Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
นายจอมโม้
•
ติดตาม
9 ก.ค. 2022 เวลา 08:00 • ประวัติศาสตร์
เรื่อง : การหายตัวไปอย่างปริศนาของเด็กๆครอบครัว Sodder
1
Part 1 : เริ่มเรื่อง
วันที่ 24 ธันวาคม ปี 1945 ก่อนวันคริสมาสต์เพียง 1 วัน ชาวเมือง Fayetteville รัฐ West Virginia สหรัฐอเมเริกา ต่างกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวฉลองคริสมาต์มาสอีฟกับครอบครับ เมือง Fayetteville เป็นสถานที่ซึ่งมีผู้อพยพชาวอิตาลีจำนวนมากอาศัยอยู่ หัวหน้าครอบครัวหนึ่งในเมืองเล็กๆแห่งนี้มีชื่อว่า George Sodder เขาเกิดที่อิตาลีในปี 1895 ก่อนจะอพยพมาอยู่อเมริกาเมื่ออายุได้ 13 ปี โดยทำงานบนทางรถไฟที่ Pennsylvania อยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะย้ายมาที่ West Virginia พร้อมทั้งเปิดบริษัทขนส่งเป็นของตัวเอง
ภายหลังเขาก็ได้พบรักกับหญิงสาวชาวอิตาลีคนหนึ่งชื่อว่า Jennie Sodder ซึ่งเป็นลูกสาวของเจ้าของร้านสะดวกซื้อภายในเมือง โดยเธอย้ายตามพ่อแม่มาที่อเมริกา ตั้งแต่เธออายุได้ 3 ขวบ George และ Jennie แต่งงานกันในปี 1923 และสร้างครอบครัวที่อบอุ่นด้วยกัน จนกระทั้งในปี 1945 พวกเขาทั้งคู่ก็มีลูกด้วยกันถึง 10 คน
Jennie Sodder และ George Sodder
พี่น้องตระกูล Sodder
คืนคริสต์มาสอีฟ ปี 1945 Joe ซึ่งเป็นลูกชายคนที่ 2 ได้ออกไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 กับกองทัพสหรัฐ หลังจากที่สงครามสิ้นสุดลง ทางครอบครัวก็กำลังจะได้กัลมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง แต่ทว่าในคืนนี้เอง ครอบครัว Sodder กลับต้องพบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
Part 2 : วันเกิดเหตุ
ในคืนวันนั้นหลังจากมื้อค่ำ ทั้งครอบครัวต่างคุยเล่นกันสนุกสนานในห้องรับแขกบริเวณชั้น 1 ของบ้าน George ผู้ลูกวัย 16 ปี และ John ลูกชายคนโตวัย 22 ปี ที่ทำงานอย่างเหน็จเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน ก็กลับไปที่ห้องนอนของคนตั้งแต่หัวค่ำ ส่วน Mary Anne ซึ่งเป็นลูกสาวคนโตได้ซื้อของเล่นจากร้านในเมืองมาให้น้องๆ จากนั้นเวลาล่วงเลยมาถึง 4 ทุ่มตรง เด็ก 5 คนซึ่งประกอบไปด้วย Martha Jennie Betty Maurice และ Louis ต่างเล่นสนุกอยู่กับของเล่นชิ้นใหม่จนลืมง่วง
Jennie ผู้เป็นแม่ก็ไม่ได้บังคับให้พวกเขาเข้านอน เพราะถือว่าเป็นวันหยุด จึงอณุญาติให้ลูกๆของเธอเล่นกันจึงดึกดื่นได้ แต่เธอก็ได้กำชับ Maurice และ Louis ว่าก่อนเข้านอนให้ช่วยล็อคเล้าไก่และคอกวัวให้แน่นหนา จากนั้นเธอก็อุ้ม Sylvia ลูกสาววัย 2 ขวบขั้นไปนอนบนห้องขั้น 2
บ้านของครอบครัว Sodder
ในเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น Jennie ผู้เป็นแม่ ก็ได้ตื่นแล้วเดินลงมารับสาย แต่ในสายกลับเป็นเสียผู้หญิงที่ไม่คุ้นเคย เหมือนกำลังเมาอยู่ อีกทั้งเธอยังขอสายคนที่ Jennie ไม่รู้จัก เธอจึงคิดว่าน่าจะเป็นโทรผิด จึงได้ว่าสายไปแล้วไม่ได้เอามาใส่ใจอะไร โดยก่อนเธอเดืนกลับขึ้นไปชั้นบน เธอพบว่าหน้าต่างในห้องรับแขกชั้นหนึ่งยังคงเปิดอยู่ และเห็น Mary Anne ลูกสาวคนโตกำลังหลับอยู่บนโซฟา Jannie จึงเดินเข้าไปห่มผ้าให้กับเธอ ก่อนจะขึ้นไปนอนต่อ
1
ผ่านไประยะหนึ่ง ระหว่างที่ Jannie กำลังนอนหลับเธอก็ต้องสะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียง “ปัง” เธอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างหล่นลงมาบนหลังคา แต่หลังจากเสียงนั้นทกอย่างก็คงยังเงียบสนิท Jannie จึงนอนต่อตามปรกติ ต่อมาผ่านไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง Jannie ก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยกลิ่นเหม็นไหม้แสบจมูก เธอจึงรับลุกไปเปิดประตู และภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เธอตกตะลึงแทบช็อค เพราะทั่วทั้งบ้านกำลังท่วมไปด้วยเปลวเพลิง รวมถึงมีควันและฝุ่นหนาเต็มทางเดิน
1
เธอรีบปลุกสามี และลูกๆที่หลับอยู่ที่ชั้น 1 ทั้ง Mary Anne, John และ George โดยพวกเขาเหล่านี้รวม Sylvia ลูกสาววัย 2 สามารถหนีออกมาจากบ้านได้ก่อน แต่บนชั้น 2 ยังมีลูกๆอีก 5 คนที่กำลังตกอยู่ในวงล้อมของเปลวเพลิง George และ Jannie อยากจะกลับเข้าไปช่วยลูกๆที่เหลือของเขา แต่ทางเดินที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงและควันหนาฟุ้ง Jannie ได้ลองพยายามใช้โทรศํพท์ที่อยู่ตรงชั้น 1 โทรแจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัย แต่กลับโทรไม่ติด
เมื่อหมดหนทางขอความช่วยเหลือ พวกเขาจึงคิดใช้บันไดที่อยู่ด้านนอก แต่แปลกตรงที่บันไดที่เคยว่าอยู่จุดเดิมทุกวัน วันนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย George ลูกชายวัย 16 ปีต้องการที่จะปีนไปขึ้นไปด้วยมือเปล่าและมันก็ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บที่แขน พวกเขาจึงคิดที่จะเอารถบรรทุกของครอบครัวที่มีอยู่มาจอดเทียบข้างกำแพงบ้านแล้วปีนขึ้นไป แต่รถบรรทุกที่มีกลับสตาร์ทไม่ติดอย่างน่าแปลกใจ ทั้งๆที่ในเวลากลางวัน George ก็ยังขับมันได้ตามปรกติ
เปลวเพลิงนั้นลุกลามอย่างต่อเนื่อง ครอบครัว Sodder ร้อนใจเป็นอย่างมาก ในตอนนั้นเองลูกชาย 2 คนก็บุกไปที่บ้านของเพื่อนบ้านเพื่อขอยืมโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัย แต่เนื่องจากผลกระทบของสงครามเจ้าหน้าที่หลายคนได้ไปร่วมรบ ส่วนที่เหลืออยู่ก็เป็นเพียงอาสาสมัคร อีกทั้งในคืนนั้นคนที่เข้าเวรก็ไม่มีใครสามารถขับรถดับเพลิงได้ ครอบครัว Sodder ที่หมดหวัง ได้แต่ยืนมองเปลวเพลิงที่กำลังกลืนกินบ้านของพวกเขาทั้งหลัง
บ้านของครอบครัว Sodder หลังจากถูกไฟไหม้
Part 3 : เริ่มการสืบสวน
เวลา 8 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่กู้ภัยก็มาถึง บ้านก็ได้ถูกเปลวไฟเผาไหม้เสียหายไปแล้วทั้งหลัง คนที่ยังรอดชีวิตต่างเต็มไปด้วยความรุ้สึกเศร้าเสียใจ และจากการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ก็ได้พบสิ่งที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ตำรวจได้เข้าไปตรวจสอบบ้านอย่างละเอียด แต่กลับไม่พบศพของผู้เสียชีวิตเลยแม้แต่ศพเดียว ไม่มีแม้กระทั้งกระดูก หรือเศษชิ้นส่วนใดๆให้เห็น ทำให้ในตอนแรกตำรวจคิดว่า อาจเป็นเพราอุณหภูมิที่สูงมาก ได้เผาร่างของผู้เคราะห์ร้ายให้เหลือเพียงเถ้าถ่าน
George ผู้พ่อจึงได้โทรไปปรึกษาฌาปนสถานในเมือง ผู้เชี่ยวชาญจึงบอกว่าการที่จะฌาปนกิจศพ ต้องในอุณหภูมิสูงถึง 1,800F และต้องใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมง แต่เหตุเพลิงไหม้ทั่วไป จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 1,100F เท่านั้น นอกจากนี้ทางสามีภรรยา Sodder ยังพบว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านบางส่วนไม่ได้ถูกไฟ้ไหม้จนหมด พวกเขาจึงไม่เชื่อว่าลูกจะถูกเผาจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน
Jennie,Martha ,Maurice,Betty, และ Louis
วันที่ 30 ธันวาคม 5 วันหลังเกิดเหตุ ทางการได้ออกใบมรณบัตรให้เด็กๆทั้ง 5 คน และ 3 วันหลังจากนั้นครอบครัว Sodder ก็ได้สร้างสวนดอกไม้เพื่อเป็นอนุสรณ์ พร้อมทั้งจัดงานศพให้ลูกๆทั้ง 5 คน และจากการตรวจสอบหาสาเหตุ ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้สรุปว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร และสายไฟที่เก่าจนชำรุด แต่ทาง Jennie นั้นรู้สึกแปลกใจกับการสรุปนี้มาก เพราะเธอจำได้ว่าตอนที่เกิดเพลิงไหม้แล้วเธอลงมาปลุกลูกๆที่ชั้นล่าง ในขณะนั้นไฟที่ต้นคริสต์มาสยังติดตามปรกติ นั้นหมายความว่าเหตุไม่น่าจะมาจากไฟฟ้าลัดวงจร
ต่อมาอีกไม่กี่วัน บันไดที่เคยหายไปก็ถูกพบห่างไปจากบ้านที่ถูกไฟไหม้เพียง 20 เมตร และหลังจากนั้นหลายเดือน Sylvia ลูกสาววัย 2 ก็พบลูกบอลสีเขียวในกองหิมะที่กำลังละลาย George ผู้พ่อคิดว่าลูกบอลนี้อาจเป็นวัตถุระเบิดบางอย่าง ซึ่งเมื่อ Jennie เห็นลูกบอลสีเขียวนี้เธอก็นึกขึ้นได้ทันทีว่า ในคืนเกิดเหตุเธอได้ยินเสียงดังเมือนมีของตกลงบนหลังคา
โดยภายหลังก็มีคนขับรถประจำทางภายในเมืองเล่าตรงกันว่า ขณะที่เขากำลังคำรถในคืนคริสต์มาสอีฟผ่านบ้านของครอบครัว Sodder เขามองเห้นยลูกไฟดวงกลมๆตกลงใส่บ้านของพวกเขา นอกจากนี้บริษัทโทรศัพท์ของเมืองยังบอกกับครอบครัว Sodder ด้วยว่าคืนเกิดเหตุ โทรศัพท์ของพวกเขานั้นถูกตัด
ทุกสิ่งทุกอย่างต่างชี้ให้เห็นว่า เพลิงไหม้ครั้งนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ ผู้หญิงคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเมืองยังเล่าอีกว่า ก่อนและหลังเกิดเหตุไฟไหม้ เธอเห็นรถคันหนึ่งขับผ่านบ้านของ Sodder และยังเห็นลูกๆ 5 คนของเขาโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างรถ
ซึ่งก่อนเกิดเหตุเพลิงไหม้ไม่กี่วัน มีพนักงานขายประกันคนหนึ่งมาขายประกันที่บ้านของ Sodder และไม่เพียงที่ 2 สามีภรรยา Sodder จะปฏิเสธไป แต่ยังใส่อารมร์กับพนังงานคนดังกล่าวด้วย ทำให้พนังานคนนั้นพูดด้วยความโมโหว่า “บ้านของพวกคุณตะพินาศไม่ช้าก็เร็ว” โดยหลังเกิดเหตุศาลได้ตัดสินว่าเพลิงไหม้ครั้งนี้เป็นอุบัติ้เหตุ และที่น่าแปลกใจคือพนักงานขายประกันคนดังกล่าวก็เป็น 1 ในคณะลูกขุนด้วย
George Sodder ในวัย 13 ปี อพยพมาจากอิตาลีมายังอเมริกา ในตอนนั้นเขาเคยวิพากวิจารณ์เผด็จการมุสโสลินีของอิตาลีอย่างเปิดเผย ซึ่งผู้คนในเมือง Fayetteville ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพชาวอิตาลี ที่ยังคงมีความรักชาติและเคารพผู้นำของพวกเขาเสมอ ส่งผลให้ George ไม่ค่อยลงรอยกับชาวเมืองคนอื่นๆ และมักมีปากเสียงกับคนจำนวนมาก ทำให้มีการคาดเดาในทำนองว่าเหตุการณ์ครั้งนี้อาจเป็นการแก้แค้นของผู้แพยพชาวอิตาลีคนอื่นๆ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ หรือบางคนก็เดาไปว่าเด็กๆทั้ง 5 คนอาจถูกลักพาตัวไป
Benito Mussolini
พนังงานคนหนึ่งที่ทำงานในโรงแรมในเมือง Charleston ทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา เล่าว่าวันหนึ่งในขณะที่เธอทำงานอยู่ก็เห็นข่าวของเด็กๆทั้ง 5 คนของครอบครัว Sodder โดยพนักงานคนนี้บอกว่า ตอนนั้นเธอเห็นเด็กๆทั้ง 5 คนถูกพามา Check in ที่โรงแรม โดยมีชายชาวอิตาลี 2คน และหญิงชาวอิตาลีอีก 2 คน
โดยพวกเขาไม่อณูญาติในเด็กๆพูดคุยกัยคนอื่น และในวันรุ่งขึ้นพวกเขาก็ได้หายตัวไปแล้ว และยังมีพนังงานปั้มน้ำมันที่ตั้งอยุ่ห่างจากบ้านของ Sodder เพียง 50 กิโลเมตรเล่าว่าในวันคริสต์มาส เธอเห็นรถคันหนึ่งพาเด็กๆมาเติมน้ำมัน เนื่องจากวันนั้นมีลุกค้าน้อยมาก เธอจึงจำรถคันดังกล่าวได้อย่างแม่นยำ
2 สามีภรรยา Sodder ไม่เคยเลิกล้มความตั้งใจที่จะตามหาลูกๆของพวกเขา พวกเขาโทรไปขอความช่วยเหลือจาก FBI แต่ก็ได้รับคำตอบมาว่า “นี่เป็นคดีของตำรวจท้องที่ ต้องขออณุญาติจากตำรวจและรัฐาลท้องถื่นยินยอมให้ FBI เข้าไปทำคดีด้วย” แต่ตำรวจท้องที่กลับปฏิเสธที่จะให้ FBI เข้ามาช่วยเหลือ ดังนั้น 2 สามีภรรยา Sodder ซึ่งตอนนั้นไม่มีทางเลิอกจึงได้ว่าจ้างนักสืบเอกชนชื่อ Tinsley ให้เข้ามาช่วยแทน
หลังจากสืบอยู่พักหนึ่ง Tinsley ก็พบเรื่องแปลกประหลาดคือ หัวหน้าหน่วยกู้ภัย ที่บอกว่าไม่พบศพผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ แต่เขากลับพบหัวใจ และนำมันไปใส่ไว้ในโหลแก้วก่อนจะนำไปฝังดิน ซึ่งเมื่อ Tinsley ไปยังจุดเกิดเหตุเพื่อตามหาโหลใบนั้น ก็พบว่ามันเป็นเพียงแค่ตับของวัวและไม่มีรอยไหม้ใดเลยด้วยซ้ำ ภายหลังจึงมีข่าวลือว่าหัวหน้าหน่วยกู้ภัยจงใจปล่อยข่าวนี้เพื่อปลอบโยนจิตใจของครอบครัว Sodder หวังให้พวกเขาหยุดการค้นหาทั้งหมด และดำเนินชีวิตต่อไป
ในปี 1948 ครอบครัว Sodder ได้รู้จักกับ Oscar Hunter ซึ่งเขาเป็นนักนิติเวชศาสตร์ที่มีชื่อเสียง พวกเขาได้ขุดและตรวจสอบจุดที่เกิดเพลงไหม้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้พวกเขากลับพบกระดูกของมนุษย์หลายชิ้น และจากการตรวจสอบ DNA ก็พบว่า โครงกระดูกเหล่านี้มาจากคนๆเดียว โดยเจ้าของกระดูกมีอายุราวๆ 16-22 ปี ซึ่งไม่สอดคล้องกับอายุของเด็กๆบ้าน Sodder ที่หายตัวไป และที่สำคัญโครงกระดูกดังกล่าวไม่มีร่องรอยของการถูกไฟไหม้
ปี 1952 หรือ 7 ปีหลังเกิดโศกนาฏกรรม ครอบครัว Sodder ได้ทำการซื้อป้ายโฆษณาบริเวณริมทางหลวง หมายเลข 16 เพื่อติดรูปของลูกๆทั้ง 5 คน พร้อมทั้งบอกเล่าเหตุการณ์การหายตัวไผของพวกเขา รวมถึงเสนอเงินรางวัลให้ใครก็ตามที่สามารถแจ้งเบาะแสได้เป็นเงินกว่า 5,000 USD แต่การสืบสวนก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
แผ่นป้ายโฆษณาที่ครอบครัว Sodder ทำขึ้น
จนกระทั้งในปี 1967 ครอบครัว Sodder ได้รับจดหมายนิรนามที่ข้างในมีรูปถ่าย 1 ใบโดยมันเป็นรูปของผู้ชายนหนึ่ง ที่มีใบหน้าของคล้ายคลึงกับ Louis มากและด้านหลังรูปเขียนว่า “Louis Sodder รักพี่ชาย Frankie จากเด็กชายตัวน้อย” และมีตัวเลขตามหลังชุดหนึ่ง “A90132 or 35 ” แต่นอกจากนี้แล้วก็ยังไม่มีเบาะแสอื่นๆทำให้เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนาต่อไป
ข้อความดังกล่าว
ผู้ชายที่อาจจะเป็น Louis Sodder
Part 4 : บทสรุป
ปี 1969 George Sodder เสียชีวิต, ปี 1989 Jennie Sodder ก็เสียชีวิตตามไป ป้ายโฆษณาบนทางหลวงหมายเลข 16 ก็ทรุดโทรมเสียหายไปตามกาลเวลา จนถึงวันนี้ครอบครัว Sodder ที่รอดชีวิตจากเหตุการเพลิงไหม้ในคืนนั้น ก็เหลือเพียง Sylvia ที่ยังมีชีวิตอยู่ เธอใช้เวลากว่า 70 ปี ตามหาพี่น้องที่หายตัวไปแต่ก็ไม่เคยมีความคืบหน้าใดๆ
ภาพของ Sylvia Sodder ในวัยชรา และวัยรุ่น
หลายคนคิดว่าครอบครัว Sodder อาจจะโดนแก้แค้น บางคนก็คิดว่า 2 สามีภรรยา Sodder รู้นานแล้วว่าลูกๆทั้ง 5 คนของพวกเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว เพียงแต่พวกเขาไม่ยอมรับความจริง การหายตัวไปของเด็กทั้ง 5 คนของกระตูล Sodder จึงได้กลายเป็นปริศนาหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ ที่ยังคงไม่ได้รับการคลี่คลายจนกระทั้งถึงปัจจุบัน…
เรียบเรียงโดย
นายจอมโม้
8 กรกฏาคม 2022
อ้างอิง
1.
https://thetruecrimefiles.com/sodder-children-disappearance/
2.
https://www.smithsonianmag.com/history/the-children-who-went-up-in-smoke-172429802/
3.
https://allthatsinteresting.com/sodder-children
13 บันทึก
11
1
7
13
11
1
7
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย