4 ก.ค. 2022 เวลา 11:07 • นิยาย เรื่องสั้น

เรื่องเล่าสยองขวัญเรื่องที่ 1 กระสือยายแสน

สวัสดีผู้อ่านทุกๆท่าน ยินดีต้อนรับสู่กระทู้ของเราอีกครั้ง จะว่าไปนี่เป็นโพสต์แรกเลยก็ว่าได้ที่เขียนยาวขนาดนี้ วันนี้เราได้มีโอกาสไปบ้านญาติที่ต่างจังหวัดที่อยู่ทางภาคอีสานมันทำให้เรานึกย้อนไปเมื่อก่อน เหตุการณ์สยองในอดีตที่เรียกได้ว่ากลายเป็นที่กล่าวขานของคนที่นี่เลยก็ว่าได้
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นเรายังอายุได้ประมาณ 8 ขวบ เรากับครอบครัวขึ้นอีสานเพื่อจะไปหาญาติเนื่องจากช่วงนั้นตรงกับวันหยุดพอดี บวกกับย่าของเราป่วยด้วยเลยถือโอกาสนี้ไปเยี่ยมท่านเสียเลย จากกรุงเทพถึงบ้านย่าใช่เวลากว่าเกือบวันเนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดจราจรเลยหนาแน่นเป็นพิเศษ
ตอนประมาณช่วงห้าโมงเย็นเรามาถึงตำบลหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านย่า ก่อนแวะเข้าบ้านเราได้แวะวัดหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ก่อนที่จะถึงบ้านประมาณ 3 กิโล วัดนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นวัดดังประจำจังหวัด พื้นที่ของวัดมีขนาดกว้างมากเรียกได้ว่าสามารถจอดรถได้เป็นร้อย ๆคันก็ยังได้เลย เราใช้เวลาในการแวะไหว้พระกว่าครึ่งชั่วโมงจนเสร็จสรรพก็เดินทางออกจากวัดตรงไปยังบ้านย่า ระหว่างทางที่เรากำลังชื่นชมกับบรรยากาศ
จู่ ๆสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า หญิงชราในชุดเสื้อคอกระเช้าสวมผ้าถุงสีแดงเข้มลายดอกกำลังเดินก้มอย่างสาวเท้าอย่างช้าๆที่ริมฟุตบาท เรามองตามขณะรถที่แล่นอยู่ผู้หญิงคนนั้นก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นพร้อมกับค่อยๆฉีกยิ้มส่งให้ฉัน ตอนนั้นเรากลัวมากเลยรีบหันกลับก่อนจะซุกหน้าตัวเองลงกับตุ๊กตาด้วยความกลัว
ตอนแรกเราก็กะจะบอกพ่อกับแม่นะแต่ประโยคหนึ่งของยายก็ผุดขึ้นมาในหัวว่า ‘ถ้าเจอผีห้ามทัก’ แต่ด้วยความที่ตอนนั้นเรายังเด็กมากเลยไม่รู้ว่านั่นคือผีหรือคนกันแน่ สุดท้ายเราเลยเลือกที่จะเงียบไปก่อนเพราะไม่อยากให้พ่อกับแม่กลัวไปด้วย
พอมาถึงบ้านย่าเราก็สวัสดีญาติผู้ใหญ่ตามปกติ เมื่อจัดการเก็บข้าวของขึ้นบ้านเสร็จสรรพเราก็ลงมาเล่นกับเจ้าดินหมาพันธุ์โกลเด้นที่อายุ 6 เดือนที่กองทรายข้างบ้านเหมือนอย่างทุกครั้ง เราเล่นกับเจ้าดินอยู่นับชั่วโมงจนฟ้าเริ่มมืด ย่าก็ลงมาตามให้เรากับเจ้าดินขึ้นบ้าน
“ทราย เจ้าดิน ขึ้นบ้านได้แล้วลูก”
เมื่อเจ้าดินได้ยินย่าเรียกมันก็กระดิกหางขึ้นบ้านไปทันทีส่วนเราก็ลุกขึ้นปัดทรายที่อยู่ตามตัวก่อนจะเดินตามขึ้นไป ระหว่างที่เรากำลังจะเดินขึ้นบ้านจู่ ๆสายตาก็เหลือบเห็นอะไรบางอย่างที่หลังบ้าน เราหยุดเดินและพยายามชะเง้อมองเห็นเป็นปลายผ้าถุงสีแดงเข้มลายดอกผ่านๆก่อนที่เราจะพยายามหรี่ตามองให้ชัดแต่พอรู้ตัวอีกทีมันก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว
แต่ด้วยความเป็นเด็กบวกกับความขี้สงสัยมันทำให้เราเกือบจะเดินตามไปดูแล้วแต่ย่าก็เรียกเอาไว้ก่อนจะเดินมาลากเราให้ขึ้นบ้านไป
เวลาล่วงเลยไปจนมาถึงตอนดึก ตอนนั้นเป็นเวลาสามทุ่มกว่าเกือบสี่ทุ่มแล้ว ทุกคนในบ้านเริ่มทยอยหลับกันหมดเหลือแต่เราที่ยังคงนั่งอ่านหนังสือการ์ตูน ระหว่างที่กำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูน
จู่ ๆก็รู้สึกปวดปัสสาวะขึ้นมา เราวางหนังสือลงกับที่นอนแล้วมุดออกจากมุ้งก่อนจะค่อยๆปีนลงจากที่นอนและเดินไปเปิดประตูอย่างเบามือที่สุดเพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่นที่กำลังนอนอยู่
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีเราก็เดินตรงไปยังประตูหลังบ้านค่อยๆเปิดแง้มประตูให้เบาที่สุดเพื่อออกไปยังห้องน้ำที่อยู่หลังบ้าน
เมื่อออกมาจากตัวบ้านสายตาเรากวาดมองรอบๆพบว่าบรรยากาศในตอนกลางคืนมันเงียบสงบและมืดมาก มีแค่เพียงไฟสลัวติดๆดับๆดวงเดียวที่ติดอยู่หลังบ้านเท่านั้นที่คอยให้ความสว่าง
บอกตามตรงว่าตอนนั้นเราคิดจะวิ่งกลับเข้าไปแล้วเรียกพ่อให้มาอยู่เป็นเพื่อนแล้วด้วยซ้ำแต่ด้วยความที่ตอนนั้นเราปวดฉี่มากแทบจะอั้นไว้ไม่อยู่แล้วเลยตัดสินใจรีบเดินเข้าห้องน้ำเพื่อที่จะได้ทำกิจให้มันเสร็จๆแล้วเข้านอน
พอเดินมาถึงห้องน้ำเราก็ค่อยๆเปิดอย่างเบามือที่สุด เนื่องจากตัวประตูเป็นสังกะสีเลยกลัวว่าถ้าเปิดดังแล้วคนในบ้านจะตื่นเอาได้ เราทำกิจอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเสร็จสรรพก็ราดน้ำตัดการตัวเองก่อนจะเดินไปเปิดประตูแต่จู่ ๆก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังลอดเข้ามา
มันเป็นเสียงของไก่ที่กำลังร้องโหยหวนเหมือนราวกับว่ามันกำลังจะโดนเชือดอย่างไงอย่างนั้นเลย ในตอนนั้นด้วยความกลัวมากเลยจะรีบไปเปิดประตูเพื่อที่จะเข้าบ้านแต่จู่ ๆก็ต้องชะงักลงเมื่อหางตาดันไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า
แสงไฟสีแดงกระพริบวูบวาบที่อยู่ไม่ไกลห่างลอดผ่านช่องด้านบนของห้องน้ำก่อนจะค่อยๆเคลื่อนตัวซ้ายขวาอย่างไม่หยุดนิ่ง ด้วยความกลัวบวกกับความขี้สงสัยเราเลือกที่จะถอยจากประตูก่อนจะปีนขึ้นไปบนโถส้วมสอดส่องผ่านช่องลมของห้องน้ำเพื่อดูว่าแสงไฟสีแดงนั่นมันคืออะไรกันแน่
ไฟสีแดงนั่นมันอยู่ไม่ไกลจากห้องน้ำมากนักแต่ด้วยความมืดและเหมือนไฟนั่นมันอยู่ในป่าเลยทำให้เราไม่สามารถเห็นรายละเอียดมันได้ เราพยายามหรี่ตาเพ่งมองมันอยู่นานสองนานไฟสีแดงนั่นก็เริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง
มันค่อยๆลอยเข้ามาใกล้เรื่อย ๆจนเห็นใบหน้าของใครบางคนได้อย่างชัดเจน ใบหน้าของหญิงชราผมยาวฟูฟ่องปากเต็มไปด้วยคราบสีแดงที่เหมือนเลือดและที่น่าตกใจไปกว่านั้น เธอมีแค่หัวกับไส้เนี่ยสิ!!!
ณ วินาทีนั้นเราช็อคมากจนทำอะไรไม่ถูกเลย เรารับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นมันไม่ใช่คนแน่ ๆ แต่มันเป็นกระสือ! พอรู้ว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไรน้ำตาก็ไหลออกมาเป็นสายพร้อมกับร่างกายที่สั่นกลัวไปหมด แต่ถึงแบบนั้นเราก็พยายามตั้งสติให้ได้เพราะเราก็ไม่อยากโดนกินเหมือนไก่พวกนั้นหรอก
พอเริ่มได้สติเราก็หดหัวลงมาก่อนจะมองหาที่ซ่อนเพราะถ้าออกจากห้องน้ำตอนนี้ยังไงก็โดนเจอแน่ ๆ สายตาเหลือบไปเห็นโอ่งใส่น้ำที่อยู่ข้างๆก่อนจะเห็นว่าด้านหลังโอ่งนั่นพอจะมีที่ให้ลงไปซ่อนได้บ้าง เราไม่รีรอรีบมุดลงไปซ่อนตัวยังพื้นที่ว่างด้านหลังโอ่งทันทีโดยไม่ลืมที่จะหยิบฝาโอ่งมาปิดด้านบนเพื่อบังตัวเอาไว้ด้วย
เสียงหวีดร้องใกล้เข้ามาเรื่อยพร้อมกับแสงไฟสีแดงจากนั่นจนมันก็มาหยุดนิ่งอยู่ที่ข้างห้องน้ำ เราเหลือบตามองผ่านช่องว่างระหว่างตัวโอ่งพบว่าเจ้ากระสือตนนั้นมันกำลังมองลอดผ่านช่องลมมาที่ด้านใน สายตาของมันกวาดมองไปทั่วพร้อมกับเปล่งเสียงร้องกวีดออกมาเรื่อย ๆ ในตอนนั้นเรากลัวจนสติแทบไม่เหลือแล้ว
เสียงหวีดร้องยังคงดังต่อเนื่องและเหมือนมันจะใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เรานั่งขดตัวซุกหน้ากับเข่าพยายามกลั้นเสียงร้องไห้ไม่ให้เล็ดลอดออกไปเลยแม้แต่น้อยพลางยกมือปิดหูแน่นเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงนั้น แสงไฟสีแดงยังคงลอดผ่านช่องลมให้เห็นอยู่เป็นระยะจนในที่สุดแสงนั้นก็หายไป
เราที่ซุกหน้ากับเข้าเมื่อเห็นว่าแสงไฟสีแดงนั่นหายไปแล้วตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมาสอดส่องสายตาผ่านช่องที่ซ่อนตัวมองไปรอบๆเหมือนว่ากระสือตัวนั้นจะออกห่างไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้ลุกไปไหนด้วยความกลัวเราเลยตัดสินใจนั่งอยู่ที่ตรงนั้นทั้งคืน
รู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้วไม่รู้ว่าหลับไปเมื่อไหร่ เสียงตะโกนเรียกหาจากด้านนอกทำให้เราตื่น เราเงยหน้าก่อนจะลุกออกจากที่ซ่อนเปิดประตูออกจากห้องน้ำพบว่าเป็นแม่ เรารีบวิ่งไปกอดก่อนจะร้องไห้ออกมา แม่อุ้มเราเข้าบ้านก่อนเราจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง
พอเล่าจบทุกคนต่างทำสีหน้าตกใจเหมือนจะไม่เชื่อ ต่างจากย่าที่มีสีหน้านิ่งเรียบเหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะมีเหตุการณ์นี้ขึ้น ย่าเดินตรงมาหาเราที่นั่งอยู่บนตักของแม่ยกมือลูบหัวก่อนจะใส่สร้อยพระไว้ที่คอเรา
“ใส่สร้อยพระนี้ไว้ มันจะได้ทำอะไรเราไม่ได้”
เรามองสร้อยพระที่อยู่ในคอพลางสะอื้นน้ำตาก่อนจะพยักหน้า ณ เวลานั้นเราไม่รู้ต้องทำยังไงต่อนอกจากเชื่อในสิ่งที่ย่าพูดและใช้ชีวิตตามปกติ
ผ่านมาสองวันเรายังคงอยู่บ้านย่าต่อ แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นเราก็ไม่ออกจากบ้านด้วยตัวคนเดียวอีกเลย ในวันนั้นช่วงเช้าเป็นวันพระเรากับครอบครัวพากันไปทำบุญที่วัดจากนั้นก็กลับมาที่บ้าน ในวันนั้นเราใช้ชีวิตตามปกติเหมือนว่าไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้นจนกระทั่งตกดึก
ในคืนนั้นตอนช่วงเวลาสามทุ่มกว่าเรานั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ในห้องนอน ระหว่างนั้นจู่ ๆเราก็ได้ยินเสียงกุกกักๆจากนอกหน้าต่าง ในตอนแรกเราก็กลัวนะแต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากกว่าเลยตัดสินใจชะเง้อหน้าออกไปดู
ทันทีที่เราโผล่หัวพ้นออกจากหน้าต่างทันใดนั้นเองกระสือหญิงชราก็โผล่มาตรงหน้าทันที เราตกใจสุดขีดรีบรุดถอยหลังหมายจะวิ่งออกจากห้องแต่ก็ถูกกระสือตนนั้นใช้ไส้รั้งขาเราเอาไว้ ตอนนั้นเรากลัวมากร้องไห้กรีดร้องจนสุดเสียงแต่ไม่ว่าจะร้องดังขนาดไหนก็ไม่มีใครได้ยินเลย จนสุดท้ายเราก็ถูกกระสือตนนั้นดึงออกจากหน้าต่างไป
“กรี๊ด!!!!”
ลำตัวถูกลากไปตามพื้นพยายามใช้มือตะเกียกตะกายหาที่ยึดแต่ด้วยแรงอันน้อยนิดทำให้เราไม่สามารถยึดจับอะไรได้เลย เราถูกลากจนมาหยุดในที่ที่หนึ่ง
เงยมองรอบๆมันเป็นเหมือนกระท่อมไม้ที่อยู่ในป่า กระสือยายแก่ลอยอยู่รอบๆตัวพร้อมกับเสียงหวีดร้องที่ดังมาเป็นระยะ เราร้องไห้สั่นกลัวพร้อมกรีดร้อง
“ฮือ!!!!! ปล่อยหนู!!!!”
แต่พอยิ่งเราร้องกระสือตนนั้นก็ยิ่งหวีดร้องดังขึ้น มันลอยเข้ามาใกล้จนใบหน้าเกือบชิดพร้อมกับใช้ลิ้นที่ยาวเหยียดเลียที่ใบหน้าของเราอย่างช้าๆก่อนที่มันจะกรีดร้องจนสุดเสียง
“กรี๊ด!!!!”
ในตอนนั้นเราคิดว่าต้องตายแน่ ๆจึงเลือกที่จะหลับตาปี๋เพื่อรับชะตากรรม
ปัง!!
“กรี๊ด!!!!”
เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องของผีกระสือตรงหน้าก่อนจะมีเสียงของคนหลายคนดังขึ้นมาทำให้เราลืมตามอง
“ฉันว่าแล้วต้องเป็นแก ยายแสน”
ชายวัยกลางคนในชุดสีขาวที่เหมือนกับหมอผีพร้อมกับลูกน้องอีกสองสามคนหนึ่งในนั้นวิ่งเข้ามาอุ้มเราออกมาจากที่ตรงนั้น
“อยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องใส่ตัวนัก งั้นก็ตายมันซะตรงนี้เลยละกัน!!!”
เมื่อหมอผีพูดจบเขาก็จัดการหยิบปืนลูกซองขึ้นมาเอ่ยคาถาก่อนจะลั่นไก่ยิงเข้าขั้วหัวใจของกระสือตนนั้นทันที กระสือยายแสนกรีดร้องพร้อมกับดิ้นด้วยความเจ็บปวดก่อนจะร่วงลงสู่พื้นดินและแน่นิ่งไป
เมื่อเห็นว่ากระสือยายแสนแน่นิ่งแล้วหมอผีทำการเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะก้มลงเอาสายศิลป์พันไว้พร้อมกับร่ายคาถาอาคมเพื่อป้องกันไม่ให้กระสือยายแสนลุกขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะหันมาสั่งลูกน้องว่า
“มึงสองคนไปกับกู ส่วนมึงดูเด็กไว้”
หมอผีสั่งการเสร็จก็เดินนำขึ้นกระท่อมไป พวกเขาหายไปอยู่ครู่ก่อนจะออกมาพร้อมกับร่างของใครบางคนที่ดูคุ้นเคย ทันทีที่ลูกน้องหมอผีวางร่างนั้นลงกับพื้นเราถึงกับร้องไห้ออกมาอีกรอบเพราะร่างนั้นไร้ศรีษะตามตัวเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด
เราที่เห็นแบบนั้นถึงกับร้องไห้ออกมาอีกครั้งก่อนจะยกมือขึ้นปิดตาเพื่อไม่ให้เห็นมันอีก แต่ถึงแบบนั้นจนถึงวันนี้ภาพนั้นก็ยังติดตาเราไม่หายเลย
หมอผีเริ่มทำพิธีนำร่างและศรีษะลงไปในหลุมที่ได้ขุดเอาไว้ ก่อนจะหยิบมีดหมอขึ้นมาสวดคาถาและแทงมันลงไปที่กลางหัวใจของยายแสน จู่ ๆก็มีลมพัดแรงที่มาพร้อมกับเสียงหมาหอนดังกระหึ่มไปทั่วป่า ทันใดนั้นเองกระสือยายแสนก็ลุกฮือขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับกรีดร้องด้วยเสียงที่น่ากลัวกว่าเดิม
“กรี๊ด!!!!!!!”
กระสือยายแสนพุ่งเข้าใส่พวกของหมอผีอย่างรวดเร็วทำให้ลูกน้องของเขาล้มกันระเนระนาด ในจังหวะที่เรายืนตัวสั่นทันใดนั้นเองกระสือยายแสนก็พุ่งเข้ามาใช้ไส้จับขาเราลอยขึ้นเหนือพื้นดินทันที เรากรีดร้องจนสุดเสียงด้วยความกลัวพยายามดิ้นให้หลุดออกจากการจับกุมแต่ไม่ว่าจะดิ้นสักเท่าไหร่มันก็เหมือนจะรัดกว่าเดิมขึ้นทุกที
“ฤทธิ์เยอะนักนะมึง!!”
หมอผีตะโกนต่อว่ากระสือยายแสนที่ยังคงแผงฤทธิ์อย่างต่อเนื่องก่อนที่เขาจะหยิบมีดขึ้นมาร่ายคาถาและจัดการปามีดเข้าปักลงตรงกลางหัวใจของยายแสนทันที ในช่วงจังหวะที่ยายแสนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดนั้นก็ทำให้เราถูกเหวี่ยงลงพื้นก่อนจะกลิ้งหลุน ๆไปกระแทกกับต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ
“อ๊ากกกกก!!”
แสงไฟสีแดงที่หัวใจของยายแสนค่อยหรี่ลงเรื่อยจนดับลงพร้อมกับศรีษะที่ค่อยๆร่วงสู่พื้นอย่างช้าไม่นานนักไฟสีแดงที่เคยกระพริบอยู่ก็ดับไปพร้อมกับยายแสนที่มีเพียงหัวกับไส้ก็แน่นิ่งลง
“จบกันเสียที”
หมอผีเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินมาหยิบศรีษะของยายแสนเอาไปวางไว้ในหลุมที่มี่ร่างของเธออยู่ เราถูกพยุงขึ้นจากพื้นโดยหนึ่งในลูกน้องของหมอผีก่อนจะเดินกระเผลกไปยังตรงที่ทำพิธี หมอพิธีจัดการร่ายคาถาก่อนจะโรยอะไรบางอย่างทั่วร่างก่อนจะฝังศพเป็นอันเสร็จพิธี
หลังจากทำพิธีเสร็จสรรพหมอผีก็พาเรามาส่งยังที่บ้าน ทันทีที่เจอกับครอบครัวทุกคนต่างตื่นตกใจพร้อมกับถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น หมอผีเป็นคนเล่าเรื่องทุกอย่างให้ครอบครัวของเราฟังก่อนจะมอบสายศิลป์และตระกรุดอันหนึ่งไว้ให้เรา
“สายศิลป์กับตระกรุดที่ข้าให้ไว้เอ็งห้ามถอดมันเด็ดขาด เพราะมันจะช่วยปัดเป่าสิ่งช่วยร้ายไม่ให้มารุกราน”
ในตอนนั้นเราก็ไม่เชื่อหรอกคงเพราะยังเด็กมากด้วยแต่เพราะความกลัวจากเหตุการณ์ที่พึ่งเจอมาหมาดๆเลยทำให้เราไม่กล้าถอดสายศิลป์กับตระกรุดออกจนถึงปัจจุบัน
หลังจากวันนั้นเหตุการณ์ในหมู่บ้านก็กลับมาสงบสุขอีกครั้งและเรื่องราวของกระสือยายแสนก็กลายเป็นตำนานมาจนจวบทุกวันนี้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา