30 มิ.ย. 2022 เวลา 13:27 • การเมือง

ถามตอบ Basic Communism Questions PART 2

1) สังคมนิยม คือระบบเศรษฐกิจที่วางแผนจากส่วนกลาง
ในแบบเรียนสังคม หรือเศรษฐศาสตร์ตามหลักสูตรของไทยที่ถูกกระแสแนวคิดแบบล้าหลังครอบงำ มักกล่าวอธิบายไว้ว่า "สังคมนิยม คือระบบเศรษฐกิจที่วางแผนจากส่วนกลาง โดยรัฐ กระจายทรัพยากรจากส่วนกลางผ่านรัฐ สู่ชุมชนเพื่อความเท่าเทียม" และอธิบายเสริมว่า การวางแผนจากส่วนกลางเป็นระบบที่ไร้ประสิทธิภาพ และเผด็จการ
แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ในสังคมแบบสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์แบบจริง ๆ อำนาจจะต้องกระจายจากโครงสร้างส่วนล่างขึ้นสู่บน นโยบายและการผลิตจะต้องถูกออกแบบและร่างมาจากสภาชุมชน หรือคอมมูน ที่เป็นหน่วยย่อยของสังคม
ดังนั้นระบบวางแผนจากส่วนกลางแบบสังคมนิยม เป็นระบบที่ทุกคนมีส่วนร่วมควบคุมการผลิต และเกิดประชาธิปไตยทางตรงอยู่แทบทุกส่วนของสังคม สังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ จะเป็นระบบเศรษฐกิจที่ทุกคนในสังคมมีส่วนร่วม มีความเป็นประชาธิปไตย มีการวางแผนกระจายทรัพยากรผ่านสภาโรงงาน ชุมชน คอมมูน โดยตรง
สังคมนิยมที่แท้จริง ต้องเป็นสังคมนิยมแบบล่างขึ้นบน ไม่ใช่แบบเหมา หรือสตาลิน ที่เป็นทุนนิยมโดยรัฐ หรือสังคมนิยมแบบบนลงล่าง ที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนรวม และขาดความเป็นประชาธิปไตย
และสังคมนิยมก็ต้องปฏิเสธการกระจายทรัพยากรโดยกลไกตลาด เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการปล่อยชีวิตคนให้เป็นไปตามยถากรรม ที่คนในสังคมไม่สามารถกำหนดอะไรได้แม้กระทั่งความเป็นอยู่ของตนเอง และไม่สามารถคาดการณ์อะไรที่แน่นอนได้
2) วาทะกรรม "คอมมิวนิสต์" สมัยสงครามเย็น
ในสมัยสงครามเย็นนั้น ซึ่งเป็นสงครามระหว่างขั้วอุดมการณ์ระหว่างเสรีนิยม และอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ทั้งสองฝ่ายก็ต่างจะเผยแพร่อิทธิพลของประเทศหัวหอกหัวนำให้ได้มากที่สุด และช่วงเวลานั้นเอง อเมริกาก็ได้เข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยเพื่อสนับสนุนฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์ และในขณะเดียวกันก็เป็นการสนับสนุนแนวคิดชาตินิยมในไทย จนเกิดเป็นการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลเผด็จการทหารอย่างต่อเนื่อง
อเมริกาและรัฐไทยพยายามสร้าง propaganda และวาทะกรรมมากมายในการเผยแพร่แนวคิดต่อต้านคอมมิวนิสต์ให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นผ่านการสอนในห้องเรียน หรือการเทศน์ของศาสนาต่าง ๆ และโปสเตอร์เปรียบเทียบระหว่างเสรีนิยม และคอมมิวนิสต์(แบบโซเวียต)
โดยการกระทำเหล่านี้ก็ได้สร้างภาพจำแบบผิด ๆ ให้กับคอมมิวนิสต์จำนวนมาก เช่น คอมมิวนิสต์ไม่มีเสรีภาพ ไม่ห่วงเรื่องสิทธิต่าง ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชาวคอมมิวนิสต์เป็นกลุ่มคนที่ผลักดันและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่เสมอ เช่นการจับอาวุธขึ้นสู้กับรัฐบาลเผด็จการสฤษดิ์ ถนอม การเรียกร้องสิทธิ อำนาจต่าง ๆ ของแรงงาน ลูกจ้าง และในช่วงต้นของสหภาพโซเวียต ก็เป็นประเทศแรกในการทำให้การทำแท้งถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้เสรีภาพแก่ผู้มีมดลูก และผู้มีครรภ์โดยไม่จำเป็นต้องยึดโยงกับศาสนาและค่านิยมในสังคม
และ propaganda ก็ได้ภาพจำที่ผิดอีกหลายอย่างเช่น คอมมิวนิสต์จะจับคนไปทำนารวม หรือคอมมิวนิสต์เปรียบเสมือนปีศาจ งูเห่า ซึ่งเป็นการกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง และวาทะกรรมอีกมากมาย ซึ่งข้อเท็จจริงก็คือ คอมมิวนิสต์เป็นแค่กลุ่มคนที่มีอุดมการณ์แรงกล้าที่จะปลดแอกสังคมและทำลายโครงสร้างการกดขี่ในสังคม ไม่ใช่ปีศาจอย่างที่เขาหลอกลวง
สำหรับเรื่องนารวมนั้น เป็นความจริงที่ว่า โซเวียตสมัยสตาลิน จีนสมัยเหมา และเขมรแดงสมัยพลพตจับคนไปทำนารวม ขูดรีดกำไรส่วนเกิน เปรียบเสมือนทาส แต่เราก็ควรจะมาพิจารณาที่ไปที่มากันสักนิด ว่ามันเป็นไปตามหลักการจริง ๆ ของสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ หรือเป็นเพียงระบบที่บิดเบี้ยวแต่ใช้ชื่อคอมมิวนิสต์
ในโซเวียตหลังการปฏิวัติช่วงแรก ๆ มีการทำการยึดหรือปฏิรูปแลกที่ดินจากนายทุน ชาวนาร่ำรวย หรือเจ้าที่ดินจากสมัยศักดินา(ซาร์) เพื่อเวนคืนกรรมสิทธิ์ให้แก่เกษตรกรส่วนใหญ่ เพื่อให้มีที่ดินทำกิน โดยทางรัฐบาลก็ได้มีความเห็นว่า หากให้เกษตรกรมารวมตัวกันทำการผลิตผลผลิตทางการเกษตร ในที่รวมกันจะมีประโยชน์กว่า ก็ได้มีการสนับสนุนให้เกิดการทำนารวม(collective farm) "โดยสมัครใจ ปราศจากการบังคับ" อีกทั้งยังมีการสนับสนุนเครื่องจักรจากรัฐด้วย
แต่พอหลังเลนินเสียชีวิต โซเวียตก็เปลี่ยนผู้นำมาเป็นสตาลิน ที่ได้สร้างอิทธิพลจากเหล่าเจ้าหน้าที่รัฐ ความเป็นสังคมนิยมก็เริ่มหดหายไป อำนาจที่คนชนชั้นแรงงานเคยมีก็ผลัดเปลี่ยนไปเป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐ จากรัฐคนทำงานกลายเป็นรัฐข้าราชการที่บิดเบี้ยว ตามที่เลนินได้บอกเอาไว้
สตาลินได้เปลี่ยนทิศทางของสหภาพโซเวียตเสียใหม่ จากสังคมนิยม สู่ทุนนิยมโดยรัฐ ที่รัฐเข้ามามีอำนาจและบทบาทจนมากเกินไป รัฐสังคมนิยมที่เคยพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงาน ก็กลายเป็นพัฒนาพลังการผลิต และอุตสาหกรรม จนก่อให้เกิดการขูดรีดแรงงานส่วนเกินจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการบังคับคนทำงาน กับจับคนไปทำนารวม การสั่งห้ามการประท้วงของแรงงาน
และการบริหารแบบสตาลินเหล่านี้ก็สืบต่อไปสู่จีน และเขมรแดง ก่อให้เกิดการบังคับคนทำนารวมมากมาย ดั่งที่เราได้เห็นกัน แต่สถานการณ์ทางการเมืองและสังคมในตอนนั้นก็มีส่วนในการทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เช่นกัน ช่วงหลังการปฏิวัติรัสเซียนั้น เกิดสงครามกลางเมืองที่พวกนายทุน อำนาจเดิม ได้รับการสนับสนุนจากประเทศทุนนิยมตะวันตก 14 กองทัพ ซึ่งมีอเมริการวมอยู่ด้วย จนเป็นสาเหตุให้เศรษฐกิจในโซเวียตทรุดโทรมอย่างหนัก จนเกิดการบีบบังคับพัฒนาอุตสาหกรรมแข่งขันขึ้นจนละเลยความเป็นอยู่ของประชาชน
ส่วนในจีนนั้น มีการวางแผนฟื้นฟูสภาพสังคมหลังจากที่ทรุดโทรมมานาน แต่ทว่านโยบาย the great leap forward ของเหมาถูกนำไปใช้ทั้งที่พลังการผลิตในประเทศมันไม่เพียงพอ จนทำให้เกิดวิกฤตคนอดตายขึ้น มีคนถูกจับไปทำนารวมจำนวนมากเพื่อทำให้มีผลผลิตเพียงพอ ซึ่งการกระทำเหล่านี้ เป็นการกระทำที่ผิดหลักของสังคมนิยมคอมมิวนิสต์อย่างมาก เพราะรัฐคนทำงานจะต้องมีหน้าที่ในการรับใช้คนทำงาน มีหน้าที่เปลี่ยนวิถีการผลิต ไม่ใช่พัฒนาพลังการผลิตในการแข่งขันจนทำให้เกิดการขูดรีดแรงงาน
แม้ประเทศเหล่านี้ซึ่งใช้ชื่อคอมมิวนิสต์ จะจับคนไปทำนารวม แต่แน่นอนว่ามันก็ผิดรูปผิดร่างของสังคมนิยมไปแล้ว และมีชาวคอมมิวนิสต์อีกมากมายมหาศาลที่ต่อต้านการกระทำเหล่านี้ของจีน โซเวียต เขมรแดง เราจึงสรุปได้ว่าคอมมิวนิสต์จะจับคนไปทำนารวมนั้นเป็นเพียงวาทะกรรมอย่างหนึ่ง
ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น สงครามเย็นก็อาจไม่ใช่สงครามระหว่างโลกประชาธิปไตย หรือโลกเผด็จการคอมมิวนิสต์ แบบที่เราเข้าใจกัน เพราะประเทศผู้นำของทั้งสองฝั่ง ก็เปรียบเป็นเหมือนจักรวรรดินิยมที่ขยายอำนาจอิทธิพลของประเทศตัวเองไปเรื่อย ๆ เพราะเจตจำนงจริง ๆ ของทั้งสองฝ่ายก็อาจไม่ใช่การสู้กันของอุดมการณ์ เพราะประเทศสหภาพโซเวียต ก็หมดความเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ไปนานแล้ว และประเทศสหรัฐอเมริกาเองก็สนับสนุนรัฐบาลเผด็จการทหารจำนวนมาก เพียงเพื่อจะต่อต้านคอมมิวนิสต์
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลสฤษดิ์ ถนอม บาติสต้า พัคจุงฮี ชาห์ของอิหร่าน โงดินห์เดียม มาร์กอส ปิโนเช่ต์ สหรัฐอเมริกาทำทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนรัฐประหารในชิลี เพื่อล้มรัฐบาลสังคมนิยมที่มาจากการเลือกตั้ง และใช้อเมริกาใต้เป็นแหล่งทดลองระบบเศรษฐกิจทุนนิยมตลาดเสรีสุดขั้วอย่างเสรีนิยมใหม่ (Neoliberalism)
ดังนั้นสองประเทศนี้จึงไม่ได้สู้เพื่ออุดมการณ์ แต่สู้เพื่อขยายอำนาจของตนเองออกไป แม้จะมีคนที่ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์จริง ๆ แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงเบี้ยการเมืองของประเทศมหาอำนาจเท่านั้น
คนไทยก็ไม่ควรจะหลงเชื่อ propaganda ตามหนังสือเรียนมากจนเกินไป เพราะฝ่ายสหรัฐอเมริกาเอง ก็ไม่เคยเรียกพันธมิตรของตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย แต่เรียกว่าฝ่ายโลกเสรี คืออุดมการณ์แบบเสรีนิยม(liberalism)เพียงเท่านั้น
และการสร้าง propaganda เหล่านี้ เป็นการสร้าง red scare ให้คนเกลียดหรือกลัวคอมมิวนิสต์มาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายสลิ่ม หรือฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยก็ตาม แน่นอนว่า propaganda เป็นจุดเริ่มต้นของการทำลายประชาธิปไตยในไทยด้วย ดังที่มันเกิดใน 6 ตุลาคม 2519
3) รัสเซียปัจจุบันพยายามรื้อฟื้นสหภาพโซเวียต
ท่ามกลางสงครามรัสเซีย-ยูเครนนี้ มีคนอนุมานไปมากว่ารัสเซียพยายามจะพาประเทศกลับไปเป็นคอมมิวนิสต์ หรือสหภาพโซเวียต แต่นั่นเป็นเพียงความเข้าใจผิด
รัสเซียปัจจุบันไม่เหลือเค้าโครงของสังคมนิยม คอมมิวนิสต์อีกต่อไปแล้ว หลังจากสหภาพโซเวียตล่มไปเมื่อ 1991 สงครามปัจจุบันจึงไม่ใช่สงครามที่คอมมิวนิสต์มีส่วนเอี่ยวอีกต่อไป มันเป็นเพียงสงครามของจักรวรรดินิยมสองขั้วระหว่าง NATO ที่มีประเทศตะวันตกสนับสนุน และรัสเซียที่พยายามขยายอำนาจไปยังตะวันตกเท่านั้น
ปูตินนั้นก็ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ หรือมีอุดมการณ์ต่อต้านทุนนิยม ตัวเขาเองก็เป็นพวกที่เชียร์ระบอบกษัตริย์ หรือศักดินา ดังที่เขาเปรียบตัวเองเหมือนจักรพรรดิปีเตอร์มหาราช อีกทั้งก็ยังโทษเลนินที่เป็นต้นเหตุให้สหภาพโซเวียตล่ม(ทั้งที่ช่วงเวลาห่างกันเกือบ 80 ปี) สิ่งที่ปูตินพยายามจะฟื้นฟูคือรัสเซียในฐานะความยิ่งใหญ่ของชาตินิยม ของประวัติศาสตร์ที่เอาชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 เหนือเยอรมัน ไม่ใช่รัฐสังคมนิยมในฐานะรัฐของคนทำงาน(โซเวียต Soviet แปลว่ารัฐหรือสภาของแรงงาน)
และสำหรับชาวคอมมิวนิสต์แล้ว เราจะไม่มีวันที่จะอวยระบอบศักดินาอันล้าหลัง และจะต้องไม่สนับสนุนสงครามจักรวรรดินิยมใด ๆ เพราะชนชั้นแรงงานจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากสงครามนี้เลย ประโยชน์นั้นจะตกไปสู่มือชนชั้นนำเพียงอย่างเดียว หน้าที่ของชาวคอมมิวนิสต์ และชนชั้นแรงงานคือปลดแอกตนเองจากรัฐเผด็จการหรือทุนนิยมนั้น จะต้องไม่ต้องคาดหวังกับประเทศมหาอำนาจ เพราะชนชั้นนำมีประโยชน์ร่วมกันเสมอ
ไม่มีใครปลดแอกเราได้ นอกจากตัวเราปลดแอกตัวเอง
1
โฆษณา