8 ก.ค. 2022 เวลา 01:37 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ใคร ๆ ก็บอกว่า ‘หุ้นเวียดนาม’ ในเวลานี้คือดาวเด่นของกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากจีนคลายล็อกดาวน์ด้วยแล้ว
‘จีนเกี่ยวข้องกับเวียดนามอย่างไร’ ทำไมเมื่อจีนคลายล็อกดาวน์ เศรษฐกิจเวียดนามถึงเติบโตได้ ?
1
ย้อนดู ‘ตัวเลขสถิติการส่งออก’ ของเวียดนามในปี 2563 ที่ผ่านมาจะพบว่า ‘จีน’ ยังคงเป็นผู้นําเข้าสินค้าเวียดนามรายใหญ่ รองจากสหรัฐอเมริกา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เวียดนามเป็นผู้ส่งออกสินค้าให้กับประเทศจีน
ซึ่งหากดูตัวเลขจะพบว่า การส่งออกในปีที่ผ่านมามีมูลค่ามากถึง 48,905 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 18.0
ในส่วนของ ‘ตัวเลขการนำเข้า’ ตลาดนําเข้าหลักของเวียดนามในปี 2563 ส่วนใหญ่นั้นมาจากประเทศจีน ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 84,186 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
(ข้อมูลจาก : รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ สคต.ฮานอย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์)
และยังมีตัวเลขของ ‘กลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวประเทศเวียดนาม’ ก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาดของโควิด19 นั้น ประเทศเวียดนามได้ติด 6 ใน 10 อันดับของจุดหมายปลายทางที่มีการเติบโตของการท่องเที่ยวสูงที่สุดในโลก
หากดูเจาะลึกลงไปอีกจะพบว่า ตัวเลขการท่องเที่ยวของเวียดนามในปี 2561 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ประมาณ 15.49 ล้านคน ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากทวีปเอเชียประมาณ 12 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 23.7 ของทั้งหมด และส่วนใหญ่มาจากประเทศจีนซึ่งอยู่ราว ๆ 4.9 ล้านคน
(ข้อมูลจาก : สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงฮานอย ในปี 2562)
นอกจากนี้ ยังมีตัวเลขของนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2562 พบว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นั้นมาจากประเทศจีน ซึ่งมีตัวเลขที่โดดสูงกว่าประเทศอื่นอยู่ที่ราว ๆ 5.8 ล้านคน ส่วนประเทศที่รองลงมาก็คือประเทศเกาหลีใต้ อยู่ที่ประมาณ 4.3 ล้านคน
(ข้อมูลจาก : Vietnam tourism department)
ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ทำให้เห็นชัดแล้วว่า เวียดนามและจีน มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในเรื่องของการนำเข้า-ส่งออกสินค้า รวมไปถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอีกด้วย
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่โรคระบาดอย่างโควิด19 นั้นได้ส่งผลกระทบต่อจีนในเวลานี้
และทำให้จีนเลือกที่จะออกนโยบาย “Zero-COVID” หรือโควิดเป็นศูนย์ เพื่อรับมือกับสถานการณ์การระบาดของโรคที่รุนแรงขึ้น
1
ซึ่งนั่นส่งผลให้จีนล็อกดาวน์ และทำการปิดประเทศอีกครั้ง เมื่อคนนอกเข้าไปไม่ได้ คนในก็ออกมาไม่ได้เช่นกัน จึงทำให้ตัวเลขทั้งภาคการท่องเที่ยว และภาคการนำเข้า-ส่งออกของประเทศเวียดนามได้ลดลงไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันจีนได้มีการคลายล็อกดาวน์ในหลาย ๆ เมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความว่า โอกาสที่เศรษฐกิจเวียดนามจะกลับมาเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดนั้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเลยก็ว่าได้
➰ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เวียดนามจะได้รับผลกระทบจากจีนเป็นอย่างมาก แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความน่าสนใจของประเทศเวียดนามลดน้อยลงเลย เพราะหุ้นของกลุ่มประเทศเวียดนาม ก็ยังคงสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างดี จากปัจจัยในด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น
  • ความได้เปรียบทางโครงสร้างประชากร
ข้อมูลล่าสุดจาก worldbank ระบุไว้ว่า ในปี 2563 จำนวนประชากรของเวียดนาม มีอยู่ทั้งสิ้น 97.38 ล้านคน โดยส่วนมากจะอยู่ในช่วงอายุ 25-35 ปี ซึ่งนับว่าเป็นช่วงอายุที่มีความสามารถ มีทักษะฝีมือ และมีกำลังในการทำงาน ส่งผลให้เวียดนามมีแรงงานคุณภาพที่ค่อนข้างเยอะ
อีกหนึ่งความได้เปรียบคือ คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัว (GDP Per Capita) เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประชากรมีกำลังในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่มากขึ้นอีกด้วย ซึ่งจุดนี้เองที่จะเป็นตัวช่วยผลักดันเศรษฐกิจเวียดนามได้เป็นอย่างดี และสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้มากขึ้น
(ข้อมูลจาก : สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) หรือสพพ.)
  • มาตรการการปราบปรามที่เข้มงวดขึ้น
เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2565 ข้อมูลจากสำนักข่าว Reuters ได้เผยว่า ตำรวจเวียดนามได้มีการเข้าจับกุมบริษัท และนักธุรกิจหลายรายที่กระทำความผิด ภายใต้ข้อกล่าวหาการฉ้อโกง การยักยอกตลาด และการยักยอกทรัพย์ ซึ่งรวมทั้งสิ้นได้มีการกวาดล้างหุ้นเวียดนามมูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
เหตุการณ์ในครั้งนี้ ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความรู้สึกสั่นคลอนต่อความเชื่อมั่นในระยะสั้น แต่หากมองในระยะยาวแล้วนั้น การที่เวียดนามได้มีการยกระดับมาตรการการปราบปรามที่เข้มงวดนี้ จะทำให้ตลาดมีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
  • อนาคตเวียดนามอาจเป็นฐานการผลิตรายใหญ่แห่งใหม่ในอาเซียน
ที่ผ่านมาหลายคนอาจรู้จักจีนในฐานะโรงงานการผลิตขนาดใหญ่ และมีแรงงานที่มีราคาค่อนข้างต่ำ แต่ล่าสุด จากเหตุการณ์ที่จีนได้มีการล็อกดาวน์ ส่งผลให้ ฐานการผลิตบริษัทแห่งใหญ่อย่าง Apple ผู้ผลิต iPad และ AirPods ที่ก่อนหน้านี้ได้ก่อตั้งอยู่ที่ประเทศจีน ปัจจุบันก็ได้ตัดสินใจย้ายฐานการผลิตมาไว้ที่เวียดนามเป็นที่เรียบร้อย และในส่วนของ iPad น่าจะพร้อมเริ่มการผลิตในเร็ว ๆ นี้
(ข้อมูลจาก : สำนักข่าว Nikkei Asia เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565)
การย้ายฐานการผลิตในครั้งนี้ ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจของเวียดนามที่ดีขึ้น ซึ่งในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple ที่เข้ามาสร้างฐานการผลิตที่เวียดนามเท่านั้น แต่ยังมีแบรนด์ดังหลายแบรนด์ อย่าง Samsung, LEGO, Pandora, Nike และ Coca-Cola ซึ่งกลุ่มบริษัทเหล่านี้ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับหลายประเทศอีกด้วย
1
➰ จากทั้งหมดที่กล่าวมา เรียกได้ว่า ‘เวียดนาม’
เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีความน่าสนใจในหลายแง่มุม
อย่างไรก็ตาม จีน ยังถือเป็น ประเทศหลัก ๆ ที่สำคัญกับเวียดนาม หากจีนเปิดประเทศอีกครั้ง ก็จะทำให้ตัวเลขการนำเข้า-ส่งออก รวมถึงการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้เศรษฐกิจเวียดนามฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
1
จากตรงนี้ KTAM มองเห็นถึงโอกาสการลงทุนในประเทศเวียดนาม จึงได้ออกกองทุนที่มีชื่อว่า KT-VIETNAM นี้ออกมา ทั้งชนิดสะสมทรัพย์ และชนิด SSF สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยเสนอขายครั้งแรก ในวันที่ 4-12 กรกฎาคม 2565 ซึ่งทั้ง 2 กองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในบริษัทเวียดนาม และ/หรือ บริษัทที่มีธุรกิจหลักหรือมีรายได้หลักจากเวียดนาม และ/หรือ บริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเวียดนาม โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
  • กองทุนนี้จะเน้นการลงทุนแบบเชิงรุก สร้างผลตอบแทนเหนือตลาด
  • ใช้ธีมการลงทุนที่ผสมผสานทั้งรูปแบบ Top-down และ Bottom-up
  • คัดเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคง และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะปานกลาง และระยะยาว
📍 หากใครที่สนใจลงทุนกับกลุ่มประเทศเวียดนาม ผ่านกองทุน KT-VIETNAM-A สามารถศึกษาข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ http://bitly.ws/swFD
และ KT-VIETNAM-SSF ได้ที่ http://bitly.ws/swFH
KTAM Smart Trade เปิดบัญชีกองทุนออนไลน์ได้แล้ววันนี้ ง่าย สะดวก ปลอดภัย รวดเร็ว คลิก
☎ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ผู้สนับสนุนการขาย หรือ บลจ.กรุงไทย โทร 𝟎𝟐-𝟔𝟖𝟔-𝟔𝟏𝟎𝟎 กด 𝟗
คำเตือน:
กองทุนนี้มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน/ในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุน หรืออาจจะได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนเพื่อการออม และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ หากลงทุนไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด อาจจะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเสียเงินเพิ่ม
References:
โฆษณา