2 ก.ค. 2022 เวลา 05:44 • ปรัชญา
ภาวนามัย
สำหรับ ภาวนามัย คือ บุญสำเร็จได้ด้วยการเจริญภาวนา
ไอ้ ภาวนา นี่ก็คือ ตัวคิด
ภาวนา ที่เราเรียกว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ อันนี้ไม่ใช่
ภาวนา ในที่นี้เขาแปลว่า "เจริญ"
คำว่า "เจริญ" คือ ทำปัญญาให้มันเจริญ ให้มันมุ่งมั่นดูว่า
ไอ้ โลภะ ความโลภ นี่มันดีหรือมันเลว
ราคะ ความกำหนัดยินดีในเพศนี่มันดีหรือมันเลว ดูแล้วมันเลวจริงๆ
ไอ้คนเราอยู่คนเดียวมันก็เป็นทุกข์จะกินก็ต้องหากินทุกวัน สูญเสียทรัพย์สินไปด้วยสถานที่อยู่ สูญเสียทรัพย์สินไปด้วยการรักษากายไม่ให้ป่วยไข้ไม่สบาย สูญเสียทรัพย์สินไปด้วยกิจการต่างๆ ตามภาวะของโลก มันไม่มีอะไรเป็นสุขสักนิด มีแค่คนเดียวมันยังเป็นทุกข์อย่างนี้
แล้วถ้าเรามีปัญญาดีสักนิดหนึ่ง ใช้ปัญญาสักหน่อย การแสวงหาคู่ครองมันเพื่อประโยชน์อะไร มันด้วยความกำหนัดในการสัมผัสเล็กน้อยเท่านั้นเอง ไอ้รสการ
สัมผัสซึ่งกันและกันมันจะมีรสมีชาติตรงไหน
เราต้องการคนสวย เราต้องการคนแข็งแรง มีร่างกายสมบูรณ์ แล้วใครคนไหนที่มันสวยมันสมบูรณ์ทรงตัวบ้าง
เขาแก่ ให้เป็นตัวอย่าง
เขาทุกข์ ให้เป็นตัวอย่าง
คนดียวก็ทุกข์
หาคู่ครองเข้ามามันก็เพิ่มทุกข์
ในที่สุด มีลูกมีหลานมันก็ทุกข์มาก
นี่เลอะเทอะไม่ได้ความ
ตายด้วยกันทั้งหมด
เอาของสกปรกเข้าไปกก
ของสกปรกมันก็เพิ่มความสกปรก
เอาทุกข์เข้าไปรวมทุกข์ มันก็บวก ทุกข์คูณทุกข์
ผลที่สุดก็ตายด้วยกัน มีประโยชน์อะไร.
จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๗๕ หน้าที่ ๙ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ขอลาจากอบายภูมิ
อบายภูมิ ๔ อย่างคือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เมื่อชนะสังโยชน์ ๓ ประการนี้ได้ เรื่องการเกิดในอบายภูมิทั้งหมดนี้ไม่มีอีก จะมีการเกิดก็เกิดในมนุษย์ อย่างมาก ๗ ชาติ ถ้าใจเข้มแข็งปานกลาง ก็เกิดเป็นมนุษย์ ๓ ชาติ ถ้ากำลังใจเด็ดเดี่ยวก็เกิดเป็นมนุษย์ ๑ ชาติ หลังจากนั้นก็เป็นพระอรหันต์ไปนิพพาน
จากหนังสือ หนีนรก หน้าที่ ๓๓ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
เรื่อง. อานิสงส์ ของการสร้างเมรุ
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ..ตอบปัญหาธรรม
ผู้ถาม : หลวงพ่อ ครับ..
มีคนเขาสร้างเมรุ ถวายวัด มีอานิสงส์อย่างไรครับ..
หลวงพ่อฯ : อานิสงส์ถวายเมรุ..
พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ นึกไม่ออก แต่เมรุนี้เป็นเครื่องบำบัดความทุกข์ ของท่านผู้เป็นเจ้าภาพมาก..
แล้วถ้าเราถวายเมรุ อานิสงส์ก็ได้ ๒ ประการ คือ..
ประการแรก.. ไปสวรรค์
ประการที่ ๒.. ไปนิพพาน
อันนี้พูดจริง ๆ แต่ว่า ต้องใช้กำลังใจให้ถูก..
ประการแรก ที่ว่า ไปสวรรค์ คือว่า.. ได้ กามาวจรสวรรค์ น่ะนะ ทั้งนี้เพราะว่า ถ้าคนที่เขาจะต้องตายขึ้นมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าภาพนี่ มีภาระหนักที่สุด ไหนจะเรื่องเผาศพ ไหนจะเรื่องโรงใส่ศพ ฉะนั้น..
ถ้าหากว่า เราทำอะไร ให้ความสะดวกแก่คนอื่น เขาก็จะได้รับความสะดวกและความสุข ใช่ไหม..
แต่ว่า ความจริง ถวายเมรุแล้ว ก็ควรถวาย โลงเผาศพ ด้วยนะ ไม่งั้นจะเผาได้ยังไงล่ะ.. ที่พูดนี่ ดีไม่ดี เจ้าภาพ โกรธ ซื้อโรงมาถวายหลายลูกเลย..
ทีนี้ ถ้าใช้วิปัสสนาญาณควบคุมด้วยว่า.. คนที่ต้องมาถูกเผาที่เมรุของเรา ก่อนนี้ เขามีชีวิตเหมือนเรา เกิดมาแล้ว เป็นเด็กเท่าเรา เป็นผู้ใหญ่เท่าเรา แล้วก็ตายเหมือนเรา..
ก็คิดว่า.. ร่างกายของคนมันเป็น อนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้.. ทุกขัง เมื่ออยู่ ก็มีแต่ความทรมาน ในที่สุด ร่างกายก็ตาย..
คนเรา ถ้าไม่เกิดมามีร่างกายเมื่อไร มันก็หมดทุกข์ ตามที่ พระพุทธเจ้า ทรงตรัสว่า.. "เตสัง วูปะสะโม สุโข" ถ้ายังมีร่างกายอยู่ก็ทุกข์ จิตก็เลยตัดสุขส่วนหนึ่ง ที่เป็นโลกีย์วิสัย ตั้งใจไป นิพพาน.. อย่างนี้ ไปนิพพาน เลย..
( จากหนังสือ *หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม* เล่มที่ ๙ หน้าที่ ๙๖ ของวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี )
โฆษณา