25 มิ.ย. 2022 เวลา 09:48 • ยานยนต์
สิ่งที่น่ายินดียิ่งในวันนี้ คือ ผมได้รับจำนวนกิโลเมตรเพิ่มจาก 15.9 กิโลเมตรต่อน้ำมัน 1 ลิตร เป็น 16.4-16.5 กิโลเมตรต่อน้ำมัน 1 ลิตร สำหรับผมแล้ว นี่เป็นสิ่งที่น่ายินดียิ่งแม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับบางคนก็ตาม
เมื่อก่อนผมจะขับรถได้ระยะทางที่ 12.9-13.4 กิโลเมตรต่อน้ำมัน 1 ลิตร โดยที่สเปคของรถที่ผมขับนั้นวิ่งได้เฉลี่ยอยู่ที่ 15.6-16.8 กิโลเมตรต่อน้ำมัน 1 ลิตร นับเป็น 19%-22% ของสเปคจริงๆ สำหรับผมแล้ว ถือว่าเยอะมากๆ เลย
ในตอนนี้ ที่ราคาพลังงานแพงมากๆ หลายๆ คนที่มีงบประมาณเพียงพอ ก็หันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพื่อชดเชยค่าพลังงานที่สูงขึ้น และจะคืนทุนในระยะยาว
ส่วนคนที่ไม่ได้มีงบประมาณมากเพียงที่จะเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า ก็อาจจะเลือกเป็นดัดแปลงรถยนต์น้ำมันที่ตัวเองมี ไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแทน ซึ่งเป็นทางเลือกที่ใช้งบประมาณน้อยกว่า
แต่สำหรับผม และก็คนหลายๆ คนที่ไม่มีงบประมาณในการเปลี่ยนรถ และคิดว่าในอนาคต รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์พลังงานทางเลือกอื่นๆ จะมาเพิ่มขึ้นในตลาด เพื่อลดในเรื่องสภาวะโลกร้อน และหันไปใช้พลังงานทดแทนกันมากขึ้น มีราคาที่ถูกลง และยั่งยืนมากกว่าอย่างรถยนต์พลังงานไฮโดรเจน ก็จำเป็นต้องใช้วิธีการขับรถให้ประหยัดน้ำมันให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แทนไปก่อน
วิธีการที่ผมไปหาอ่าน ศึกษา และทดลองทำจริงๆ มาแล้วได้ผลจะอยู่ในบทความนี้
* รถยนต์ที่ผมใช้งานเป็นรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ แต่ก็สามารถเอาไปใช้งานได้กับเกียร์ทุกรูปแบบได้ ทั้งเกียร์ธรรมดา เกียร์อัตโนมัติ และเกียร์ CVT
1. ไม่ลากรอบเครื่องมากจนเกินไป หรือเกินจำเป็น
รอบเครื่อง คือ อะไร?
รอบเครื่อง คือ รอบของวัฐจักรการ "ดูด อัด ระเบิด คาย" ของเครื่องยนต์ โดยทุกครั้งที่เกิดวัฐจักรนี้ขึ้น จำเป็นต้องมีน้ำมันเชื้อเพลง ยิ่งรอบเครื่องสูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกินน้ำมันมากขึ้นเท่านั้น
การที่รอบเครื่องสูงเกินความจำเป็น ก็เหมือนเอาน้ำมัน เอาทรัพยากรที่มีค่ามาเผาเล่นโดยที่เกิดความคุ้มค่าทางพลังงานน้อยมาก
รถยนต์ในปัจจุบันจะมีระบบส่งกำลังที่มีประสิทธิภาพสูงมาก โดยจะลดภาระของเครื่องยนต์ลง และมอบประสิทธิภาพสูงสุดที่รอบเครื่องต่ำ ระบบส่งกำลังที่ผมพูดถึงนี่ คือ "เกียร์"
เกียร์เป็นระบบส่งกำลังที่เอาอัตราทดเข้ามาเพื่อให้ได้ความเร็วสูง แต่ใช้เชื่อเพลิงน้อยกว่า และมีประสิทธิภาพสูงที่สุด
ที่บอกว่า "ไม่ลากเกินความจำเป็น" เพราะว่าบางครั้งการขับรถยนต์บนทางที่มีความลาดชันมากๆ จำเป็นต้องใช้รอบเครื่องที่สูง ทั้งเพื่อความปลอดภัย และเพื่อไม่ให้รถยนต์ดับด้วย
2. ใช้ความเร็วเท่าที่จำเป็น และเหมาะสมกับสถานะการนั้นๆ
ถ้าหากว่าเราใช้งานความเร็วที่เหมาะสมในการขับในแต่ละสถานะการณ์ จะทำให้สามารถประหยัดน้ำมันได้มากเลย เช่นถ้าหากว่าผมเจอทางโค้งที่ข้างหน้าไกลๆ ผมเลือกที่จะเร่งความเร็วไปสักพัก แล้วหยุดเร่งให้แรงเฉื่อยพารถเคลื่อนไปแล้วให้ความเร็วรถลดลงเรื่อยโดยที่ไม่ต้องแตะเบรกเลย ได้พักเท้า และยังไม่ต้องเบรกให้เบรกสึกหรอเร็ว ทั้งยังสามารถถนอมเกียร์ได้อีกด้วย
หลักๆ ก็มีเท่านี้แหละ ที่ผมใช้งาน เพราะแค่สองข้อนี้ก็ครอบคลุมไปทั้งหมดแล้วในการขับรถยนต์ให้ประหยัดน้ำมัน
ผมคิดว่าในรถยนต์ไฟฟ้าก็สามารถใช้วิธีการที่ผมบอกได้นะ แม้ว่าจะไม่มีระบบเกียร์แล้วก็ตาม แต่มีระบบหนึ่งระบบที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถขับได้ระยะทางที่ไกลมากขึ้น
ระบบนั้น คือ Regenerative Braking หรือ เป็นระบบที่จะเปลี่ยนให้พลังงานจลน์เป็นพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าไปในแบตเตอรี่ ขณะที่รถยนต์กำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แล้วลดความเร็วลง ซึ่งข้อที่สองที่ผมเขียนไปสามารถนำไปใช้กับส่วนนี้ได้
คิดว่าบทความนี้คงจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการขับขี่ให้ประหยัดพลังงาน ประหยัดค่าใช้จ่าย และเพื่อลดโลกร้อน
ผมไม่ใช่ช่างยนต์ เพราะฉะนั้นข้อมูลส่วนไหนที่ผิดพลาด สามารถแนะนำเพิ่มเติมได้ ใช่ และวิธีการที่ผมเขียนไปก็ไม่ใช่วิธีการใหม่อะไรเลย มีมานานแล้ว แต่คิดว่าเขียนไว้ให้คนที่ยังไม่รู้ คงจะเป็นประโยชน์กว่าผมเก็บไว้คนเดียวนะ
โฆษณา