27 มิ.ย. 2022 เวลา 23:03 • กีฬา
- ผู้มาเหนือกาลเวลา ? -
กับช่วงเวลาที่ฟุตบอลเงียบเหงา ตลาดนักเตะเต็มไปด้วยข่าว เฟร็งกี้ เดอ ย็อง มันแน่นอนว่าต้องมีการเอาประเด็นต่างๆในอดีตกลับมาทวนหวนความจำเสมอ
หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นคำพูดที่ถูกยกว่าให้เป็น 'คำทำนาย' แบบมาก่อนกาลของ โชเซ่ มูรินโญ่
หากยังจำกันได้กับคลิปหลุดของ ริชาร์ด อาร์โนลด์ ที่คุยแบบออกรสชาติกับแฟน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีการกล่าวถึงคน 2 คนที่ได้ออกจากสโมสรไปแล้ว
สองคนดังกล่าวว่ากันว่าเป็นคนเอาเรื่องภายในมุ้ง แมนฯ ยูไนเต็ด ออกไปเผยแพร่ซึ่งก่อนหน้า "ปีศาจแดง" เพิ่งแถลงการอำลาของ ปอล ป๊อกบา กับ เจสซี่ ลินการ์ด ไปไม่นานนักทำให้แทบจะชัดเจนเลยว่าสองคนของ อาร์โนลด์ คือใคร
แฟนๆคงไม่คิดว่าเป็น ฆวน มาต้า หรอกครับอีกทั้งบุคลิกของดาวเตะชาวสแปนิชก็ไม่ใช่แบบ 6 กับ 14 ด้วย
ในตอนนี้เมื่อหลายต่อหลายอย่างเริ่มชัดเจนก็มีการหยิบยกคำพูดต่างๆของ มูรินโญ่ กลับมาอีกครั้งกับการพูดวิจารณ์ลูกทีมออกสื่อทั้งในแง่ดีและแง่ร้าย
คำพูดว่า ป๊อกบา คือไวรัสหลายคนอาจจะเข้าใจว่ามูรินโญ่กล่าวออกสื่อแต่ความจริงแล้วมันคือสิ่งที่สื่อรายงานออกมาเชิง 'แฉ' เสียมากกว่าว่านายใหญ่ชาวโปรตุกีสด่าอะไร
"แกมันเหมือนคนติดเชื้อไวรัสและตอนนี้แกก็กำลังแพร่เชื้อนี้ให้กับคนอื่นๆ แกไม่เล่น แกไม่เคารพนักเตะคนอื่นไม่เคารพแฟนๆและแกฆ่าสิ่งดีๆจากคนอื่นๆรอบตัวไปหมด"
ตอนนี้หลายคนเชื่อรายงานนี้มากขึ้นเรื่อยๆจากการกระทำของ ป๊อกบา
ถัดมาก็คือคนดีคนเดิม คนที่แฟนๆยูไนเต็ดพยายามสนับสนุนมาตลอดอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด ลูกหม้อที่พุ่งทะยานขึ้นมาได้แบบโดดเด่น
มีช่วงหนึ่งที่เขาฟอร์มดร็อปลงไปในยุคสมัยของ โชเซ่ มูรินโญ่ แต่ก็กลับมาได้ตอน โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ รั้งบังเหียนด้วยการประสานงานกับ อองโตนี่ มาร์กซิยัล และ เมสัน กรีนวู้ด ได้แบบโดดเด่น
ทำให้ แรชฟอร์ด เคยออกมากล่าวด้วยความมั่นใจว่าเขาติดขัดในยุคของ มู ก็เพราะถูกถ่างออกไปเล่นด้านข้างเสียเป็นส่วนใหญ่ทั้งๆที่ตำแหน่งแท้จริงคือสไตรเกอร์หรือไม่ก็ศูนย์หน้าหมายเลข 10 มากกว่า
ตอนนั้น มูรินโญ่ ว่ายังไงนะ ?
"ผมไม่ได้บอกว่าเขาเล่นหมายเลข 9 ไม่ได้เขาอาจจะเป็นหมายเลข 9 ที่อันตรายได้หากฝ่ายตรงข้ามไม่ระวัง ไม่อยู่ใกล้เขา และให้พื้นที่เขา" มูรินโญ่ กล่าวกับ Sky Sport
1
"แต่เมื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เล่นกับทีมที่มาใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เรามักจะเจอกับรถบัสและเขาไม่ใช่กองหน้าที่จะหันหลังเล่นให้กับประตูได้"
"เขาไม่ใช่หน้าเป้า เขาไม่ได้ทำประตูได้มากเท่ากับกองหน้าคนหนึ่งควรจะทำ ดังนั้นผมคิดว่าการเล่นด้านข้างมันจะทำให้เขายิงได้ 10-12 ต่อฤดูกาลมากกว่า"
ตัดภาพมาปัจจุบันคงไม่ต้องบอกว่า แรชฟอร์ด เป็นยังไง ยิงได้ขนาดไหน และสิ่งที่มูรินโญ่บอกนั้นไม่ได้ผิดเพี้ยนไปไกลเลย
ไม่ใช่แค่ตินะครับ มูรินโญ่ เป็นคนที่เห็นอะไรก็พูดออกมาแบบนั้นอย่างตอนที่เขาคุม ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ก็มีคำชมให้นักเตะของตัวเองอย่าง ซน ฮึง มิน ทั้งๆที่ตอนนั้นหอกเกาหลีใต้ไม่ได้มีกระแสมากเท่าตอนนี้
หากยังจำกันได้หลัง ซน ทำประตูมหัศจรรย์ใส่ เบิร์นลีย์ ได้ มูรินโญ่ นี่ล่ะยก ซน เทียบเท่า โรนัลโด้ เลย
"ซน ยิงประตูด้วยการใช้ทักษะส่วนตัวที่ดีที่สุดที่พวกคุณจะคาดหวังได้ ประตูแห่งฤดูกาลเลยสำหรับผม"
"ก่อนหน้าที่เขาจะทำประตูนี้ลูกชายของผมเรียกเขาว่า ซนนัลโด้ ด้วยซ้ำและสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากประตูนี้ก็คือภาพในหัวตอนที่ผมทำงานกับ เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน เมื่อปี 1996 ก็ขึ้นมาตอนนั้น โรนัลโด้ ทำประตูมหัศจรรย์แบบนี้ได้"
แน่นอนว่าเมื่อ ซน ถูกนำไปเปรียบเทียบกับ โรนัลโด้ นา ซาริโอ หรือ 'โล้นทองคำ' ทำให้หลายคนคิดว่านี่คือการอวยยศแบบไม่แคร์โลกด้วยซ้ำ
ทว่าปัจจุบัน ซน แสดงให้เห็นแล้วว่ามีของขนาดไหน เขาก้าวขึ้นมาคว้ารองเท้าทองคำได้ 'โดยไม่มีการยิงจุดโทษ' เลยแม้แต่ลูกเดียว ซึ่งแข้งพลังโสมได้รับการยอมรับมากขึ้นมาเดิม (แม้จะน้อยกว่าที่ควรเป็น)
ทั้งหมดนั้นคือคำพูดที่เปรียบเสมือนคำทำนายของ มูรินโญ่ ที่ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นในช่วงเวลาที่ว่างเปล่าของโลกฟุตบอล
1
ทว่าหากเรามองกันแบบตรงไปตรงมานั้นทุกอย่างที่ มู พูดมันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นๆ มันไม่ใช่คำทำนาย มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการจะเลือกให้คนอื่นๆเอามาเขียนเป็นประเด็นอยู่ร่ำไปหรอกครับ
อย่างในกรณีของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หรือ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ไปไม่สุดกับ เชลซี แต่โดดเด่นจนกลายเป็นดาวค้างฟ้าของ พรีเมียร์ลีก ไปแล้วในตอนนี้ก็ได้รับเหตุผลจากปาก มูรินโญ่ แล้วทั้งคู่ถึงการขายออกจาก "สิงห์บลูส์"
กับ ซาลาห์ นั้นเขายอมรับว่าการได้ลงสนามน้อยนิดส่งผลต่อสภาพจิตใจเอามากๆและจำเป็นต้องย้ายออกส่วน มูรินโญ่ ก็พูดภายหลังเชิงว่าเขาไม่ต้องการขายเลยแต่สโมสรเลือกขาย ส่วนการปล่อยเช่าซาลาห์นั้นก็เพราะอยากให้ตัวนักเตะเรียกความมั่นใจเท่านั้น
ขณะเดียวกัน เดอ บรอยน์ ก็เหตุผลคล้ายๆกับ ซาลาห์ ที่ต้องการลงสนามมากกว่านั่งอยู่ในซุ้มม้านั่งสำรองทำให้เขาได้รับโอกาสไปเฉิดฉายกับ โวล์ฟบวร์ก
ในยุคสมัยของทั้ง ซาลาห์ และ เดอ บรอยน์ เมื่อเรามองไปที่นักเตะของ เชลซี แล้วก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมทั้งสองคนถึงไม่ได้รับโอกาสลงสนามมากเท่าที่ควร และมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรกับนักเตะฝีเท้าระดับนี้ต้องมานั่งสำรองเลย
ดังนั้นผมจึงเข้าใจได้ว่าสิ่งที่ มูรินโญ่ พูดออกมาคือ 'ความเป็นจริง' ในช่วงเวลานั้นๆเสียมากกว่าการอวยยศลูกทีมเกินเบอร์ หรือการดิสเครดิตนักเตะจนทำให้ทีมแตกแยก
มันก็เหมือนกับวลี 'เคยได้แชมป์ยุโรปแบบผมรึเปล่า' ที่ถูกยกนำมาพูดตอนเข้ามาทำใหม่ๆแต่ประโยคเต็มตามที่ผมเข้าใจก็คือ "ขอร้องล่ะ อย่าหาว่าผมทะนงตัวเลยนะเพราะสิ่งที่ผมพูดมันคือความจริง ผมเป็นแชมป์ยุโรปมาดังนั้นผมไม่ใช่แค่คนๆหนึ่ง ผมคิดว่าผมคือสเปเชี่ยล วัน"
นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้คำพูดจากบทสัมภาษณ์แรกของเขาตอนมารับงาน เชลซี ยังคงบอกถึงตัวตนของชายคนนี้ได้เสมอ แม้ปัจจุบันจะเปลี่ยนมาเป็น 'แฮปปี้ วัน' แล้วก็ตาม
โฆษณา