9 ก.ค. 2022 เวลา 00:00 • ประวัติศาสตร์
"บนเส้นทางข้ามคาบสมุทร บ้านเมืองกึ่งกลางที่ยะลาและยะรัง"
ในท้องที่จังหวัดยะลาปัจจุบัน โดยเฉพาะบริเวณที่ราบลุ่มชายฝั่งทางตะวันตกของลำน้ำปัตตานีอันเป็นส่วนที่ต่อเนื่องมาจากที่ราบเชิงเขาสันกาลาคีรี บริเวณนี้เป็นจุดเริ่มต้นของที่ราบลุ่มแม่น้ำปัตตานีที่แผ่กว้างไปจนจรดเขตชายทะเลของคาบสมุทรฝั่งตะวันออก ที่ราบลุ่มเชิงเขาเหล่านี้ขนาบไปด้วยเทือกเขาทั้งด้านตะวันตกและตะวันออก มีลำน้ำสำคัญคือแม่น้ำปัตตานีและคลองตาชีตลอดจนลำน้ำที่เป็นสาขาเล็กๆ ไหลหล่อเลี้ยงพื้นที่เกษตรกรรม
แม่น้ำปัตตานีไหลมาจากเทือกเขาที่กั้นเขตแดนระหว่างรัฐไทรบุรีของประเทศมาเลเซีย ผ่านอำเภอเบตงและบันนังสตามายังจังหวัดยะลา หากเดินทางขึ้นไปตามลำน้ำจนถึงต้นน้ำในเขตอำเภอเบตง ก็จะมีช่องทางผ่านไปยังรัฐไทรบุรีและเประไปออกฝั่งทะเลทางด้านตะวันตกที่ติดกับทะเลอันดามันหรือมหาสมุทรอินเดียได้
ที่ราบเชิงเขาบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เพราะอยู่ในเส้นทางการเดินทางข้ามคาบสมุทรระหว่างฝั่งอันดามันและฝั่งอ่าวไทย บริเวณ “ทุ่งกาโล” ซึ่งเคยเป็นที่เลี้ยงสัตว์ของชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงเคยมีโคกเนินหลายแห่งและถูกเกลี่ยไถให้กลายเป็นสนามบินท่าสาปไปจนหมดนั้น
เคยเป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณที่มีความเกี่ยวเนื่องกับโบราณวัตถุและศาสนสถานทั้งพุทธและฮินดูในถ้ำเขาหินปูนที่ถ้ำพระนอนและถ้ำศิลป์ที่เป็นเขาลูกโดดสองแห่งใกล้กับลำน้ำปัตตานี ซึ่งพบหลักฐานสำคัญของการเป็นชุมชนที่มีการรับพุทธศาสนาแบบมหายานในยุคเริ่มแรกของคาบสมุทรมลายู-สยาม
ไม่ห่างไกลจากชุมชนโบราณทางฝั่งตะวันออกของลำน้ำปัตตานีคือที่ตั้งของกลุ่มเมืองโบราณที่ยะรัง ซึ่งก็คือบริเวณบ้านเมืองที่เป็นศูนย์กลางรัฐ “ลังกาสุกะ” ในอดีต กลุ่มเมืองเหล่านี้เป็นที่ตั้งของเมืองท่าภายในมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี ก่อนจะเคลื่อนย้ายตัวเมืองไปอยู่ริมทะเลกลายเป็นเมืองท่าชายฝั่งริมอ่าวขนาดใหญ่ของคาบสมุทรทางฝั่งทะเลตะวันออกคือ “รัฐปาตานี” ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมา
เป็นศูนย์กลางของอำนาจการปกครอง การค้าขายทั้งภายในและภายนอก ซึ่งมีผู้คนตั้งหลักแหล่งเป็นบ้านเมืองขนาดใหญ่กว่าชุมชนที่อยู่ภายในแผ่นดิน ดังนั้น ชุมชนท้องถิ่นแถบเมืองยะลาเดิมจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งภายใต้รัฐปาตานีอย่างแยกไม่ออก จนกระทั่งถึงสมัยที่ต้องเสียอำนาจการปกครองให้กับกรุงเทพฯ และกลายเป็นเมืองหนึ่งของบริเวณเจ็ดหัวเมืองที่ถูกแบ่งแยกเพื่อปกครองในระยะเวลานั้น บริเวณนี้ถือว่าอยู่ในตำแหน่งที่เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างการเดินทางข้ามภูมิภาคที่ชัดเจนที่สุด
หน้าถ้ำ-ท่าสาป ชุมชนยุคแรกเริ่ม
ภูเขาหินปูนที่มีถ้ำหรือเพิงผามักจะพบร่องรอยในการใช้พื้นที่เหล่านี้เนื่องในงานพิธีกรรมของชุมชนในละแวกใกล้เคียง ถือว่าเป็น “ภูเขาศักดิ์สิทธิ์” [Sacred mountain] ของท้องถิ่น กลุ่มภูเขาหินปูนลูกโดดบริเวณเขายาลอ เขากำปั่น และเขาหน้าถ้ำมีร่องรอยในการใช้ประกอบพิธีกรรมของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงช่วงที่พุทธศาสนาแบบมหายานที่แพร่หลายกันในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ ในกลุ่มบ้านเมืองที่เรียกกันว่า สหพันธรัฐศรีวิชัยในเขตคาบสมุทรมลายู-สยามและหมู่เกาะต่างๆ
บ้านหน้าถ้ำ ภาษาบาลีเรียก “บาโย” ที่ไม่ได้แปลว่าหน้าถ้ำ แต่หมายถึง “ต้นพลากวาง"
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้บริเวณโถงภายในถ้ำคล้ายกับวิหารตามธรรมชาติเพื่อประกอบพิธีกรรมสำคัญอย่างสืบเนื่อง จนกระทั่งบ้านเมืองของรัฐปาตานีปรับเปลี่ยนมารับศาสนาอิสลามเป็นศาสนาในท้องถิ่นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๑ เป็นต้นมา หลักฐานร่องรอยของการใช้ถ้ำเพื่อเป็นศาสนสถานของชุมชนก็หมดลง นอกเหนือไปจากการเข้าไปใช้สถานที่ในถ้ำเพื่อทำสมาธิของผู้ที่นับถืออิสลามในแนวทางแบบซูฟีซึ่งผสมกับความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติแบบท้องถิ่นดั้งเดิม
มีการกล่าวถึงการพบเครื่องมือหินขัดบริเวณริมฝั่งแม่น้ำปัตตานีหลายแห่ง เช่น ที่อำเภอธารโตและตำบลตาชี อำเภอยะหา และที่วัดนิโรธสังฆารามในเขตสะเตง อำเภอเมืองยะลา นอกจากนี้ยังพบในบริเวณบ้านท่าสาปและบ้านหน้าถ้ำมาตลอดแต่ยังไม่ได้มีการสำรวจกันอย่างจริงจังแต่อย่างใด
หากหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงน่าจะมีร่องรอยของผู้คนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์อย่างชัดเจนในบริเวณนี้ก็คือ ภาพเขียนบนผนังที่ “ถ้ำศิลป์” ในวัดคูหาภิมุข บนผนังด้านตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภาพเขียนกลุ่มคนราว ๗-๘ คนวางเป็นรูปสามเหลี่ยมใช้เทคนิคแบบ เซาะร่อง [Engraved] หรือขูดลงไปบนเนื้อหินเพื่อทำเส้นรอบรูปเป็นโครงร่างแล้วระบายสีดำทึบภายในโครงร่างนั้น ทั้งนั่งบ้างยืนบ้าง
ภาพตรงกลางเป็นรูปคนเป่าลูกดอก เหนือคนเป่าลูกดอกเป็นภาพคนยืน ด้านหน้าคนเป่าลูกดอกเป็นรูปคนแอ่นพุง ด้านหลังคนเป่าลูกดอกเป็นรูปคนยืนโก่งคันธนูกำลังเล็งไปที่สัตว์ แสดงถึงอาการล่าสัตว์ ด้านล่างคนของคนเป่าลูกดอกเป็นภาพคนนั่งขนาดเล็กๆ
นอกจากที่ถ้ำศิลป์ที่เขาหน้าถ้ำแล้ว ยังมีรายงานการพบภาพเขียนสีบน เพิงผา [Shelter] อีกแห่งหนึ่งที่ ภูเขายาลอ ซึ่งสูงจากพื้นราบประมาณ ๕๐-๖๐ เมตร ความกว้างของเพิงผานี้ประมาณ ๑๘-๒๐ เมตร ในหมู่ ๒ บ้านกูเบร์ ตำบลยะลา ในบริเวณที่ชาวบ้านเรียกว่า “ตอแล” หรือ “ตอหลัง” ซึ่งหมายถึงการเรียกต้นไม้ใหญ่โตกว่าต้นไม้อื่นๆ และมีผึ้งไปเกาะทำรัง ที่มีความหมายว่าที่ราบสำหรับบวงสรวง
จากตำนานท้องถิ่นที่เล่ากันว่ามีพญาครุฑตนหนึ่งเป็นผู้ปกครองหมู่บ้าน ชาวบ้านต้องส่งลูกสาวเป็นบรรณาการไม่เช่นนั้นจะถูกพญาครุฑลงโทษ สถานที่นี้จึงใช้สำหรับมอบหญิงสาวในหมู่บ้านให้พญาครุฑ
แต่ชาวมุสลิมสูงอายุในท้องถิ่นเล่าว่า บริเวณนี้ยามเย็นใกล้ค่ำจะมีเสียงหญิงสาวร้องโหยหวน โดยเชื่อกันว่าเป็นเสียงผู้หญิงชาวบ้านที่ถูกรายาจับไปข่มขืน ซึ่งก็คล้ายกับเรื่องพญาครุฑจับหญิงสาวที่ชาวบ้านนำมาบวงสรวงเช่นกัน ดังนั้น ลักษณะของพื้นที่ดังกล่าวที่เป็นลานและเพิงผาจึงถูกตีความว่าเหมาะสำหรับงานพิธีกรรม [Feast]
ภาพบนเพิงผาเขียนด้วยสีแดงเป็นรูปสัญลักษณ์ลายเรขาคณิต เคยมีภาพเป็นกลุ่มขนาดใหญ่แต่ถูกกะเทาะทำลายไปเสียแล้ว ภาพอีกกลุ่มมีอยู่ด้วยกันราว ๑๐ กลุ่ม เขียนเป็นรูปเรขาคณิต เป็นเส้นเรียงกันหรือเป็นจุดบ้าง เป็นตารางช่องๆ บ้าง
ส่วนบริเวณพื้นดินใต้เพิงหินพบชิ้นส่วนกระดูกสัตว์ในชั้นดิน เช่น กระดองตะพาบน้ำ กะโหลกจำพวกลิง เปลือกหอยน้ำจืดชนิดต่างๆ เขี้ยวและกรามสัตว์อีกหลายชนิด ล้วนสัญนิษฐานได้ว่าน่าจะเป็นอาหารที่ใช้สำหรับทำพิธีกรรมหรือการทำอาหารสำหรับพักพิงชั่วคราวและยังพบเศษภาชนะดินเผาเขียนสีแดง เคลือบน้ำดินสีแดง ภาชนะผิวดำขัดมันแบบลายเชือกทาบและแบบมีสันอีกจำนวนหนึ่งด้วย
บริเวณเพิงผาแห่งนี้จึงเป็นสถานที่สำหรับประกอบพิธีกรรมในยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตามหลักฐานที่ปรากฏสืบเนื่องจนถึงยุคการอยู่อาศัยในเวลาต่อมาที่มีการผูกเรื่องตำนานท้องถิ่นที่สัมพันธ์กับสภาพภูมิศาสตร์เป็นลานบวงสรวงทำพิธีกรรมเพื่อความมั่นคงและสงบสุขของชุมชน อันเป็นสิ่งที่ไม่ได้แตกต่างไปจากรูปแบบพิธีกรรมของมนุษย์ยุคก่อนหน้านั้นแต่อย่างใด
เมื่อแรกรับพุทธศาสนามหายาน
มีการพบพระพิมพ์ดินดิบและพระพุทธรูปที่เรียกว่าแบบศรีวิชัยราวพุทธสตวรรษที่ ๑๔-๑๕ ลงมาในหลายๆ ท้องที่ ในเขตท้องถิ่นยาลอแต่เท่าที่ทราบกันดีมีอยู่ ๒ แหล่ง คือ บริเวณสนามบินเก่าในบริเวณบ้านท่าสาปใกล้กับลำน้ำปัตตานีแห่งหนึ่งและบริเวณเขตภูเขาหน้าถ้ำอีกแห่งหนึ่ง
เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ชาวบ้านได้ถางป่าที่ทุ่งกาโลหรือสนามบินท่าสาปในเวลาต่อมาเพื่อขุดหลุมฝังศพชาวจีนได้พบพระพุทธรูปและเทวรูปแต่ไม่มีหลักฐานภาพถ่ายบันทึกไว้ นอกจากคำบอกเล่าและเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้มีการขุด ไถ เพื่อปรับพื้นที่ทำเป็นสนามบินแต่ไม่มีการสำรวจทางโบราณคดีจึงไม่มีการบันทึกหลักฐานที่สำคัญเหล่านั้นไว้ และทำให้เนินดิน โคกอิฐทั้งหมดถูกรื้อทำลาย
ส่วนอีกบริเวณหนึ่งคือแหล่งศาสนสถานของชุมชนรอบๆ เพราะพบพระพิมพ์ดินดิบ ภาพจิตรกรรมในถ้ำที่ทำให้คล้ายกับวิหารตามธรรมชาติ เช่นที่ “ถ้ำแจ้งหรือถ้ำพระนอน” ในวัดคูหาภิมุขที่อยู่ห่างจากทุ่งกาโลไปราว ๔-๕ กิโลเมตร ในถ้ำพบพระพุทธไสยาสน์ที่องค์เดิมทำด้วยดินดิบขึ้นรูปจากโครงไม้ไผ่ขัดสานทำเป็นโครงภายในและโบกปูนทรายทับด้านนอก หนาประมาณ ๕-๖ เซนติเมตร รวมทั้งถ้ำศิลป์ที่อยู่ห่างจากถ้ำพระนอนในภูเขาลูกเดียวกันแต่ห่างไปราว ๑.๗ กิโลเมตร
สำหรับ “ถ้ำศิลป์” ใกล้กับวัดคูหาภิมุข ถือว่ามีการพบหลักฐานในระบบความเชื่อตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์มาจนถึงเมื่อรับพุทธศาสนาแบบมหายาน แบ่งออกเป็น ๒ ห้อง มีช่องให้แสงลอดเข้าไปได้ ๒ แห่ง มีหินงอกหินย้อยสวยงาม ให้ความรู้สึกคล้ายวิหารโดยธรรมชาติ
พบภาพเขียนสีและภาพพระพุทธรูป ตัดขอบสีดำหรือน้ำเงินเข้ม สีที่ใช้คือสีแดง สีน้ำเงินและสีเหลืองใช้สีพื้นเป็นสีแดง โดยการเขียนพระพุทธนั่งประทับเป็นแถว เบื้องซ้ายขวามีอัครสาวกและอุบาสกอุบาสิกา ใต้ลงมามีพระพุทธรูปคล้ายปางลีลา มีรูปหญิงสาวสามคนที่อาจเป็นธิดาของพระยามาร
“ถ้ำศิลป์” ใกล้กับวัดคูหาภิมุข มีภาพเขียนพระพุทธรูปนั่งประทับเป็นแถว เบื้องซ้ายขวามีอัครสาวก และอุบาสกอุบาสิกา ใต้ลงมามีพระพุทธรูปคล้ายปางลีลา และมีรูปหญิงสาวสามคน
อีกแห่งหนึ่งคือ “เขากำปั่น” ซึ่งมีถ้ำใหญ่น้อยจำนวนมาก ที่สำคัญ ๒ แห่ง คือ “ถ้ำสำเภาและถ้ำคนโท” ถ้ำสำเภา อยู่ทางทิศเหนือ ปากถ้ำสูงกว่าพื้นดินประมาณ ๓ เมตร เคยขุดพบพระพุทธรูปปูนปั้น พระพิมพ์ดินดิบและพระสำริด บางช่วงเป็นห้องโถงกว้าง เล่าว่าผนังถ้ำบางแห่งเคยมีปูนปั้นเป็นรูปราชรถ มีเทวดาประทับอยู่บนราชรถและมีชายนั่งชันเข่าเหลียวมอง แต่ปัจจุบันหายไป
ถ้ำคนโท อยู่ตอนกลางของเขากำปั่น สูงจากพื้นดินมาก แต่ถ้ำนี้ถือว่าเป็นถ้ำใหญ่และสำคัญที่สุดของภูเขากำปั่น เป็นถ้ำหินอ่อน มีหินงอก หินย้อยเป็นรูปร่างต่างๆ สวยงาม กล่าวกันว่าพบวัตถุโบราณ อันได้แก่ พระพิมพ์ดินดิบ พระพุทธรูป และเครื่องถ้วยจากถ้ำนี้มากกว่าถ้ำอื่น พระพุทธรูปที่พบที่ถ้ำคนโทเป็นพระพุทธรูปสลักในแผ่นหิน ๓ องค์ องค์ที่สมบูรณ์ที่สุดสลักบนแผ่นหินกว้าง ๒๑.๕ เซนติเมตร สูง ๓๐ เซนติเมตร เป็นรูปนูนต่ำรูปพระพุทธเจ้าประทับนั่งปางสมาธิ ส่วนอีกรูปหนึ่งมีขนาดใกล้เคียงกัน แต่ชำรุดมีแต่พระเศียร
พระพุทธรูปสำริดที่พบจากถ้ำคนโทมีจำนวนมากมาย ส่วนใหญ่ตกเป็นสมบัติเอกชนและไม่เปิดเผยว่าอยู่ที่ใดบ้าง ส่วนที่เป็นสมบัติของวัดคูหาภิมุขเพราะชาวบ้านนำมาถวายซึ่งมักจะไม่สมบูรณ์
ดังนั้น จึงทำให้เห็นภาพของบ้านเมืองที่อยู่บริเวณที่ราบใกล้ลำน้ำสายใหญ่ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมติดต่อกับชุมชนที่อยู่ภายในเทือกเขาสันกาลาคีรีซึ่งสามารถเดินทางผ่านแนวสันปันน้ำและช่องเขาเข้าไปยังที่ราบของริมฝั่งแม่น้ำทางริมฝั่งทะเลอันดามันซึ่งก็มีบ้านเมืองที่สามารถติดต่อกับเส้นทางเดินเรือทะเลเลียบชายฝั่งในสมัยโบราณจากทางฝั่งอินเดียและอาหรับได้
บ้านเมืองบนเส้นทางข้ามคาบสมุทรในยุคสหพันธรัฐศรีวิชัย
สันปันน้ำของต้นน้ำสำคัญในคาบสมุทรมลายูทางฝั่งไทยคือ แม่น้ำปัตตานี แม่น้ำสายบุรี ส่วนทางฝั่งมาเลเซียคือ แม่น้ำกลันตัน แม่น้ำเประ แม่น้ำสุไหงปาตานี เทือกเขาแถบนี้นอกจากเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญแล้ว ยังเป็นพื้นที่ทำเหมืองแร่ดีบุกในระยะเริ่มแรกและเป็นสินค้าส่งออกของบ้านเมืองทั้งสองฝั่งทะเลมาแต่โบราณ
เส้นทางของลำน้ำปัตตานีผ่านสันเขาไปสู่ลำน้ำในแถบฝั่งรัฐเคดาห์จึงอยู่ในเส้นทางข้ามคาบสมุทรระหว่างฝั่งอันดามันและอ่าวไทยที่มีบ้านเมืองในยุคเริ่มแรกใช้เส้นทางติดต่อระหว่างบ้านเมืองภายในแหลมมลายูตลอดมา
เมืองโบราณขนาดใหญ่ที่อยู่ในบริเวณอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ห่างจากชายฝั่งทะเลเข้าไปในแผ่นดินราวๆ ๑๕-๑๖ กิโลเมตร มีผู้รู้จักมาเป็นเวลานานแล้ว และทราบว่าเป็นเมืองสำคัญที่พบร่องรอยการตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านเป็นเมืองและพบศาสนสถานจำนวนมาก อาจจะเป็นชุมชนโบราณที่พบหลักฐานการตั้งถิ่นฐานที่ซับซ้อนและใหญ่ที่สุดในคาบสมุทรมลายูทีเดียว
เมืองโบราณแห่งนี้คือศูนย์กลางของรัฐ “ลังกาสุกะ” ซึ่งเป็นเมืองท่าภายในและมีความสัมพันธ์กับบ้านเมืองในกลุ่มสหพันธรัฐศรีวิชัยในช่วงตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ ลงมา และมีความสำคัญต่อบ้านเมืองภายในด้วยกันโดยมีการแลกเปลี่ยนหรือซื้อสินค้าทรัพยากรของป่าและแร่ธาตุและสามารถติดต่อกับกลุ่มเมืองโบราณอีกฝั่งทะเลหนึ่งที่ “หุบเขาบูจัง” [Bujang Valley] ในรัฐเคดาห์หรือไทรบุรีและชุมชนโบราณอื่นๆ ในรัฐเประ โดยการใช้เส้นทางเดินทางข้ามคาบสมุทรผ่านช่องเขาและสันปันน้ำของเทือกเขาสันกาลาคีรี
เมืองโบราณที่ยะรังมีร่องรอยของการอยู่อาศัยในระยะเวลานานและย้ายตำแหน่งตัวเมืองในพื้นที่ราว ๙-๑๐ ตารางกิโลเมตรในช่วงเวลายาวนานก่อนเมืองโบราณริมชายฝั่งทะเลที่อ่าวปัตตานีจะเกิดขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑
เส้นทางข้ามคาบสมุทรสยาม-มลายูมีอยู่ด้วยกันหลายสายและมีอายุเก่าแก่ไปจนถึงต้นพุทธกาลเพราะพบหลักฐานทางโบราณคดีตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในยุคเหล็ก เส้นทางเหล่านี้เชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางติดต่อระหว่างแหล่งอารยธรรมของโลกสองเขต คือ กรีก โรมัน อินเดีย อาหรับทางตะวันตกและจีนทางตะวันออก การเดินเรือเลียบชายฝั่งในยุคเริ่มแรกนั้นเมื่อจะต้องผ่านคาบสมุทรมลายู การเดินทางในยุคแรกๆ นั้นใช้วิธีขึ้นบกแล้วเดินทางผ่านข้ามฝั่งมหาสมุทรจากอันดามันสู่อ่าวไทยและทะเลจีนใต้แล้วต่อเรือในอีกฝั่งหนึ่ง
เมื่อเส้นทางข้ามคาบสมุทรหมดความสำคัญลงในเวลาต่อมา เพราะการเดินเรือผ่านช่องแคบมะละกานั้นสามารถทำได้ดีขึ้นหรือสะดวกกว่าในอดีตโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนพาหนะแล้วต้องเดินทางบกข้ามเขามาตามลำน้ำซึ่งมีอันตรายและใช้เวลามาก คนในท้องถิ่นจึงใช้เป็นเส้นทางติดต่อภายในระหว่างชุมชนบ้านเมืองในคาบสมุทรและกลายเป็นเส้นทางภายในท้องถิ่นมากกว่าที่จะใช้เพื่อการค้าระหว่างภูมิภาคดังในระยะเริ่มแรก
บริเวณเส้นทางข้ามคาบสมุทรตอนล่างบริเวณเคดาห์หรือไทรบุรีซึ่งปรากฏกลุ่มโบราณสถานและชุมชนที่หุบเขาบูจังในเทือกเขาเจไร ใกล้ปากแม่น้ำเมอร์บก [Sugai Merbok’s Mouth] ในเคดาห์ ผ่านต้นน้ำบริเวณสันปันน้ำของเทือกเขาสันกาลาคีรีเดินทางผ่านหุบเขาและที่สูงลงสู่ที่ราบลุ่มของลุ่มน้ำปัตตานีและสายบุรี
มีหลักฐานพบจันทิในศาสนาฮินดูหลายแห่งและโบราณวัตถุในพุทธศาสนาคติมหายานตลอดจนเครื่องถ้วยแบบเปอร์เซียอาหรับซึ่งทำให้เห็นว่ามีการเดินทางติดต่อและค้าขายจากบ้านเมืองในอาหรับและอินเดียสู่เมืองท่าบริเวณนี้ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕
บ้านเมืองบริเวณนี้จะมีพัฒนาการของเมืองท่าภายในซึ่งมีรากฐานมาจากการตั้งถิ่นฐานในระยะเริ่มแรกราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ แล้วมาเจริญสูงสุดในยุคสหพันธรัฐเมืองท่าศรีวิชัยในช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ ลงมา จึงมีความร่ำรวยและน่าจะเป็นเมืองศูนย์กลางที่สำคัญของบ้านเมืองในคาบสมุทรมลายูที่มีการเดินทางค้าขายแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมข้ามภูมิภาคกันอย่างคึกคัก
ทั้งเมืองลังกาสุกะที่ยะรังเป็นจุดเชื่อมต่อบ้านเมืองทั้งสองฝากฝั่งทะเลจากอันดามันถึงอ่าวไทย จนขยับขยายสร้างบ้านเมืองใหม่ในฐานะเมืองท่าชายฝั่งทะเลขึ้นที่ริมอ่าวใกล้ปากน้ำปัตตานี
เมืองท่าภายในที่ยะรัง
เมืองโบราณขนาดใหญ่ที่อยู่ในบริเวณอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ห่างจากชายฝั่งทะเลเข้าไปในแผ่นดินราวๆ ๑๕-๑๖ กิโลเมตร มีผู้รู้จักมาเป็นเวลานานแล้ว และทราบว่าเป็นเมืองสำคัญที่พบร่องรอยการตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านเป็นเมืองและพบศาสนาสถานจำนวนมาก อาจจะเป็นชุมชนโบราณที่พบหลักฐานการตั้งถิ่นฐานที่ซับซ้อนและใหญ่ที่สุดในคาบสมุทรมลายูทีเดียว
จากการศึกษาทางโบราณคดีในเขตบ้านปราแวและบ้านวัด ในอำเภอยะรัง รวมทั้งระบุถึงการกระจายของแหล่งศาสนสถานกว่า ๓๕ แห่ง ซึ่งผู้บุกเบิกเริ่มต้นศึกษาคือ นายอนันต์ วัฒนานิกร ปราชญ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่นของจังหวัดปัตตานี ได้ทำการศึกษาค้นคว้ามากว่า ๔๐ ปี แสดงให้เห็นว่าเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่และมีการสืบเนื่องที่เห็นได้ชัดเจนกว่าแห่งอื่นๆ ในดินแดนภาคใต้ทั้งหมด
เมื่อตรวจสอบร่องรอยของลำน้ำก็พบว่า น่าจะมีร่องรอยของลำน้ำเก่าที่มาจากเขตบ้านกรือเซะหรือเมืองปัตตานีในสมัยอยุธยาเข้าถึงชุมชนโบราณในเขตอำเภอยะรังพบว่ามีร่องรอยทางน้ำที่ไปสัมพันธ์กับคลองตุหยงหรือคลองหนองจิกทางฝั่งตะวันตกด้วย แสดงให้เห็นว่าบริเวณชุมชนโบราณนี้คงติดต่อทางทะเลไปตามลำน้ำเก่าดังกล่าวทั้งที่บริเวณเมืองหนองจิกและอ่าวปัตตานีบริเวณบ้านกรือเซะอันเป็นบริเวณที่ตั้งของเมืองปาตานีในระยะต่อมา
ชุมชนโบราณแบ่งออกเป็น ๓ บริเวณ มีลักษณะขยายตัวจากทิศใต้สู่เหนือ อาณาบริเวณทั้งสามเมืองอยู่ในพื้นที่ราว ๙ ตารางกิโลเมตร เรียงตามเมืองที่น่าจะมีอายุน้อยที่สุดทางด้านทิศเหนือไปสู่เมืองที่น่าจะมีอายุมากที่สุดต่ำลงมาทางทิศใต้ ได้แก่ บ้านวัด บ้านจาเละ และบ้านปราแว
ในปี พ.ศ.๒๓๒๙ หนังสือราชอาณาจักรมลายูปัตตานี [Kerajaan Melayu Patani] โดย อิบราฮิม สุกรี ได้กล่าวว่าเนื่องจากพระราชวังและบ้านเมืองที่กรือเซะถูกทำลายจนย่อยยับแทบไม่มีผู้คนอยู่อาศัย ตวนกูลามิเด็นจึงไปสร้างพระราชวังใหม่ที่ โกตาปราวัน บริเวณเมืองโบราณที่ปราแวในปัจจุบัน
แม้ตวนกูลามีเด็นจะได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าแผ่นดินสยามให้ปกครองปัตตานีก็ตาม แต่ก็ยังคิดที่จะกอบกู้อิสรภาพของปัตตานีให้กลับคืนมา จึงมอบหมายให้ ดาโต๊ะ ปังกาลัน เป็นผู้ดูแลเมืองที่กรือเซะ รับผิดชอบดูแลกิจการท่าเรือที่ กาแล บือซา (ท่าเรือใหญ่) ใกล้อ่าวปัตตานี เมืองโบราณภายในจึงยังคงมีการอยู่อาศัยสืบเนื่องตลอดมา
ความสำคัญของเมืองโบราณในระยะแรกเริ่มที่ยะรังก็คือ การถูกตีความโดยนักวิชาการยุคเริ่มแรกว่าสัมพันธ์กับรัฐโบราณที่ชื่อ “ลังกาสุกะ” โดยนำไปเปรียบเทียบกับคำว่า “ลั่งยะสิ่ว” ซึ่งเป็นชื่อสถานที่หนึ่งในจดหมายเหตุจีนสมัยราชวงศ์ถังที่มีอายุร่วมสมัยกับวัฒนธรรมทวารวดีในภาคกลางเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ ลงมา
แม้จะพบหลักฐานสำคัญบางอย่าง เช่น พระพุทธรูปแบบทวารวดีและศิวลึงค์รุ่นเก่าที่เทียบเคียงอายุได้ประมาณนั้น แต่หลักฐานทางโบราณคดีซึ่งพบบริเวณเมืองโบราณยะรังชี้ให้เห็นว่า มีการนับถือพุทธศาสนาแบบมหายานในรูปแบบศิลปะที่เรียกว่าแบบปาละ ซึ่งเป็นที่นิยมในบ้านเมืองของคาบสมุทรมลายู หมู่เกาะทั้งชวาและสุมาตรา ซึ่งเรียกรวมๆ กันว่า “อาณาจักรศรีวิชัย ที่รุ่งเรืองอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ ลงมา และสัมพันธ์กับบ้านเมืองที่เป็นเครือข่าย “สหพันธรัฐเมืองท่าศรีวิชัย”
อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม พิจารณาหลักฐานทางโบราณคดีต่างๆ ก็เชื่อว่า กลุ่มเมืองโบราณที่ยะรังคือเป็นเมืองปัตตานีเก่าและเป็นเมืองที่กล่าวถึงในตำนานมะโรงมหาวงศ์ที่ชื่อ “ลังกาสุกะ” ซึ่งเจริญขึ้นมาร่วมสมัยกับยุคสหพันธรัฐเมืองท่าศรีวิชัย โดยมีพื้นฐานบ้านเมืองแรกเริ่มเก่าไปถึงพุทธศตวรรษที่๑๒ ที่บริเวณเมืองโบราณบ้านวัด
ดังนั้น “ลังกาสุกะ” คือบ้านเมืองซึ่งเป็นเมืองท่าภายในติดต่อกับโลกภายนอกในกลุ่มสหพันธรัฐศรีวิชัยในช่วงตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ ลงมา และมีความสำคัญต่อบ้านเมืองภายในด้วยกันโดยมีการแลกเปลี่ยนหรือซื้อสินค้าทรัพยากรของป่าและแร่ธาตุและสามารถติดต่อกับกลุ่มเมืองโบราณอีกฝั่งทะเลหนึ่งที่ “หุบเขาบูจัง” [Bujang Valley] ในรัฐเคดาห์หรือไทรบุรีและชุมชนโบราณอื่นๆ ในรัฐเประ โดยการใช้เส้นทางเดินทางข้ามคาบสมุทรผ่านช่องเขาและสันปันน้ำของเทือกเขาสันกาลาคีรี
นักวิชาการรุ่นหนึ่งถกเถียงกันว่าศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ที่ไหน ที่ปาเลมบังและจัมบีในเกาะสุมาตราหรือที่ไชยาในสุราษฎร์ธานีหรือที่เมืองอื่นๆ เพราะเชื่อกันว่า ศรีวิชัยเป็นอาณาจักรใหญ่โต มีอำนาจทางการเมืองและการค้าครอบคลุมบ้านเมืองในหมู่เกาะและคาบสมุทรมลายู เพราะวิธีคิดของนักประวัติศาสตร์และโบราณคดีกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า อาณาจักรที่ใหญ่โตนั้นน่าจะมีเมืองที่เป็นศูนย์กลางซึ่งมีกษัตริย์นักรบผู้ยิ่งใหญ่ปกครองอยู่ ขนาดของบ้านเมืองใหญ่โตและศาสนสถานของเมืองก็ใหญ่โตตามไปด้วย
แต่ในระยะหลัง ราวครึ่งหลังทศวรรษที่ ๒๕๒๐ เป็นต้นมา มีผู้เสนอแนวคิดในการมองภาพศรีวิชัยใหม่ โดยเสนอว่า ศรีวิชัยคือเครือข่ายบ้านเมืองที่ทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างจีน อินเดีย กับเมืองท่าต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจการค้าในรูปแบบเดียวกัน ซึ่งนำไปสู่ลักษณะทางศิลปกรรมในความเชื่อทางศาสนาพุทธแบบมหายานร่วมกัน ซึ่งแสดงออกได้ในหลายรูปแบบ เช่น การนับถือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรหรือการใช้ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาสำคัญทางศาสนา
เมืองท่าต่างๆ เหล่านี้รวมตัวกันเป็นเครือข่ายที่มีศูนย์กลางอยู่ในหลายแห่งตามเมืองสำคัญต่างๆ ทั้งในหมู่เกาะและคาบสมุทรในลักษณะ “เมืองท่าทางการค้า” [Port polities] ซึ่งหมายถึงเป็น “สหพันธรัฐเมืองท่า” ที่มีหลายศูนย์กลางและเคลื่อนย้ายไปตามช่วงเวลา ลักษณะทางการค้าและความก้าวหน้าของการเดินทางติดต่อรวมถึงความสามารถของผู้นำของบ้านเมืองแต่ละแห่ง
ที่ตั้งของชุมชนโบราณที่บ้านวัด บ้านจาเละ และบ้านปราแว สะท้อนให้เห็นว่ามีลักษณะของการเป็นเมืองท่าที่อยู่เข้ามาในลำน้ำใหญ่ ไม่อยู่ติดชายทะเล การตั้งเมืองใหญ่เป็นเมืองท่าภายในเช่นนี้ มักพบเห็นได้ทั่วไปในช่วงระยะเวลานั้น เช่น ในกรณีเมืองท่าภายในสมัยทวารวดีในภาคกลางช่วงเวลาราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ ลงมา
เมืองโบราณที่ยะรังนี้ในภายหลังปรับเปลี่ยนลัทธิความเชื่อทางศาสนาจากพุทธมหายานและฮินดูมาเป็นอิสลามและเปลี่ยนศูนย์กลางของบ้านเมืองมาอยู่ที่เมือง ปาตานี ริมอ่าวใกล้ปากแม่น้ำปัตตานี บริเวณบ้านตันหยงลูโละ บานาและกรือเซะในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเมืองท่าสำหรับการค้าทางทะเลโดยตรงที่สืบเนื่องมาจากเมืองท่าภายใน ลังกาสุกะ ที่ยะรังนั่นเอง
วลัยลักษณ์ ทรงศิริ
นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๑ ฉบับที่ ๑๒ (ตุลาคม ๒๕๕๓)
ติดตามบทความ วิดีโอ และรายการต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่
Official Web : https://siamdesa.org
โฆษณา