27 มิ.ย. 2022 เวลา 02:21 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
คนไทยไม่อดทนจริงหรือ?
Photo by Streets of Food on Unsplash
มีบันทึกของชาวต่างชาติหลายคนที่เข้ามาในสมัยอยุธยาระบุว่า คนไทยเป็นพวกรักสบาย ไม่สู้งาน หนักไม่เอาเบาสู้เสียเท่าไหร่
คนไทยเป็นแบบนั้นจริงหรือ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน
มีรายงานชิ้นหนึ่งน่าสนใจดีครับ ชื่อว่า Global Evidence on Economic Preferences [1] จัดทำโดยความร่วมมือของนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำจากหลายประเทศ ตีพิมพ์ออกมาในช่วงกลางปี ค.ศ. 2018
การวิจัยนี้น่าสนใจดี เพราะศึกษาคุณอุปนิสัยของคนในชาติต่างๆ แบบเปรียบเทียบกัน ลักษณะที่ศึกษาก็มีทั้งเรื่องความอดทน การรับมือความเสี่ยง ความถ้อยทีถ้อยอาศัยและการตอบแทนกัน ความเอื้อเฟื้อ และความเชื่อใจ
คณะนักวิจัยรวบรวมข้อมูลด้วยการสำรวจในคนราว 80,000 คนจาก 76 ประเทศ ภายใต้กรอบการทำงานเรื่อง “กัลลัปเวิลด์โพล 2012 (2012 Gallup World Poll)” โดยที่การสำรวจนี้จะใช้ตัวแทนจากกลุ่มประชากร และถามคำถามที่เกี่ยวกับหัวเรื่องทางสังคมและเศรษฐกิจในคาบปีนั้นๆ เป็นหลัก
จะศึกษาอะไรก็ต้องกำหนดขอบเขตนะครับ จะได้เข้าใจตรงกัน
การศึกษาดังกล่าวให้คำจำกัดความคำว่า “ความอดทน (patience)” ว่า “ความปรารถนาจะเลิกทำบางอย่างที่ให้ประโยชน์ในวันนี้ เพื่อที่จะได้รับประโยชน์มากกว่าในอนาคต”
จะเห็นว่าชัดเจนมาก
สำหรับการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์ เพราะสามารถตรวจวัดเป็นจำนวนได้ แต่อันที่จริงการสำรวจนี้วัดเชิงคุณภาพพอจะได้ด้วยเช่นกัน
การวัดเชิงปริมาณก็เช่น การที่อาสาสมัครจะรับเงินค่าจ้างจำนวนหนึ่งวันนี้หรือรับค่าจ้างที่มากกว่าในอีก 12 เดือนข้างหน้า
ส่วนการวัดเชิงคุณภาพก็เช่น อาสาสมัครต้องตอบคำถามจำพวก “คุณเต็มใจเพียงใดที่จะยกเลิกสิ่งที่ได้รับประโยชน์ในวันนี้ เพื่อที่จะได้รับประโยชน์มากกว่าในอนาคต?”
โดยผลที่ได้ทำให้เห็นอะไรหลายอย่างเลยนะครับ
Photo by Evan Krause on Unsplash
นักวิจัยออกแบบคำถามไว้ดี ทำให้ช่วยทำให้เห็นถึง “แรงจูงใจที่ทำให้อยากทำเช่นนั้น” ได้ชัดเจน เช่น ในการวัดเรื่องความอดทน นักวิจัยถามอาสาสมัครเกี่ยวกับความปรารถนาที่จะเลื่อนการรับรางวัลสมมุติที่ตั้งขึ้น โดยมีคำถามและตัวเลือกที่จำเพาะเจาะจงมาก จนระบุแรงจูงใจในการทำให้ตัดสินใจเลื่อนการรับรางวัลได้จริงๆ
ใครสนใจอยากอ่านตัวคำถามหรือข้อมูลต่างๆ ลองไปดูที่ลิงก์ในเอกสารอ้างอิงนะครับ [2]
เมื่อได้ข้อมูลแล้วก็นำมาทำกราฟก่อนแปลงเป็นแผนที่แยกแยะตามประเทศ โดยให้สีเข้มมากกว่าแทนประเทศที่ประชากรที่มีความอดทนมากกว่า
สำหรับหน่วยที่ใช้ในภาพแผนที่ดังกล่าว กำหนดให้ค่าเฉลี่ยมาตรฐานทั้งโลกอยู่ที่ 0 ซึ่งก็หมายความว่า หากค่าที่ได้เป็นบวก ก็สะท้อนให้เห็นว่ามีความอดทนมากกว่าค่าเฉลี่ย
ในทางกลับกันหากได้เป็นค่าลบก็สะท้อนให้เห็นว่ามีความอดทนน้อยกว่าค่าเฉลี่ย
ดังนั้น ในภาพก็จะเห็นได้ว่าประชาชนที่มีแนวโน้มมีควาอดทนอดกลั้นมากที่สุดได้แก่ สวีเดน ตามมาด้วยเนเธอร์แลนด์และสหรัฐอเมริกา
ขณะที่ประเทศที่ผู้คนมีแนวโน้มจะอดทนน้อยที่สุดได้แก่ นิคารากัว ตามมาด้วยรวันดา และจอร์เจีย
คณะนักวิจัยชี้ไว้ในเปเปอร์ว่า ประชากรที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวยุโรปมีแนวโน้มจะมีความอดทนมากกว่าค่าเฉลี่ย
อันที่จริงแล้วท็อป 10 ประเทศแรกที่ประชากรได้ค่าความอดทนสูงอยู่ในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกหรือที่ผู้คนจากที่นั่นย้ายไปอยู่ และเป็นพวกที่พูดภาษาอังกฤษ โดยมีกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียที่มีคะแนนความอดทนกระโดดออกมาสูงเป็นพิเศษ
ที่น่าสังเกตอีกอย่างก็คือ พวกที่แสดงความอดทนสูงนี่ อยู่ในประเทศที่รายได้เฉลี่ยสูงอีกด้วย
สำหรับกลุ่มอาสาสมัครจากประเทศไทยทำคะแนนได้ไม่ดีเท่าไหร่นะครับ หากเทียบกับค่าเฉลี่ยทั้งโลก คืออยู่ในกลุ่มคะแนน 0 ถึง –2.5 ถือว่าไม่ค่อยจะอดทนสักเท่าไหร่
ข้อสรุปนี้สอดคล้องกับที่ชาวตะวันตกที่เคยมาเยือนไทยในอดีตเคยตั้งข้อสังเกตไว้ และผลจากการสำรวจนี้ก็ชี้ว่า ปัจจุบันก็ยังอาจเป็นอยู่นะครับ
สำหรับความแตกต่างเรื่องความอดทน อันเนื่องมาจากการตัดสินใจสำคัญๆ ในชีวิตนั้น ขึ้นกับจังหวะเวลาในการได้รางวัล
โดยเฉพาะการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการต้องแลกด้วยต้นทุนในปัจจุบัน เพื่อที่จะได้รับผลประโยชน์ในอนาคต ประเทศที่มีระดับความอดทนสูงกว่าจึงแสดงให้เห็นถึงการที่ผู้คนที่มีความต้องการเสียสละรางวัลระยะสั้น เพื่อรางวัลที่ใหญ่กว่าในระยะยาว
ข้อสรุปอื่นๆ ที่น่าสนใจก็เช่น ค่าที่เห็นเป็นแค่ค่าเฉลี่ยจากกลุ่มตัวอย่าง ยังมีความหลากหลายของแนวโน้มในแต่ละประเทศอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังสังเกตพบว่ามีความหลากหลายของแนวโน้มเปลี่ยนไปตามอายุ เพศ และระดับสติปัญญาอีกด้วย
หากดูเจาะไปที่แต่ละประเทศ ยังพบความแตกต่างของแนวโน้มในกลุ่มอาชีพและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันในประเทศนั้นๆ อีกด้วย เช่น ผลลัพธ์ในกลุ่มเกษตรกร หรือกลุ่มที่ใช้ภาษาเดียวกัน หรือนับถือศาสนาเดียวกัน อาจมีแนวโน้มต่างไปจากกลุ่มอื่นทั้งสิ้น
Photo by Arisa Chattasa on Unsplash
เมื่อเจาะลงไปอีกถึงระดับปัจเจกชน ยังมีความแตกต่างของแนวโน้มเนื่องจากการตัดสินใจเรื่องการออม ลักษณะการทำงานว่าอยู่ในตลาดแรงงานหรือไม่ และพฤติกรรมเข้ากันได้กับสังคมดีเพียงใดอีกด้วย
ความหลากหลายทั้งหลายที่ว่ามานี้ทั้งหมด แต่ละประเทศมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปอีกด้วย
น่าสนใจว่าข้อสรุปเรื่องความอดทนทางเศรษฐศาสตร์แบบนี้ ยังสามารถยืดขยายไปยังเรื่องความอดทนในแบบอื่นๆ ได้หรือไม่ เช่น ความอดทนในทางการเมือง สามารถอดทนรอการเปลี่ยนแปลงอย่างถูกทำนองคลองธรรม ไม่ใช้กำลังเข้าแทรกแซงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จนเกิดความบิดเบี้ยวในการแก้ปัญหา ส่งผลเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องในอนาคต วนเป็นลูปกันต่อๆ ไป
จึงเกิดเป็นภาพย้อนแย้งว่า แม้คนไทยจะทนอยู่ภายใต้การปกครองของผู้มีปืนในมือได้เป็นเวลานาน 7–8 ปี แต่หากลงไปดูที่เนื้อแท้ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะลึกๆ แล้วคนไทยจำนวนหนึ่งไม่อดทนรอการเปลี่ยนแปลงไปตามครรลองประชาธิปไตย
แต่อยากจะ “ลัด” เส้นทางอย่างไร้ความอดทนต่างหาก
ปรากฏการณ์ที่เห็นตรงหน้าจึงสอดคล้องกับผลการสำรวจเรื่องความอดทนที่เล่ามานี้ว่า คนไทยอาจจะมีความอดทนต่ำกว่าค่าความอดทนเฉลี่ยของคนทั่วโลก และไม่อาจอดทนไม่หวังผลประโยชน์เฉพาะหน้าเหนือผลประโยชน์ระยาวได้ดีนัก!
โฆษณา