30 มิ.ย. 2022 เวลา 01:32 • นิยาย เรื่องสั้น
"เหตุการณ์ตอนหนึ่งของชีวิต"
เกือบขิต ชีวิตที่เลือกเองไม่ได้
ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เรื่องราวหนังสือเป็นเนื้อเกี่ยวกับชีวิตของผู้เขียนที่ผ่านมาและได้ตกผลึกเป็นหนังสือเล่มนั้นขึ้น ก็เลยมีแรงจูงใจที่จะเขียนบทความในเรื่องราวของตนเองบ้าง
มีความตอนหนึ่งของชีวิตผมจากปัจจุบันย้อนกลับไปอดีตราวๆสิบกว่าปีได้ ช่วงที่ยังเป็นนักเรียนมอปลายวัยละอ่อน มีวัยรุ่นชายสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันที่มีความฝัน มีความตั้งใจในการเรียนไม่น้อย ถึงแม้ว่าจะเรียนไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ ทั้งสองได้สมัครเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน
อาทิตย์หน้าก็จะสอบแล้วสิ!!! ต้องติวกันหน่อยแล้วล่ะ
หลังจากติวหนังสือเสร็จก็เป็นเวลาไปหกโมงเย็นแล้ว ผมกับเพื่อสนิทก็ขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้านจากตัวเมืองไปถึงบ้านก็ระยะทาง 20 กิโลเมตร โดยเพื่อนผมเป็นคนขับ ส่วนผมเป็นคนซ้อนท้าย ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่สภาพแวดล้อมรอบตัวมืดมาก โพล้เพล้มาก
ระหว่างทางแวะปั้มเติมน้ำมันหน่อยละกัน เราต่างก็อ่อนเพลียมากจากการเรียนพิเศษ
หลังจากเติมน้ำมันเสร็จผมก็ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เพื่อนเหมือนเดิม ด้วยความที่เหนื่อยจริงๆนั่นแหล่ะ ผมจึงนั่งหลับทั้งๆที่ซ้อนท้ายเพื่อน
...เวลาผ่านไปพร้อมกับความมืดมิด...
ผมตื่นขึ้นมาอีกที พร้อมกับความึนงงนิดหน่อย เสียงแรกที่ได้ยินเป็นเสียงผู้ชายที่ไม่คุ้น แถมฟังจับใจความไม่ได้ ไม่รู้ว่าเค้าพูดอะไร สักพักเริ่มจับใจความได้ว่า
ใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้ว
ผมจึงพยาบาลรวบรวมสติจากอาการมึนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม และผมกำลังทำอะไรอยู่? ผมกลับถึงบ้านอาบน้ำ กินข้าว นอนที่บ้านแล้วหรือ? แล้วนี่เสียงเอะอ่ะครึกโครมอะไรกัน?
หลังจากที่คิดทบทวนสักพัก ก็เริ่มรู้ตัวเองว่า ผมถูกพามาที่โรงพยาบาลอำเภอแถวบ้านในสภาพปากแตก หน้าผากปูดบวม ใบหน้ามีแผลถลอก มีแผลนิดหน่อยที่ตัว
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่?
แล้วเพื่อนผมล่ะ?
ได้ถามตัวเองในใจ
แต่ก็พอเดาได้ครับว่าผมกับประสบอุบัติเหตุ ผมถูกพาตัวไปที่ห้องฉุกเฉินพร้อมมีพี่พยาบาลเข้ามามาเย็บปาก เนื่องจากปากผมแตก ปัจจุบันริมฝีปากผมเบี้ยวนิดหน่อย ฮ่าๆ เสียโฉมเลยมั้ยล่ะ ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ค่อยจะหล่ออยู่แล้วด้วยนะ ยังจะต้องมาปาดเบี้ยวอีก เศร้าใจ
หลังจากเย็บปากเสร็จ มีพี่กู้ภัยก็เข้ามาขอเบอร์โทรศัพท์เพื่อติดต่อญาติให้ ผมก็ให้เบอร์แม่ผมไป เป็นเบอร์เดี่ยวที่ผมจำได้ดี ผมกับเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาก็ได้รับการรักษา เวลาผ่านไปสักพัก พ่อแม่ญาติพี่น้องของผมและของเพื่อนก็ได้มาถึงโรงพยาบาลและเข้ามาดูอาการอย่างใกล้ชิด
ตัวผมนั้นไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอะไรมากนัก แต่เพื่อนผมนั่นสิ อาการของเพื่อนหนักกว่าผมมาก กามที่โหนกแก้มร้าว อีกทั้งยังอ้วกเป็นเลือดออกมาอีก 2-3 ครั้ง ต่อหน้าผม
ตอนนั้นผมใจไม่ดีเป็นอย่างมาก เพื่อผมผมสาหัสขนาดนี้เชียวหรือ? เห็นเช่นนั้นแล้วญาติของเพื่อนจึงตัดสินใจพาเพื่อนไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลจังหวัดจันทบุรี ผมก็ได้แต่ภวานาแหล่ะครับว่าเพื่อนผมจะต้องปลอดภัย
ส่วนพ่อกับแม่ผมและญาติพี่น้องต่างก็มาเยี่ยม นั่นก็เวลาดึกมากแล้ว ทุกคนต่างก็พากันกลับหมดเหลือเพียงแม่ผมที่อยู่เฝ้าตลอดทั้งกลางวันกลางคืน ผมนอนพักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 5 วัน มีแต่แม่ที่ไม่ปล่อยให้ผมอยู่โดดเดี่ยวบนเตียงผู้ป่วย ทั้งๆที่บ้านก็มีงานภาพกิจมากมาย แม่ละทิ้งงานทั้งหมดในบ้านเพื่อมาดูแลผม
ขอย้อนกลับไปในวันที่เกิดเหตุ ปกติผมกับเพื่อนจะกลับถึงบ้านไม่ดึกมากนัก แต่เย็นวันนั้นเป็นวันที่ผิดปกติ แม่ผมสงสัยว่าทำไมผมยังไม่ถึงบ้านสักที ทั้งๆที่เวลานี้น่าจะกลับถึงบ้านแล้วแท้ๆ สิ่งที่แม่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้น ก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ เป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก
ในใจแม่ผมตอนนั้นคงลงไปถึงตาตุ่ม
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าวินาทีนั้นแม่ผมรู้สึกยังไง แต่คงเดาได้ว่าแม่คงเป็นห่วงผมมากขนาดไหน
นี่ขนาดเฝ้าไข้ผม 5 วันโดยที่ไม่ไปไหนเลย แน่นอนล่ะว่าต้องผมเป็นห่วงผมมากแน่ๆ
หลังจากที่ผมออกจากโรงพบาบาล ผมได้มีโอกาสไปหาคนที่ช่วยชีวิตผมกับเพื่อน เป็นป้าคนหนึ่งชื่อ ป้าพี โดยมีพ่อกับแม่ผมไปด้วยพร้อมของฝาก
ป้าพีเล่าในตอนเกิดเหตุว่า เย็นวันนั้นป้าได้ยินเสียงดังโครมมาจากหน้าบ้าน จึงรีบวิ่งมาดู เห็นวัยรุ่นสองคนนอนสลบอยู่กลางถนน เนื่องจากเวลานั้นเป็นเวลาที่โพล้เพล้มาก เพื่อนผมขับรถแล้วมองไม่เห็ฯผู้ชายคนหนึ่งจอดมอเตอร์ไซค์ข้างทางแล้วคุยโทรศัพท์โดยไม่ทำสัญญาณไฟเตือน จึงไปเฉี่ยวแล้วล้มลงไปกองอยู่กลางถนน
ดวงชะตาผมกับเพื่อนคงยังไม่ถึงคาด โดยมีป้าได้เข้ามาช่วยลากร่างของผมกับเพื่อนที่นอนหมดสติออกจากกลางถนน ก่อนที่มีรถคันหลังวิ่งเข้ามาเหยียบ
เนื่องจากถนนสายนั้นเป็นถนนสายหลักที่วิ่งไปจังหวัดจันทบุรีได้ ซึ่งมีรถวิ่งอยู่แล้ว
ป้าพีบอกว่า ไม่รู้แกเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงกับสามารถลากผมกับเพื่อนออกจากถนนได้ด้วยตัวคนเดียว
อาจเป็นเพราะอะดีนาลีนที่มาจากความตกใจหรือเป็ฯเพราะดวงพวกผมยังดีอยู่ก็แล้วแต่
เอาล่ะมาถึงช่วงที่พีคที่สุดในชีวิต ผมได้มีโอกาสไปก้มกราบป้าพี เพื่อขอบคุณที่ช่วยชีวิตพวกผมในวันนั้น ในขณะที่ก้มกราบ วินาทีนั้นแม่ผมได้ร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร ไม่รู้ว่าดีใจที่ผมยังมีชีวิตอยู่หรือสงสารผมที่ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่สิ่งทีทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่า
แม่เป็นผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด
ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่เป็นที่ 1 หรือแทนที่แม่ผมได้ ผมรู้สึกเห็นใจแม่ที่เสียน้ำตา และเป็นห่วงผมมากขนาดนี้
ถ้าเกิดผมเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ผมไม่อยากนึกเลยว่าแม่ผมจะเป็นอย่างไร สำหรับผมเป็นความตื้นตันใจที่แม่ร้องไห้เพื่อผม จากวันนั้นจนวันนี้ผมยังจำได้และยังฉุกคิดขึ้นมาได้หลายอย่างว่าชีวิต
  • 1.
    ผมเคยคิดว่าผมคงไม่ตายง่ายๆหรอก ไม่เป็นอะไรหรอก อุบัติเหตุหรือโรคภัยไข้เจ็บเราคงควบคุมได้ ไม่ตายง่ายๆแน่ แต่สุดท้ายถ้าคนเราจะตาย มันก็ทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ นอนสลบอยู่กลางถนนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ รอเพียงอย่างเดียวคือรถให้มาเหยียบซ้ำ
2. ถ้าเราตายครอบครัวเราจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะแม่ เราเกิดมายังไม่ได้ตอบแทนพระคุณพ่อกับแม่ให้ยิ่งใหญ่ด้วยซ้ำ ผมอยากอยู่กับพ่อแม่และคนที่เรารักไปนานๆ ดูแลพ่อแม่ตอนแก่เฒ่าอย่างที่แม่เฝ้าผมและห่วงใยผม
3. ดั่งลูกนกเมื่อโตขึ้น ก็หัดบินออกจากรังห่างไกลพ่อแม่และสร้างครอบครัวใหม่ แต่จะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อที่ผมจะได้กลับมามีเวลาอยู่กับพ่อแม่ให้เร็วที่สุดอย่างไร้กังวล ใช้เวลากับครอบครัวให้มากที่สุดในชีวิต
4. ผมรู้สึกได้ว่าผมนั้นเป็นคนสำคัญมากของพ่อแม่
5. ผมแอบได้ยินพ่อเล่าให้คนอื่นฟังว่า วันนั้นพ่อผมนอนฝันกลางวัน แต่ฝันไม่ดีนัก พ่อผมฝันเห็ฯเครื่องบินที่กำลังบินอยู่บนฟ้า แล้วเครื่องบินลำนั้นปีกหัก ผมกลับมาลองคิดเข้าข้างตัวเองว่าเราจะต้องเป็นเครื่องบินที่กลับมาบินได้ และจะต้องพาพ่อแม่บินไปในที่ที่พ่อแม่อยากไป เป็นเหมือนแรงบันดาลใจและแรงผลักดันให้ผมไม่ท้อ เมื่อเจออุปสรรคและปัญหาและจะต้องบินไปจนกว่าจะถึงความสำเร็จเข้าสักวัน
เหตุการณ์หนึ่งของชีวิต ฉุกคิดขึ้นได้
เกษตรใส่สูท
โฆษณา