ถ้าพูดถึงชินโซ อาเบะ กับโลกกีฬา เหตุการณ์สำคัญที่ผู้คนจะไม่ลืมเขา มี 2 เรื่อง หนึ่งคือพิธีปิดริโอเกมส์ ที่เขาแต่งตัวเป็นมาริโอขึ้นมาจากท่อ และ สองคือ Speech อันทรงพลัง ที่ทำให้ญี่ปุ่นพลิกเกมเป็นผู้ชนะการโหวตเจ้าภาพโอลิมปิก 2020
ย้อนกลับไปในปี 2013 ไอโอซี (คณะกรรมการโอลิมปิกสากล) จะมีการโหวตเลือกเจ้าภาพโอลิมปิกในปี 2020 โดยมีแคนดิเดทที่ลุ้นอยู่ 3 เมืองได้แก่ อิสตันบูล (ตุรกี), มาดริด (สเปน) และ โตเกียว (ญี่ปุ่น)
ก่อนจะมีการโหวต ทางไอโอซีได้ส่งคณะกรรมการลงสำรวจความพร้อมของทั้ง 3 เมือง ปรากฏว่าเมืองที่ได้รับคะแนนมากที่สุดคือ มาดริด ได้คะแนน 124.5 เต็ม 140 เฉือนชนะโตเกียวที่ได้คะแนน 124 เต็ม 140
ฝั่งมาดริด วางแผนทุกอย่างมาอย่างดี พวกเขาเคยข้อเสนอเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกมา 2 ครั้งก่อนหน้านี้ (2012 และ 2016) แต่ก็พลาดไป คราวนี้พวกเขากลบจุดอ่อนทุกอย่าง หวังว่าปีนี้คงไม่พลาดแล้ว
จริงๆ โตเกียวได้คะแนนดีกว่ามาดริดบางเรื่องเช่น ความปลอดภัย แต่จุดที่โตเกียวแพ้มาดริดหลักๆ มีสองเรื่อง คือหนึ่ง เรื่อง Environment (การรักษาสิ่งแวดล้อม) เพราะตอนนั้นญี่ปุ่นยังมีข่าวเรื่องปล่อยน้ำเสียปนเปื้อน และกัมมันตรังสีรั่วไหล ออกจากโรงงานที่ฟุกุชิมะอยู่เลย
และสองคือเรื่อง Sports Experience (ประสบการณ์กีฬา) คือคณะกรรมการไอโอซีมองว่า สเปนเป็นประเทศที่มีแพสชั่นเรื่องกีฬามากกว่า เพราะนักกีฬาอยู่ในเลเวลระดับโลกเต็มไปหมด ดังนั้นน่าจะความรู้ เรื่องการจัดแข่งกีฬาที่หลากหลายมากกว่าญี่ปุ่นแน่ๆ
การโหวตจะเกิดขึ้น วันที่ 7 กันยายน 2013 ที่งานประชุมประจำปีของไอโอซี ที่บูเอโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า ถ้าหากญี่ปุ่นไม่พลิกเกมอะไรสักอย่าง ก็มีโอกาสมากที่ชัยชนะจะเป็นของมาดริด
ก่อนที่คณะกรรมการจะเริ่มโหวต ในช่วงเช้าไอโอซีจะให้ให้เวลาชาติละ 70 นาที เพื่อทำ Final Presentation ออกมาพูดโน้มน้าวอะไรก็ได้ ให้ผู้มีสิทธิ์โหวตรู้สึกคล้อยตาม
ฝั่งตุรกีนำโดยเรเซ็ป ทายยิป เออร์โดกัน ที่ ณ เวลานั้นเป็นนายกรัฐมนตรี ออกมาพูดสปีชซึ่งก็เสียคะแนนไปเล็กน้อย เพราะคนที่มาพูดในงานไม่ใช่ Head of State อย่างประธานาธิบดี แต่ส่งนายกฯ มาแทน
จากนั้นเป็นพรีเซ็นเตชั่นของฝั่งสเปน โดยมาเรียโน่ ราฮอย นายกรัฐมนตรี ที่เป็นผู้นำรัฐบาลมาเอง ส่วนการพูดเปิดของราฮอยก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเท่าไหร่ โดยพูดเป็นภาษาสเปนพอเป็นพิธี ด้วยการอ่านจากสคริปต์ที่เตรียมไว้ พูดแป้บเดียวจบ ก่อนจะส่งต่อให้ทีมงานคนอื่นพูดต่อ
คราวนี้มาถึงฝั่งญี่ปุ่นทำการพรีเซนเตชั่นบ้าง ชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรี ที่ตอนแรกประชุม G20 Summit อยู่ที่รัสเซีย เขาตัดสินใจออกจากงานที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เพื่อบินมาที่บูเอโนสไอเรสให้ทันเวลา เพราะเขารู้ว่าถ้าคนที่เป็นผู้นำรัฐ ไม่แสดงถึงความจริงจังในระดับนี้ ใครจะไปโหวตให้
สำหรับการพรีเซนเตชั่นของฝั่งญี่ปุ่น อาเบะให้คนอื่นๆ ที่รับผิดชอบในโอลิมปิกโดยตรงขึ้นพูดก่อน เช่น ตัวแทนนักกีฬา และ ผู้ว่าฯ โตเกียว โดยตัวอาเบะจะขึ้นกล่าวเป็นคนสุดท้ายด้วยภาษาอังกฤษ
ตามปกติแล้ว ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ภูมิใจในภาษาของตัวเองจะตาย แต่อาเบะต้องการสื่อสารกับคนโหวตซึ่งมีหลายเชื้อชาติ ดังนั้นมันก็จะดีกว่ามาก ถ้าเขาเลือกใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์นี้
อาเบะ พูดสปีชทั้งหมดในเวลา 5 นาที 14 วินาที โดยมีเนื้อหาดังนี้
"ท่านประธาน และสมาชิกไอโอซีผู้ทรงเกียรติ มันเป็นเกียรติอย่างมากสำหรับพวกเรา หากได้รับโอกาสให้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกในปี 2020 ที่โตเกียว นี่คือหนึ่งในเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ทั้งตอนนี้ รวมถึงในปี 2020 เราก็ยังจะปลอดภัยอยู่"
"อาจจะมีบางท่านในที่นี้ กังวลใจเรื่องเกี่ยวกับฟุกุชิมะ ผมอยากย้ำให้ทุกคนมั่นใจว่า สถานการณ์ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว เรื่องนี้ไม่เคยส่งผลกระทบเสียหายต่อโตเกียว และจะไม่มีวันเกิดเรื่องแบบนั้นแน่"
"ผมสามารถพูดได้เลยว่า เรื่องการสร้างสนามแห่งใหม่ ที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์จะเกิดขึ้นแน่นอน กรุงโตเกียวรับปากว่าจะสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์ในปี 2020"
"การที่ผมมาที่นี่ วันนี้ เพื่อส่งข้อความที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น นั่นคือชาวญี่ปุ่นเราเชื่อเรื่องการขับเคลื่อนสังคมด้วยโอลิมปิกเกมส์ ผมคนหนึ่ง ที่รู้สึกแบบนั้น"
"ตอนที่ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปี 1973 ผมเริ่มหัดเรียนยิงธนู เดาได้ไหมครับว่าทำไม นั่นเพราะ 1 ปีก่อนหน้านั้น กีฬายิงธนูกลับมาอยู่ในโอลิมปิกอีกครั้ง"
(Note : ยิงธนูเคยอยู่ในโอลิมปิกจนถึงปี 1920 แต่หายไป 52 ปี กลับมาอีกทีในโอลิมปิก 1972)
"ความรักของผมที่มีต่อโอลิมปิก มันเริ่มก่อร่างขึ้นมานานแล้ว เมื่อผมหลับตาก็จะเห็นภาพที่ชัดเจนของพิธีเปิดในโอลิมปิกที่โตเกียว ปี 1964 ผมจำได้ดี ว่าเราปล่อยนกหลายพันตัวให้บินขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกัน และสูงกว่านกเหล่านั้น มีเครื่องบินเจ็ต 5 ลำ บินขึ้นเพื่อทำสัญลักษณ์เหรียญ 5 ห่วงของโอลิมปิก นั่นทำให้ผมรู้สึกมหัศจรรย์มาก ตอนนั้นผมอายุแค่ 10 ขวบเอง"
"คนญี่ปุ่นอย่างพวกเรา รู้ว่ากีฬาสามารถเชื่อมต่อโลกได้ และกีฬาให้ความเท่าเทียมกับทุกคน ในสายตาของเรา โอลิมปิกไม่ใช่แค่สนามแข่งขัน ไม่ใช่แค่วาระแห่งชาติ แต่มันเป็นวาระระดับโลก ที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม"
"ดังนั้นตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ญี่ปุ่นจะส่งออกโค้ชมากกว่า 3 พันคน เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนให้กับนักกีฬาในประเทศที่ยังขาดแคลนผู้ฝึกสอน เรายินดีที่จะร่วมงานกับคนนับล้านที่รักกีฬาทั่วโลก"
"สมาชิกไอโอซีผู้ทรงเกียรติ ผมอยากบอกว่า การเลือกโตเกียวเป็นเจ้าภาพ หมายถึงการเลือกสิ่งใหม่ที่ทรงพลัง และช่วยขับเคลื่อนกีฬาในสังคม โดยเรามี ธีมว่า 'Sport for Tomorrow' เยาวชนญี่ปุ่นจะเดินทางไปทั่วโลก เพื่อช่วยสร้างโรงเรียน สร้างความรู้ นำอุปกรณ์ต่างๆ ไปแบ่งปัน และช่วยคิดโปรแกรมการศึกษาเกี่ยวกับกีฬา ซึ่งกว่าวันที่คบเพลิงโอลิมปิกจะมาถึงโตเกียวในปี 2020 สิ่งที่เราทำจะสร้างประโยชน์ให้กับคนอย่างน้อย 10 ล้านคน จากทั้งหมด 100 ประเทศ"
"การเลือกโตเกียววันนี้ แปลว่าคุณได้เลือกชาติที่มีแพสชั่นเต็มเปี่ยม ชาติที่ภูมิใจ และศรัทธาในเรื่องการขับเคลื่อนสังคมด้วยโอลิมปิก ซึ่งเรายินดีอย่างยิ่ง ที่จะร่วมงานกับไอโอซี เพื่อทำให้โลกนี้เป็นสถานที่ ที่น่าอยู่มากขึ้น ด้วยพลังของโลกกีฬา"
"เราพร้อมจริงๆ ที่จะรับหน้าที่ตรงนี้ และพร้อมที่จะทำงานกับพวกคุณ ขอบคุณมาก"
อาเบะพูดทั้งหมด 5 นาทีกว่า โดยไม่ได้อ่านจากสคริปต์ แต่เป็นการพูดสดๆ ขึ้นมาเลย นั่นแปลว่า เขารู้แน่ชัดมากๆ ว่าจะสื่อสารอะไร คำพูดแต่ละประโยคเต็มไปด้วยพลัง ลื่นไหล มีอายคอนแท็กต์กับคนฟังตลอด
2 เรื่องที่เป็นจุดอ่อนของญี่ปุ่นก่อนโหวต อาเบะเคลียร์มันได้หมด ทั้งประเด็นเรื่องฟุกุชิมะ เมื่อผู้นำรัฐมาคอนเฟิร์มเอง คนโหวตจะได้สบายใจได้ ว่าญี่ปุ่นแคร์กับสิ่งแวดล้อมจริงๆ
เช่นเดียวกับเรื่อง Sport Experience ทางอาเบะยืนยันว่า คนญี่ปุ่นมีแพสชั่นกับกีฬาอย่างมาก ตัวเขาที่เป็นผู้นำรัฐก็ยังเล่นยิงธนู ดังนั้นศักยภาพในการจัดแข่งขัน ย่อมไม่เป็นรองฝั่งมาดริด
หลังจากอาเบะพูดจบ เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างกึกก้องในที่ประชุม สำนักข่าวรอยเตอร์ กล่าวสดุดีว่า เป็น an impassioned speech สปีชที่เปี่ยมไปด้วยพลัง ด้วยแพสชั่นอย่างแท้จริง คือเวลาคนที่พูดอะไรด้วยหัวใจคนฟังก็รับรู้ได้อยู่
นี่เป็นสปีช ที่พลิกเกมในการโหวตอย่างแท้จริง เพราะโมเมนตั้มได้เปลี่ยนไป เอนเอียงไปทางโตเกียวอย่างชัดเจนมาก
การโหวตนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากอารมณ์ ต่อให้คุณมีความพร้อมแค่ไหน ถ้าหากทำพรีเซนเตชั่นไม่ดี ดึงความรู้สึกร่วมของคนโหวตไม่ได้ ก็อาจจะเสียคะแนนได้ง่ายๆ เลย
หนังสือพิมพ์เดอะ การ์เดี้ยน อธิบายว่า "การเสนอตัวของโตเกียวดูจะไม่ค่อยเป็นใจ เพราะโรงงานนิวเคลียร์ฟุกุชิมะ อยู่ห่างจากสถานที่แข่งกีฬาแค่ 140 ไมล์เท่านั้น อย่างไรก็ตามความคลางแคลงใจของผู้โหวตทั้งหมด 96 คน ก็ถูกทำให้หมดไป ด้วยคำพูดที่หนักแน่นของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซ อาเบะ"
15.45 น. การโหวตเริ่มขึ้นในรอบแรก โดยจะตัดชาติที่คะแนนต่ำสุดทิ้งไป โดยโตเกียวได้ 42 คะแนน, มาดริดได้ 26 คะแนน และ อิสตันบูลได้ 26 คะแนน
โตเกียวเข้ารอบ ทำให้มาดริด กับ อิสตันบูลต้องมาซัดเด้นเดธกันในรอบ Runoff ปรากฏว่าอิสตันบูล เอาชนะด้วยคะแนน 49 ต่อ 45 เข้าไปสู่รอบชิงดวลกับโตเกียว
สิ่งที่น่าสนใจคือถ้าคนที่เทคะแนนให้มาดริดทั้งหมดในรอบแรก โอนคะแนนมาให้อิสตันบูล ก็จะทำให้อิสตันบูลเป็นฝ่ายชนะ
การโหวตรอบ 2 เริ่มต้นขึ้น เป็นการดวลตัวต่อตัว ระหว่างโตเกียว กับ อิสตันบูล และผลการโหวตก็ออกมา
โตเกียวชนะ 60 ต่อ 36
พวกเขาได้สิทธิ์จัดแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ ปี 2020 ในที่สุด ท่ามกลางความดีใจของคนทั้งประเทศ เพราะเมื่อโอลิมปิกได้จัดที่ญี่ปุ่น แปลว่าเศรษฐกิจที่ซบเซาก็จะได้ขับเคลื่อน จะมีการสร้าง Infrastructure ใหม่ๆ มีการจ้างคน จ้างงาน เพื่อเตรียมตัวสำหรับโอลิมปิกที่จะมาถึง
สำหรับโอลิมปิก 2020 โอเคว่า สำหรับญี่ปุ่นบทสรุปอาจออกมาไม่สวยนักในเรื่องรายได้ เพราะโดนโควิดเล่นงานพอดี แต่สิ่งดีๆ ที่พวกเขาทำให้ชาติอื่นๆ ได้เห็น คือแม้จะลำบากแค่ไหน ญี่ปุ่นก็ยังจัดแข่งตามสัญญา โดยคิดถึงนักกีฬาเป็นสำคัญ
ย้อนกลับไปในวันที่ชนะการโหวตที่บูเอโนส ไอเรส อาเบะได้รับเครดิตอย่างมหาศาลจากสปีช อันทรงพลังของเขา ที่โชว์ทักษะพูดภาษาอังกฤษล้วน โดยไม่อ่านสคริปต์ นี่เป็นทักษะความสามารถของผู้นำประเทศอย่างแท้จริง
ผลงานชัยชนะครั้งนั้น ทำให้อาเบะกลายเป็นนายกฯ ญี่ปุ่นคนแรก ที่เอาชนะในการ Bid ได้สำเร็จในรอบ 5 ทศวรรษ
โอลิมปิก 2016 - นายกฯ ยูคิโอ ฮาโตยามะ (แพ้ ริโอ เด จาเนโร)
โอลิมปิก 2008 - นายกฯ จุนอิชิโระ โคอิซุมิ (แพ้ ปักกิ่ง)
โอลิมปิก 1988 - นายกฯ เซนโกะ ซูซูกิ (แพ้ โซล)
ก็เหมือนกับศึกสงคราม ถ้าคุณนำทัพออกไปเอาชนะชาติอื่นๆ ได้ คุณก็ได้รับเครดิตว่าเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถ แน่นอนอาเบะ มีจุดขายหลายอย่าง แต่เรื่องสปีชในโอลิมปิก (และเรื่องการเป็นมาริโอ ขึ้นมาจากท่อ ในพิธีปิดโอลิมปิก 2016) ก็มักจะเป็นเรื่องที่คนนึกถึงอยู่เสมอ
ชินโซ อาเบะ เสียชีวิตจากการถูกลอบสังหารในวันนี้ และจากโลกนี้ไปด้วยวัย 67 ปี ถือเป็นข่าวที่น่าตกใจอย่างมาก ยิ่งกับในประเทศญี่ปุ่นที่มีอาชญากรรมจากปืน ในอัตราที่ต่ำมากๆ
ในเรื่องการเมืองเขาอาจจะมีทั้งคนรักและคนชัง ส่วนเรื่องเศรษฐกิจนั้น แนวทางอาเบะโนมิกส์ของเขาก็ไม่ได้มีคนเห็นด้วยทั้งหมด
แต่ถ้าเราพูดถึงเรื่องกีฬาล่ะก็ ในช่วงโมเมนต์หนึ่ง เขาทำให้ญี่ปุ่นเป็นผู้ชนะ และเราสามารถใช้คำว่า ชินโซ อาเบะ คือฮีโร่ของชาติได้อย่างไม่มีข้อกังขาเลยจริงๆ
#FAREWELLABE
- 96
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
