่ายโฮจิ๋นและขันทีปะทะกัน พอดีเขาสามารถควบคุมตัวฮ่องเต้ที่มีขันทีพาตัวออกมาได้ จึงถืออำนาจเข้าไปเคลียร์เมืองหลวง
ภาพแนบ: ตั๋งโต๊ะในสื่อต่างๆ มักทำออกมาให้อ้วนๆ หื่นๆ เลวๆ
ตอนนั้นตั๋งโต๊ะไม่เพียงเคลียร์พวกขันที แม้แต่ขุนนางอื่นๆ ที่ไม่เชื่อฟังก็ถูกเคลียร์หมด เขาจัดการเปลี่ยนให้เล่าเหียบ โอรสอีกคนของเลนเต้ขึ้นเป็นจักรพรรดิพระนามว่า “เหี้ยนเต้” ให้เป็นหุ่นเชิดของตนเอง และตั้งตนเป็นมหาอุปราชเสียเลย
1
เมื่อตั๋งโต๊ะเป็นใหญ่แล้วก็กระทำการหยาบช้าต่างๆ ทั้งเข่นฆ่าผู้คน ยึดทรัพย์สิน และมาหลับนอนกับเหล่านางสนมกำนัล ไม่เห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตา ด้วยเหตุนี้จึงมีคนมากมายอยากกำจัดเขา แต่ยังไม่กล้าเพราะตั๋งโต๊ะมีกำลังมาก และมีบุตรบุญธรรมชื่อลิโป้ เป็นยอดฝีมือที่หลายๆ คนยกให้เก่งที่สุดในเรื่องนี้คอยคุ้มกัน
หนึ่งในฝ่ายต่อต้านตั๋งโต๊ะนั้นมีชายชื่อ โจโฉ เป็นคนฉลาดและทะเยอทะยาน “สูงประมาณห้าศอก จักษุเล็ก หนวดยาว” (ส่วนสูงในนี้ไม่ต้องสนใจเท่าไรนะครับ มันเป็นหน่วยวัดโบราณที่ไม่เหมือนหน่วยวัดสมัยใหม่ และทีมเจ้าพระยาพระคลังก็มีแปลผิดด้วย)
โจโฉเคยเป็นหัวหน้าทหารรักษาประตูเมืองหลวง เอากระบองตีคนที่สัญจรแบบผิดกฎไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหม แม้จะมีอุดมการณ์ แต่ก็เป็นคนดาร์คๆ อุปนิสัยของเขาสะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจนจากประโยคที่เขาจะพูดในภายหลังว่า “ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่ายอมให้โลกทรยศข้า!”
ภาพแนบ: ประโยคนี้ของโจโฉมาจากตอนที่โจโฉกำลังหลบหนี แล้วระแวงครอบครัวชาวบ้านที่ให้ที่พักพิง เขาก็ฆ่าทิ้งเพราะเกรงว่าจะไปแจ้งทางการ
ตอนนั้นโจโฉเอากระบี่ชั้นดีไปจะลอบฆ่าตั๋งโต๊ะ แต่ตั๋งโต๊ะรู้ตัวก่อน โจโฉจึงเนียนเปลี่ยนไปถวายกระบี่แล้วหนีไป จนถูกประกาศจับไปทั่ว เขาชักชวนเรียกขุนศึก 18 หัวเมืองมาช่วยกันปราบตั๋งโต๊ะ มีขุนนางอาวุโสชื่ออ้วนเสี้ยวเป็นผู้นำ และเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยเข้าร่วมแจมด้วย
2
ตอนนั้นแม้ลิโป้จะออกโรงสู้เอง แต่ถูกเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย สร้างวีรกรรม “3 รุม 1” จนต้องล่าถอย (ลิโป้เก่งมาก ดังนั้นการที่รวมพลังสามรุมหนึ่งทำให้ล่าถอย ก็แปลว่าสุดยอดแล้ว)
ต่อมาตั๋งโต๊ะสู้พวกขุนศึกไม่ได้ จึงเผาเมืองลกเอี๋ยงทิ้งแล้วหนีไปยังเมืองเตียงอั๋น (ฉางอาน) ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของจีนที่อยู่ทางตะวันตก แต่ปรากฏว่าฝ่ายกองทัพ 18 หัวเมืองขาดความสามัคคี และอ้วนเสี้ยวเป็นผู้นำที่ไม่ดี ขุนศึกต่างๆ จึงแยกย้ายไม่ได้ตามตีตั๋งโต๊ะต่อ
3
...ณ จุดนี้ ขุนศึกต่างๆ ในแผ่นดินล้วนรู้สึกว่าฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่นหมดอำนาจไปแล้ว ทั้งหมดจึงสะสมกำลังชิงความเป็นใหญ่ ทำให้จีนเข้าสู่ยุคขุนศึกอย่างเต็มตัว
อีกด้านหนึ่งมีขุนศึกชื่อซุนเกี๋ยน เขานำคนคุ้ยซากเมืองลกเอี๋ยงที่มอดไหม้ แล้วเกิดไปเจอตราแผ่นดินจีนจึงลอบเก็บไว้ คิดว่าความชอบธรรมในการครองแผ่นดินอยู่กับข้านี่แหละ คะลัก คะลัก
ภาพแนบ: เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยลุยกับลิโป้ สมัยออกรบให้กับกองทัพ 18 หัวเมือง
ฝ่ายตั๋งโต๊ะที่อยู่เตียงอั๋นยังคงทำตัวเป็นทรราชอยู่เช่นเดิม แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไรเพราะเกรงฝีมือลิโป้ ต่อมาขุนนางผู้ภักดีต่อราชวงศ์ฮั่นจึงออกอุบาย ส่งหญิงงามนามเตียวเสี้ยนไปยั่วยวนและยุยงให้ตั๋งโต๊ะแตกคอกับลิโป้ สุดท้ายลิโป้ก็ฆ่าตั๋งโต๊ะในปี 192 และต้องหลบหนีจากเมืองเพราะสู้ลูกน้องตั๋งโต๊ะที่เหลือไม่ได้
ทั้งนี้เตียวเสี้ยนไม่มีตัวจริงในประวัติศาสตร์ นิยายล้วนๆ แต่เนื่องจากสามก๊กเวอร์ชันนี้ดังมาก นางจึงได้รับยกย่องเป็นหนึ่งในสี่หญิงงามของจีน (อย่างไรก็ตามมีบันทึกเหมือนกันว่าลิโป้ลอบมีชู้กับเมียน้อยตั๋งโต๊ะที่ไม่ทราบชื่อ แล้วกลัวถูกจับได้จึงเป็นเหตุหนึ่งให้ปฏิวัติ)
1
ภาพแนบ: เตียวเสี้ยน สมญา “จันทร์หลบโฉมสุดา” แปลว่าสวยมากจนพระจันทร์ยังต้องหลบ
*** เริ่มยุคขุนศึก ***
1
หลังจากตั๋งโต๊ะตายแล้ว ลูกน้องเก่าตั๋งโต๊ะก็ตีกันแย่งอำนาจ แผ่นดินแตกเป็นเสี่ยงๆ ตอนนั้นโจโฉสามารถช่วยพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่หนีจากลูกน้องตั๋งโต๊ะไว้ได้ จึงเชิดพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นหุ่นของตน ตั้งกองกำลังอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ (ปัจจุบันคือนครสวี่ชาง มณฑลเหอหนาน)
หลังจากนั้นโจโฉสามารถชนะก๊กลิโป้ และขุนศึกอื่นๆ ได้ จึงได้แผ่นดินภาคกลางที่มีประชากรมากมาอยู่ในอาณัติ เล่าปี่ก็มาสวามิภักดิ์อยู่กับโจโฉด้วย
ภาพแนบ: ลิโป้ถูกประหารชีวิต เนื่องจากมีประวัติเสียๆ ว่าเป็น “ลูกสามพ่อ” (ไปอยู่กับใครก็เรียกเขาเป็นพ่อ จากนั้นหักหลังเรียบ) โจโฉจึงไม่รับมาอยู่ด้วย
ภาพแนบ: ลิโป้ถูกประหารชีวิต เนื่องจากมีประวัติเสียๆ ว่าเป็น “ลูกสามพ่อ” (ไปอยู่กับใครก็เรียกเขาเป็นพ่อ จากนั้นหักหลังเรียบ) โจโฉจึงไม่รับมาอยู่ด้วย
มีช่วงหนึ่งที่เล่าปี่เสียเมืองต้องหลบหนี ทำให้โจโฉสามารถได้กวนอูมาอยู่ด้วยเป็นช่วงสั้นๆ ในช่วงนี้ถึงแม้โจโฉจะเสนอลาภยศให้กวนอูมากมาย แต่กวนอูก็ไม่สนใจ ต้องการกลับไปอยู่กับเล่าปี่ท่าเดียว สุดท้ายอยู่มาวันหนึ่ง กวนอูสบโอกาสจึงออกเดินทางไปหาเล่าปี่ ระหว่างนั้นทหารฝ่ายโจโฉไม่ทราบจึงรบป้องกันคนหนี สุดท้ายกวนอูจึงหักไปได้ 5 ด่าน ฆ่านายทัพโจโฉไปถึง 6 คน กลายเป็นตำนานแห่งความโหดสัส
ภาพแนบ: กวนอูหักด่าน
ต่อมา ซุนเกี๋ยน หรือขุนศึกที่เคยแฮบตราแผ่นดินไว้ได้ตายลง ซุนเซ็กลูกของเขาจึงนำตราแผ่นดินไปแลกกับกำลังทหารของขุนศึกอีกคนชื่ออ้วนสุดมาได้ และใช้กองทหารนี้ขยายอิทธิพลในแถบกังตั๋งได้เป็นอันมาก (กังตั๋ง ภาษากลางเรียก เจียงตง ในที่นี้หมายถึงดินแดนที่อยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำแยงซี ปัจจุบันทับซ้อนกับดินแดนเจียงหนาน หรือตอนใต้แม่น้ำ ซึ่งเป็นส่วนที่อุดมสมบูรณ์ และอากาศดีของจีน)
อย่างไรก็ตามซุนเซ็กนั้นไปสังหารผู้วิเศษคนหนึ่ง และถูกวิญญานผู้วิเศษตามหลอกหลอนจนตายตั้งแต่อายุไม่มาก ซุนกวน น้องชายซุนเซ็ก จึงได้ขึ้นปกครองแทน
ซุนกวนนี้ รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว ตาเขียว หนวดเคราแดง ดูๆ ไปแล้วเหมือนฝรั่ง (แต่คำจีนตาเขียว อาจหมายถึงตาเป็นประกาย) แม้ไม่มีฝีมือทางบู๊มากเท่าพี่ชาย แต่มีความสามารถในการปกครองสูงมาก ในบรรดาผู้ก่อตั้งทั้งสามก๊กนั้น ซุนกวนมีอายุน้อยที่สุด ครั้งหนึ่งโจโฉถึงกับเคยชมซุนกวนว่า “ถ้าจะมีบุตร ต้องให้ได้อย่างซุนกวน”
ภาพแนบ: ซุนเซ็กคิดถูกที่แลกตราหยกแผ่นดินกับทหารมาใช้สร้างฐานอำนาจ
อ้วนสุดได้ตราหยกแผ่นดินมาก็คิดกำเริบเสิบสาน ตั้งตนเป็นฮ่องเต้ในปี 197 แต่เปรี้ยวไปหน่อยจึงถูกปราบในปี 199 ในช่วงเดียวกันเมื่อเล่าปี่อยู่ด้วยโจโฉนั้น โจโฉได้ทำการทดสอบเล่าปี่มากมาย แต่เล่าปี่แกล้งทำตัวห่วย ไม่ทะเยอทะยานเพื่อให้โจโฉคลายความระแวง
มีกลุ่มขุนนางในฮูโต๋คิดกำจัดโจโฉคืนอำนาจให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ โดยดึงเล่าปี่เข้าร่วมด้วย แต่แผนแตกเสียก่อน จึงมีการประหารชีวิตขุนนางเหล่านั้น ส่วนเล่าปี่ออกอุบายหลบหนีจากโจโฉมาได้ โดยหนีไปพึ่งเล่าเปียว ข้าหลวงเมืองเกงจิ๋ว (ปัจจุบันอยู่แถบมณฑลหูเป่ย)
ภาพแนบ: เล่าปี่แกล้งตกใจเสียงฟ้าร้องให้โจโฉคลายความระแวง
หลังจากนั้นโจโฉเบนความสนใจไปยังภาคเหนือ เพื่อสู้ชิงความเป็นใหญ่กับอ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวมาจากตระกูลขุนนางจึงมีคนเข้าร่วมมาก แต่เป็นคนคิดเล็กคิดน้อย เจ้ายศเจ้าอย่าง จึงบริหารสู้โจโฉไม่ได้
ในศึกใหญ่ที่กัวต๋อ ปี 200 นั้น โจโฉสามารถเอาชนะอ้วนเสี้ยวได้อย่างยิ่งใหญ่ จากนั้นโจโฉใช้เวลาอีก 7 ปีในการทำลายเขตอิทธิพลของแซ่อ้วนที่เหลือในภาคเหนือลง จนทำให้ก๊กของโจโฉหรือวุยก๊ก กลายขุมกำลังที่เข้มแข็งที่สุดต่อจากนี้ไปจนแทบจะจบเรื่อง
1
ภาพแนบ: โจโฉนำทัพในศึกกัวต๋อ
ต่อมาเล่าปี่อยากได้ ขงเบ้ง มาเป็นที่ปรึกษา ขงเบ้งนี้เป็นบัณฑิตที่มีปัญญาล้ำเลิศ ถึงขั้นมีฉายาว่า มังกรหลับ (ฮกหลง) เขาเก็บตัวอยู่บนภูเขาแต่หยั่งรู้เรื่องราวในแผ่นดินประดุจมีเวทมนต์ (ซึ่งในนิยายก็ดูเหมือนจะมีจริงๆ) ขงเบ้งต้องการทดสอบความจริงใจของเล่าปี่ จึงถ่วงเวลาให้ต้องเป็นฝ่ายถ่อมาหาถึง 3 ครั้ง 3 ครา แล้วค่อยให้พบ
เมื่อพบแล้วขงเบ้งได้ทำการอ่านสถานการณ์แผ่นดินให้เล่าปี่ฟังแบบโชะโชะโชะ มองขาด โดยเขาบอกว่าต่อไปแผ่นดินจะแบ่งเป็นสามก๊ก คือก๊กของโจโฉ ก๊กของซุนกวน และก๊กของเล่าปี่ ให้เล่าปี่พยายามคุมเกงจิ๋วในภาคกลาง และเสฉวนในภาคตะวันตก จากนั้นร่วมมือกับซุนกวนหาช่องตีโจโฉ จึงจะชนะโจโฉได้ (แล้วค่อยไปเคลียร์กับซุนกวนทีหลัง)
เล่าปี่ฟังยุทธศาสตร์นี้แล้วก็เห็นลู่ทางเป็นใหญ่ รู้สึกปลาบปลื้มใจเหมือนปลาได้น้ำ
1
ขงเบ้งกับเล่าปี่
หลังจากปราบภาคเหนือได้ราบคาบแล้ว โจโฉจึงตีลงมาทางใต้ต่อ เพราะเห็นว่าเหลือแค่เล่าปี่กับซุนกวนที่ขวางการรวมแผ่นดิน ช่วงนั้นเล่าเปียวเสียชีวิต บุตรเล่าเปียวยอมจำนนถวายเกงจิ๋วแก่โจโฉ ทำให้เล่าปี่ต้องหนีต่อลงมาทางใต้
ในปี 208 เกิดศึกสะพานเตียงปันเกี้ยว แม้ศึกนั้นเล่าปี่จะพ่ายแพ้เสียไพร่พลไปมาก แต่ก็มีวีรกรรมที่จูล่งซึ่งเป็นลูกน้องของเล่าปี่แสดงวีรกรรมบุกเดี่ยวฝ่าทัพโจโฉไปช่วยบุตรของเล่าปี่ชื่ออาเต๊าที่ยังเป็นทารกออกมาได้ (จูล่งหล่อ เก่ง นิสัยดี ไม่มีประวัติเสีย และตายตอนแก่ ในเกมส์จึงมักให้มีค่า stat พอสู้ลิโป้ได้ และเป็นพระเอกสายดี ขณะที่ลิโป้มักเป็นพระเอกสายดาร์ค)
ภาพแนบ: ภาพจูล่งฝ่าทัพโจโฉไปรับลูกเล่าปี่ ในพระราชวังฤดูร้อน กรุงปักกิ่ง
เล่าปี่ได้อาเต๊ามาแล้ว ก็โยนลูกทิ้งตำหนิว่าทำให้จูล่งลำบาก ทำให้จูล่งต้องรีบรับอาเต๊าไว้ แล้วบอกด้วยความซาบซึ้งว่าเล่าปี่เป็นห่วงตนขนาดนี้จะยอมมอบชีวิตให้ (สันนิษฐานว่าอาเต๊าปัญญาอ่อนตั้งแต่การถูกโยนทิ้งครั้งนั้น)
อีกด้านหนึ่งเตียวหุยได้ไปยืนขวางสะพานเตียงปันเกี้ยว แล้วให้ทหารผูกกิ่งไม้กับหางม้า ลากไปมาให้มีฝุ่นคลุ้ง จนดูเหมือนมีคนมาก พร้อมกับพองตัวขู่ทัพโจโฉล่าถอยไปได้
ภาพแนบ: ภาพสไตล์ญี่ปุ่น รูปเตียวหุยยืนดักรอทัพโจโฉบนสะพานคนเดียว
เมื่อโจโฉยึดเกงจิ๋วได้ ซุนกวนก็รู้สึกกริ่งเกรง จึงส่งทูตมาเป็นพันธมิตรกับเล่าปี่ จากนั้นโจโฉกับเล่าปี่+ซุนกวนได้ทำศึกใหญ่ที่เซ็กเพ็ก (แปลว่าผาแดง สถานที่จริงๆ ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่คงอยู่สักแห่งฝั่งใต้ของแม่น้ำแยงซี) ในปี 208
ตอนนั้นโจโฉยกกองทัพเรือนับล้านล่องตามแม่น้ำจะมาตีกังตั๋ง แต่ถูกทีมงานขงเบ้ง + จิวยี่ (แม่ทัพของซุนกวน) รุมทำกลใส่แบบรัวๆ จนโจโฉเอาโซ่คล้องเรือทุกลำเข้าด้วยกันแบบมึนๆ (เชื่อว่าจะทำให้เรือไม่โคลงเคลง เพราะคนของโจโฉมาจากทางเหนือ เมาเรือง่าย)
1
ต่อมาฝ่ายพันธมิตรซุนเล่าใช้จังหวะนี้เผาเรือโจโฉเสีย ฝ่ายโจโฉผูกโซ่กับเรือทุกลำแล้วแก้ไม่ทัน เลยโดนเผาตายกันมาก หนีแบบไม่ทัน
โจโฉแตกทัพเรือ
*** โจโฉครองภาคตะวันตก เล่าปี่ตั้งตัว ***
หลังจบศึกผาแดง ทัพซุนกวนพยายามตีขึ้นเหนือไปทางโจโฉ ส่วนเล่าปี่ตีชิงเกงจิ๋วจากโจโฉได้พื้นที่มาเป็นอันมาก
แม้โจโฉจะเพิ่งแพ้ศึกใหญ่มา แต่ถึงกระนั้น ในปี 211 โจโฉยังสนใจตีชิงพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือจากขุนศึกเตียวฬ่อ แห่งนครฮันต๋ง (ปัจจุบันอยู่ในมณฑลส่านซี) แต่ขุนศึกหันซุยและม้าเฉียวซึ่งเป็นใหญ่อยู่เมืองเสเหลียง (เมืองเดิมของตั๋งโต๊ะ) ได้ยินว่าทัพโจโฉยกมาทางนี้ ก็เกรงภัย จึงช่วยกันมารบป้องกันเสียก่อน
ภาพแนบ: ม้าเฉียว
โจโฉรบแพ้ทัพพันธมิตรม้าเฉียวหันซุยถึง 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งชุลมุนมาก ได้ยินทหารอีกฝ่ายว่า “ให้จับโจโฉที่เป็นคนหนวดยาว” ถึงกับต้องตัดหนวดหนีตาย แต่เมื่อทราบว่าหันซุยกับม้าเฉียวระดมพลมาเพิ่มก็ดีใจ เพราะรู้ว่าถ้าชนะจะสามารถยึดแผ่นดินตะวันตกแบบเบ็ดเสร็จ
โจโฉออกอุบายยุให้หันซุยและม้าเฉียวแตกคอกันเอง ไม่นานก็สามารถเอาชนะสำเร็จ และได้พื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือของจีนมาครอบครอง
ภาพแนบ: ภาพสไตล์ญี่ปุ่น รูปม้าเฉียวไล่ล่าโจโฉ
ในปี 211 ฝ่ายเล่าเจี้ยงในเอ๊กจิ๋ว (ปัจจุบันครอบคลุมมณฑลเสฉวนและฉงชิ่ง) เกรงภัยจากเตียวฬ่อและโจโฉ ที่ปรึกษาจึงแนะนำให้เชิญเล่าปี่ที่เป็นญาติมาช่วยป้องกัน แถมมีที่ปรึกษาเล่าเจี้ยงคนหนึ่งถึงกับพร้อมยกเมืองให้เล่าปี่อย่างเต็มที่ เล่าปี่ก็แบบนี่แหละลงล็อค จึงเข้าไปแทรกซึมแล้วฉวยโอกาสเคลมเอ๊กจิ๋วเสีย
เล่าปี่ทำทีขอทหารและเสบียงจากเล่าเจี้ยง แต่เล่าเจี้ยงส่งให้ไม่ครบ เล่าปี่จึงใช้ข้ออ้างบุกเสียเลย ในที่สุดเล่าปี่ก็ชิงเมืองเล่าเจี้ยงสำเร็จ จึงย้ายฐานหลักมาอยู่ที่เอ๊กจิ๋ว และให้กวนอูรักษาเกงจิ๋วไว้ จากนั้นก็ดราม่าๆ จนทุกคนคิดว่าตัวเองยังเป็นคนดีอยู่
เล่าปี่กับเล่าเจี้ยง
*** สิ้นราชวงศ์ฮั่น ***
ในปี 215 โจโฉยกทัพมาตีเตียวฬ่อ ได้นครฮันตั๋ง แต่ยังไม่สนใจตีจะลงใต้เข้าสู่เอ๊กจิ๋ว เมื่อกลับไปเมืองหลวง ในปี 216 จึงตั้งตนเป็นวุยอ๋อง ซึ่งถือว่าเป็นระดับเจ้านายชั้นรองจากฮ่องเต้แล้ว
ในปี 217-219 เล่าปี่ยกพลไปตีชิงฮันต๋งมาจากโจโฉ ในครั้งนี้โจโฉถูกอุบายค่ายว่างของจูล่ง กลัวว่าจะถูกซุ่มโจมตีจึงถอยกลับไป เล่าปี่จึงได้ฮันตั๋ง และประกาศตั้งตนเป็นอ๋องเช่นกัน
แม่ทัพฝ่ายเล่าปี่ฆ่าแม่ทัพฝ่ายโจโฉในศึกฮันต๋ง
ในปี 219 กวนอูทราบว่าโจโฉกำลังรวบรวมไพร่พลหมายจะยกมาตีเกงจิ๋ว จึงยกทัพขึ้นไปชิงปิดล้อมก่อน ขณะนั้นกวนอูใช้กลศึกทดน้ำ (คือปล่อยน้ำจากเขื่อน) ทำลายทัพของโจโฉ ทำให้ทัพโจโฉอ่อนแอลงมาก
1
โจโฉเกรงภัยกวนอูถึงกับคิดจะย้ายเมืองหลวงหนี แต่ที่ปรึกษาแนะนำให้ผูกมิตรกับซุนกวนเพื่อให้กวนอูเผชิญศึก 2 ด้าน
กวนอูรบ
ก่อนหน้านั้นเนื่องกวนอูเคยดูถูกซุนกวนมาก่อน โดยซุนกวนสู่ขอลูกสาวกวนอูไปแต่งกับลูกชายตน แต่กวนอูกลับตอบว่า “บุตรเราเป็นชาติพยัคฆ์ ไม่คู่ควรกับลูกสุนัขคอร์กี้!” ทำให้ซุนกวนโกรธมาก เมื่อสบโอกาสจึงส่งทัพมาบ้อมกวนอู
กวนอูรบเก่ง แต่อีโก้สูงและไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น ในที่สุดจึงรบแพ้ ถูกจับได้ กวนอูไม่ยอมจากทรยศเล่าปี่มารับใช้ซุนกวน จึงถูกประหารชีวิต และเกงจิ๋วตกเป็นของซุนกวนในปี 220 (ความซื่อสัตย์ของกวนอูนี้ทำให้เขาได้เป็นเทพแห่งความซื่อสัตย์ของชาวจีนนั่นเอง)
ภาพแนบ: กวนอู กับลูกเลี้ยง และทหารคนสนิท
ปีเดียวกัน โจโฉเสียชีวิต โจผีขึ้นเป็นวุยอ๋องแทน แล้วกดดันให้พระเจ้าเหี้ยนเต้สละราชสมบัติแก่ตน นับเป็นจุดสิ้นสุดราชวงศ์ฮั่น ในปี 221 เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงปราบดาภิเษกเป็นฮ่องเต้ ตามมาด้วยซุนกวนที่ขึ้นเป็นฮ่องเต้ในปี 229 ทางใต้
ในลักษณะนี้แผ่นดินจึงแตกเป็นสามก๊กโดยสมบูรณ์ โดยมีวุยก๊กของแซ่โจครองทางเหนือ-ตะวันตกเฉียงเหนือ จ๊กก๊กของเล่าปี่ครองดินแดนเสฉวนทางตะวันตกเฉียงใต้ และง่อก๊กของซุนกวนครองดินแดนทางตะวันออกเฉียงใต้
ภาพแนบ: โจผีตั้งตนเป็นฮ่องเต้
*** เล่าปี่สวรรคต ***
เมื่อกวนอูตาย พี่น้องร่วมสาบานอย่างเล่าปี่และเตียวหุยก็เสียใจมาก ต้องการฆ่าซุนกวนให้หายแค้น แม้ขงเบ้งจะทัดทานว่าการจะชิงแผ่นดิน ยังไงต้องผูกมิตรซุนกวนช่วยกันต้านวุยก๊กก่อน (เพราะวุยก๊กใหญ่กว่าง่อก๊ก จ๊กก๊กมาก ถ้าก๊กเล็กตีกันเอง จะพากันแพ้หมด) แต่เล่าปี่ไม่ฟัง ตรงนี้ก็แสดงทั้งจุดดี และจุดอ่อนของเล่าปี่ คือไม่ว่าเขาจะตอแหลเก่งแค่ไหน แต่ก็มีความจริงใจต่อพี่น้องจริงๆ
1
ขณะกำลังเตรียมไพร่พลไปตีซุนกวนนั้น ปรากฏว่าเตียวหุยดื่มเหล้าเมามายและสั่งลงโทษลูกน้องต่างๆ อย่างโหดร้ายจนลูกน้องทนไม่ไหว จับเตียวหุยฆ่าเสีย เล่าปี่เลยเสียน้องอีกคน
ภาพแนบ: เล่าปี่กับเตียวหุยในโหมดเศร้า
ล่าปี่ไม่มีกวนอู เตียวหุยแล้ว ก็หน้ามืดตามัวด้วยความแค้น ยกทัพมหาศาลไปตีซุนกวนเองโดยไม่ฟังที่ปรึกษา แถมยังประมาทตั้งค่ายแบบเรียงกันยาวๆ ซึ่งผิดหลักพิชัยสงคราม ดังนั้น ลกซุน ซึ่งเป็นแม่ทัพฝ่ายซุนกวนที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้างจะโนเนมได้โอกาสทีจุดไฟเผาค่าย ฆ่าทหารเล่าปี่ตายเป็นอันมาก และเล่าปี่เองก็ต้องตรอมใจสวรรคตทั้งที่ยังกลับไม่ถึงเฉิงตู
...การพาทหารไปตายอย่างมากนี้ ทำให้ก๊กแซ่เล่าฟื้นตัวกลับมาเป็นดังเดิมไม่ได้อีก และทำให้ปณิธานรวบรวมแผ่นดิน สานต่อราชวงศ์ฮั่นของขงเบ้งกลายเป็นงานช้างไปโดยปริยาย
ภาพแนบ: ลกซุนเผาค่ายเล่าปี่
*** ขงเบ้งเข็นครกขึ้นภูเขา ***
หลังจากเล่าปี่สวรรคต ก็มีฮ่องเต้พระองค์ถัดมา คือ เล่าเสี้ยน ซึ่งเล่าเสี้ยนนี้เนื่องจากถูกขว้างทิ้งตอนเด็ก จึงโตมาปัญญาอ่อน มัวเมาสุรานารี หลงเชื่อคำสอพลอของขันที ไม่ค่อยใส่ใจบริหารบ้านเมือง
หลังพลัดแผ่นดินมาได้หมาดๆ เกิดกบฏของชนเผ่าทางใต้นำโดยเบ้งเฮ็ก (ในเกมส์มักจะใส่ชุดแบบอินเดียนแดง) ระหว่างปี 224-225 แต่ขงเบ้งสามารถใช้อุบายจับตัวเบ้งเฮ็กแล้วปล่อยไปถึง 7 ครั้ง จนสยบจิตใจเบ้งเฮ็กได้
ภาพแนบ: ขงเบ้งนำทัพรบกับชนเผ่าทางใต้
หลังจากนั้นขงเบ้งยกทัพบุกวุยก๊กถึง 7 ครั้ง ระหว่างปี 227-234 โดยรบกับสุมาอี้ซึ่งเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของฝั่งวุยก๊ก สุมาอี้แม้ฉลาดสู้ขงเบ้งไม่ได้ แต่เดินทัพแบบระมัดระวัง ทำให้ต่อให้แพ้ก็สูญเสียไม่มาก
ขงเบ้งรุกครั้งไหนก็ปรากฏว่ามีเหตุให้ต้องกลับมาทุกครั้ง เช่น เสบียงหมด หรือถูกพระเจ้าเล่าเสี้ยนเรียกตัวกลับมาแบบโง่ๆ จนในครั้งที่ 7 ขงเบ้งก็เสียชีวิต ในช่วงนั้น ขงเบ้งได้ตัวเกียงอุย ซึ่งเป็นนักรบที่มีปัญญาดีมาทำงานด้วย เป็นกำลังในการพยายามรวบรวมแผ่นดินต่อไป
...แต่ด้วยความที่คนเขียนหมดมุก เรื่องสามก๊กหลังขงเบ้งตายเลยไม่ค่อยสนุกนัก
ภาพแนบ: ขงเบ้งตาย
*** แซ่สุมารวมแผ่นดิน ***
หลังขงเบ้งเสียชีวิต ฮ่องเต้ทั้งสามก๊กต่างซึ่งเป็นลูกหลานโจโฉ เล่าปี่ ซุนกวน ต่างก็ค่อยๆ กลายเป็นพวกมัวเมาในสุรานารี ไม่ต่างอะไรกับฮ่องเต้สมัยปลายราชวงศ์ฮั่น คนเก่งๆ ก็ทยอยหายไป กลายเป็นศึกของขุนพลชั้นรองๆ สู้กัน
เกียงอุยทางฝั่งจ๊กก๊กพยายามสานต่อปณิธานของขงเบ้งในการรวบรวมแผ่นดิน แต่ไม่มีความสำเร็จอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
…ดังนั้นพวกเก่งที่สุดที่เหลืออยู่ ณ จุดนี้ก็คือสุมาอี้และลูกๆ นั่นเอง…
ภาพแนบ: เกียงอุย
ฮ่องเต้แซ่โจของฝั่งวุยก๊กอ่อนแอลงเรื่อยๆ อำนาจส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของสุมาเจียว ลูกของสุมาอี้ เมื่อบุกตีจ๊กก๊กจึงชนะอย่างรวดเร็ว
สุมาเจียวเอาอาเต๊าที่ยอมแพ้มางานเลี้ยง ถามว่ากินดีอยู่ดีแบบนี้ชอบไหม อาเต๊าก็บอกว่าชอบมาก ทำให้เหล่าที่ปรึกษาของอาเต๊าโกรธว่านายตนช่างไร้สติปัญญา ถูกเขายึดแผ่นดินยังทำดีใจ อาเต๊าก็หมดบทไปประมาณนี้
ต่อมาสุมาเจียวตาย สุมาเอี๋ยนลูกเขาได้ถอดฮ่องเต้แซ่โจ แล้วตั้งตัวเป็นฮ่องเต้เอง ตั้งชื่อราชวงศ์ใหม่ว่าราชวงศ์จิ้น เขาได้ตีง่อก๊กซึ่งไม่ค่อยมีกำลังเหลือแล้ว ชนะอย่างเด็ดขาดในปี 280 จึงรวบรวมแผ่นดินสำเร็จ ทำให้ยุคสามก๊กสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ ดังคำโปรยที่ว่า “แผ่นดินจีนทั้งปวงนั้น เป็นสุขมาช้านานแล้วก็เป็นศึก ครั้นศึกสงบแล้วก็เป็นสุข” นั่นเอง
1
ภาพแนบ: สุมาเอี๋ยน หรือ จิ้นอู่ตี้ เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์จิ้น
34. *** อภิธานศัพท์ ***
ในส่วนนี้ผมจะขอเรียบเรียงชื่อบุคคลและสถานที่ในภาษาจีนกลางและพินอินมาเทียบ เพื่อให้เวลาท่านเล่นเกมส์ดูหนังที่เป็นภาษาอังกฤษจะได้ง่ายขึ้นนะครับ (ชื่อแรกเป็นจีนฮกเกี้ยนแบบไทย ชื่อที่สองเป็นภาษาจีนกลางและในวงเล็บเป็นพินอิน)
[ชื่อบุคคล]
พระเจ้าเลนเต้ : ฮั่นหลิง (Han Ling)
เล่าปี่ : หลิวเป่ย์ (Liu Bei)
กวนอู : กวนยวี่ (Guan Yu)
เตียวหุย : จางเฟย์ (Zhang Fei)
โฮจิ๋น : เหอจิ้น (He Jin)
เล่าเปียน : หลิวเปี้ยน (Liu Bian) หรือยศ หองจูเปียน : หวังจื่อเปียน (Wangzi Bian)
เล่าเหียบ : หลิวเสีย (Liu Xie) หรือยศ หองจูเหียบ : หวังจื่อเสีย (Wangzi Xie) หรือ เหี้ยนเต้ : ฮั่นเซี่ยน (Han Xian)
อ้วนเสี้ยว : หยวนเซ่า (Yuan Shao)
ตั๋งโต๊ะ : ตงจั๋ว (Dong Zhuo)
โจโฉ : เฉาเชา (Cao Cao)
เตียวเสี้ยน : เตียวฉาน (Diao Chan)
ลิโป้ : ลวี่ปู้ (Lu Bu)
ซุนเซ็ก : ซุนเซ่อ (Sun Ce)
ซุนเกี๋ยน : ซุนเจียน (Sun Jian)
อ้วนสุด : หยวนซู่ (Yuan Shu)
ซุนกวน : ซุนเฉวียน (Sun Quan)
เล่าเปียว : หลิวเปี่ยว (Liu Biao)
ขงเบ้ง หรือ จูกัดเหลียง : จูเก่อเลี่ยง (Zhuge Liang)
จูล่ง : จื่อหลง (Zilong) ชื่อจริง เตียวหยุน : จ้าวหวิน (Zhao Yun)
เตียวฬ่อ : จางลู่ (Zhang Lu)
เล่าเจี้ยง : หลิวจาง (Liu Zhang)
โจผี : เฉาพี (Cao Pi)
ลกซุน : ลู่ซวิ่น (Lu Xun)
เล่าเสี้ยน : หลิวส้วน (Liu Shan)
เบ้งเฮ็ก : เมิ่งฮั่ว (Meng Huo)
สุมาอี้ : ซือหม่าอี้ (Sima Yi)
เกียงอุย : เจียงเหวย (Jiang Wei)
สุมาเอี๋ยน : ซือหม่าเยียน (Sima Yan)
ภาพแนบ: ที่บอกว่าสามก๊กมีการนำไปดัดแปลงมาก เช่นมีการนำไปทำวิชวลโนเวลแล้ว ชื่อ Koihime Musou ซึ่งสมมติว่าในตัวละครยุคสามก๊กกลายเป็นสาวแบ๊วกันหมด (ถือง้าวตรงกลางคือกวนอู ที่เห็นผมแดงมุมขวาล่างคือเตียวหุย โลลิมุมซ้ายบนคือโจโฉ)
[ชื่อสถานที่]
เตียงอั๋น : ฉางอาน (Chang’an)
ฮูโต๋ : สวี่ตู (Xudu)
ชีจิ๋ว : สวีโจว (Xuzhou)
กังตั๋ง : เจียงตง (Jiangdong)
เกงจิ๋ว : จิงโจว (Jingzhou)
กัวต๋อ : กวนตู้ (Guandu)
เซ็กเพ็ก : ซื่อปี้ (Chibi)
ฮันต๋ง : ฮั่นจง (Hanzhong)
เอ๊กจิ๋ว : อี้โจว (Yizhou)
อ้วนเซีย : ฝานเจิง (Fancheng)
วุย : เว่ย (Wei)
จ๊ก : ฉู่ (Shu)
ง่อ : อู่ (Wu)
ภาพแนบ: แผนที่สามก๊ก
*** ถอดบทเรียน ***
วรรณกรรมสามก๊กที่ยกมานี้ มีสิ่งที่ไม่ตรงกับประวัติศาสตร์จริงมากมาย ซึ่งคงจะมาเขียนในโอกาสหน้า อย่างไรก็ตามเนื่องจากนิยายของหลอกว้านจงนั้นแต่งได้อย่างดีมาก คาแรคเตอร์แต่ละตัวโดดเด่น กลศึกก็แพรวพราว ทำให้วรรณกรรมเรื่องสามก๊กถูกเอามาถอดบทเรียนมากมาย ทั้งในเรื่องยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ ศิลปะการใช้คน รวมทั้งการเอาชนะปัญหาและคู่แข่งด้วยปัญญา
1
ผมอยากให้ท่านผู้อ่านที่ไม่เคยอ่านสามก๊ก ได้อ่านบทความสรุปนี้แล้ว เกิดแรงบันดาลใจไปหาเวอร์ชันต่างๆ อ่านต่อ เชื่อว่าท่านจะได้ข้อคิดต่างๆ จากเรื่องราวนี้มาก สำหรับท่านที่อ่านสามก๊กมาแล้ว ก็หวังว่าบทความนี้จะให้ความบังเทิงแก่ท่าน เหมือนได้กลับมาเยี่ยมเพื่อนเก่าอีกครั้งนะครับ
โฆษณา