8 ก.ค. 2022 เวลา 15:19 • ธุรกิจ
"ล้ำกว่าความฉลาด คือรู้เท่าทันกาลเทศะ"
“คนเราเรียนรู้ที่จะพูดใช้เวลาไม่กี่ปี หากแต่เรียนรู้ที่จะเงียบต้องใช้เวลานับสิบปี”
…..
ศึกชิงเมืองฮันต๋ง ระหว่างโจโฉและเล่าปี่นั้น
โจโฉเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ตั้งค่ายทัพค้ำยันไว้
ฝ่ายเล่าปี่นั้น ศึกชิงเมืองฮันต๋งกับโจโฉ ขงเบ้งมิได้มาในทัพนี้ด้วย
เพราะเล่าปี่เพิ่งจะยึดแค้วนเสฉวนได้
ขงเบ้งจึงเป็นคณะรักษาความสงบที่แคว้นเสฉวน
กำลังสร้างรากฐานต่างๆให้มั่นคงเสียก่อน
หากแต่เล่าปี่ยังมี หวดเจ้ง กุนซือผู้มากปัญญามาในทัพครั้งนี้ด้วย
หวดเจ้งเป็นเสนาธิการกองทัพของเล่าปี่ เสนอแผนการพิสดารว่า
“ฝ่ายเล่าปี่ นั้นมุ่งใช้การโจมตีจิตใจต่อฝ่ายโจโฉเป็นหลัก ส่งกำลังทหารทำทีว่าจะเข้าตีกลางคืน
แต่ก็ไม่มาเข้าตีเป็นอย่างงี้สามคืนติดๆกัน” ส่งเสียงอื้ออึง ม้าล่อฆ้องกลองมาเต็ม
ทำตาม พิชัยยุทธ์ซุนวูที่ว่า
“เน้นไปที่การโจมตีจิตใจของฝ่ายตรงข้าม ทำให้ฝ่ายตรงข้ามล้มลงไปเองต่อหน้าคุณ แล้วค่อยใช้กำลังเข้าตีอย่างหนักหน่วง”
-ข้าศึกสบายพึงทำให้เหนื่อยล้า
หากว่า ฝ่ายโจโฉมีท่าทีว่าจะถอยทัพหรือภายในปั่นป่วน ค่อยถล่มให้ยับด้วยกำลังทหาร
ฝ่ายโจโฉจึงเตรียมตั้งรับ ทหารทั้งปวงทั้งแม่ทัพนายกอง แทบๆจะไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว เพราะมัวแต่ระแวงข้าศึกถึงขั้นใส่เสื้อเกราะนอนกันเลยทีเดียว
คนที่นอนน้อย คนที่ไม่ได้นอน
กระทบต่อ PQ ยังไงก็เพลีย
กระทบต่อ EQ อารมณ์แปรปวน
กระทบต่อ IQ ความคิดความอ่านก็ลดลง
…..
จนวันนึง โจโฉนั่งทานอาหารอยู่ กำลังแทะขาไก่ ด้วยความเซ็งๆ ไม่รู้จะเอาไงต่อกับชีวิตดี
แฮหัวตุ้นเข้ามาถามถึงรหัสทัพ ในค่ำคืนนี้
โจโฉตอบว่า “ขาไก่”
เอียวสิ้ว อยู่ในที่นั้นด้วยสีหน้ายิ้มทันทีเพราะรู้ทันโจโฉว่า โจโฉคิดจะะถอยทัพ
เพียงแต่ว่า คำว่าถอยทัพโจโฉยังมิได้สั่งการอะไรทั้งนั้น
เอียวสิ้วกลับไปที่พัก สั่งการให้ลูกน้องตนเก็บข้าวของสัมภาระเตรียมกลับเมืองหลวง
แฮหัวตุ้น มาเห็นจึงถามเอียวสิ้วว่า “เหตุฉไหนจึงเก็บของเหมือนว่าจะเดินทางกลับด้วยเล่า”
เอียวสิ้วจึงตอบแฮหัวตุ้นไปว่า “ท่านโจโฉสื่อนัยว่าจะถอยทัพไง”
“ท่านโจโฉบอกเช่นไรรึ” แฮหัวตุ้นถามด้วยความสงสัย
เอียวสิ้วจึงตอบว่า
“ท่านโจโฉบอกว่า ขาไก่ ไงรหัสทัพในค่ำคืนนี้
รหัสทัพ ขาไก่
ศึกชิงเมืองฮันต๋ง นั้นเปรียบประดุจ ขาไก่
-จะไปต่อก็ไม่ได้ ได้รับความลำบาก มองไม่เห็นหนทางชนะ
-จะทิ้งศึกนี้ก็เสียดาย”
แฮหัวตุ้นถึงกับบางอ้อ รีบไปสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาให้เก็บของเตรียมกลับทันที
บรรดาทหาร แม่ทัพนายกองต่างๆก็ดีใจเพราะว่าจะได้กลับเมืองหลวงไปหาลูกเมีย
โจโฉ คืนนั้นนอนไม่หลับจึงออกไปเดินตรวจตราค่ายทัพ เห็นบรรดา ทหารตลอดจนแม่ทัพนายกองต่างๆเก็บข้าวของสัมภาระเหมือนว่าจะกลับกันแล้วก็ตกใจ
จึงเรียกแฮหัวตุ้นมาสอบถามว่า เป็นมายังไง
“ใครสั่งให้เก็บของ เหมือนว่าเตรียมจะถอยทัพกลับรึ” โจโฉถามงงๆ
“ท่านกุนซือเอียวสิ้ว บอกมาครับ ว่าท่านโจโฉพูดถึงเรื่องขาไก่ หมายถึงจะถอยทัพครับ” แฮหัวตุ้นตอบ
…..
โจโฉคำรามในใจ “ไอ้เอียวสิ้วมันจะรู้ทันข้าทุกเรื่องแบบนี้ ปล่อยไว้ไม่ได้”
จึงสั่งการเรียกเอียวสิ้วมาประหารทันที ด้วยข้อหาทำให้ขวัญกำลังใจในกองทัพถดถอย
ประเด็นนี้น่าสนใจ
น่าสนใจ 1 เอียวสิ้วรู้ทันโจโฉและอวดฉลาดไปทุกเรื่องแบบนี้ หากว่าเอียวสิ้วคิดไปเข้าทำงานกับเล่าปี่มิใช่เป็นภัยต่อโจโฉอย่างใหญ่หลวงหรอกหรือ
น่าสนใจ 2 สุมาอี้ที่มาในค่ายทัพของโจโฉนั้น ก็รู้ทันโจโฉเช่นกัน เพียงแต่สุมาอี้เงียบไม่กระโตกกระตาก แสดงออกด้วยการอวดฉลาดแบบเอียวสิ้ว
น่าสนใจ 3 โจโฉ ณ เวลานั้นกำลังเครียด กดดัน กังวลย่อมอยู่ใน “สภาวะอะมิกดาล่าถูกจี้”จึงหมดสิทธิ์คิดด้วยเหตุผล จึงใช้แต่อารมณ์ล้วนๆสั่งประหารเอียวสิ้วทันทีอย่างไม่รีรอ
อะมิกดาล่าเป็นพื้นที่เล็กๆในสมองเบื้องลึกที่พร้อมจะถูกใช้งานทันทีเมื่อรู้สึกว่าถูกอันตรายคุกคาม
จะเรียก สภาวะนี้ของมนุษย์ว่า “ภาวะอะมิกดาล่าถูกจี้ (amygdala hijack)”
เมื่อทุกคนเจอ ภาวะอะมิกดาล่าถูกจี้ ความฉลาดทางอารมณ์ย่อมเผ่นออกไป
ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ความกดดันต่างๆ ความกังวล กลัว ตลอดจนคำพูดที่ท้าท้ายอัตตา
เมื่ออะมิกดาดล่าถูกจี้ ความสามารถใช้เหตุผลจะลดลง ฮอร์โมนความเครียดจะหลั่งทั้งระบบ
อะดีนาลีนจะฉีดไปทั่วระบบประสาทจนคุณคิดอะไรติดๆขัดๆ กว่าจะสงบได้บางทีใช้เวลาเป็นชั่วโมง
จึงหมดสิทธิ์ใช้มองส่วน Neo-cortex ไตร่ตรองต่างๆให้ดี
การจะเข้าถึงใครสักคนให้ได้นั้น ต้องคุยกันด้วยสมองส่วน Neo-cortex*****
ด้วยเหตุนี้ พระท่านจึงสอนให้ทำใจให้สงบ ให้ลดอัตตา
ด้วยเหตุนี้ พิชัยยุทธ์ซุนวูจึงว่าไว้ “อีกฝ่ายมีโทสะ ให้ยั่วยุ”
ยั่วยุให้อีกฝ่ายมีโทสะ เพื่อใช้แต่สมอง Limbic ใช้แต่อารมณ์ จะได้ไม่ต้องใช้สมองส่วนไตร่ตรอง
หากว่า ยั่วยุแล้วเขายังนิ่งเงียบ ไม่โกรธ /เมื่อนิ่งเงียบ ย่อมมีเวลาไตร่ตรอง
การตอบสนองต่อทุกสิ่งเร็วเกินไป บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี
คนที่ยั่วยุย่อม ร้อนเอง อุปมาดั่ง หอกนั้นคืนสนอง /คนส่งของไปรษณีย์ให้ แต่คนไม่ยอมรับ ยังไงของนั้นก็กลับไปเป็นของคนส่ง
โจโฉจึงตัดสินใจที่จะสู้กับเล่าปี่ต่อ แทนที่จะถอยทัพ
สุดท้ายก็โดนเล่าปี่ถล่มยับ
ตัวโจโฉเอง ว่ากันว่าถูกอุยเอี๋ยนยิงธนูใส่ที่ฟันจนหัก หนีตายเอาตัวเองแทบไม่รอด
สุดท้ายโจโฉจึงต้องถอยทัพ
หากว่า โจโฉไตร่ตรองสักนิด สั่งถอยทัพตามที่เอียวสิ้วชี้แนะ(กึ่งๆรู้ทัน) ผลก็อาจจะไม่เป็นเช่นนี้
แต่เหรียญมีสองด้าน โจโฉเพื่อรักษาหน้าตัวเองจึงสั่งสู้ต่อ แม้ว่าจะรู้ว่าสู้มิได้ ผลก็ลงเอยเช่นนี้แล
บทสรุป
1.สุมาอี้นั้นรู้ดีว่า โจโฉนั้นกำลังเครียด กดดัน ไหนจะอดนอนอีก ย่อมอยู่ในสภาวะอะมิกดาล่าถูกจี้ได้ง่ายๆ หากว่ามีอะไรเข้ามากระทบ หรือ ท้าทายอัตตา
สุมาอี้แม้ว่าเขาจะรู้ทันโจโฉ แต่เขาเลือกที่จะเงียบ
ต่างจากเอียวสิ้วที่อวดฉลาด พูดไปเรื่อย
แม้ว่าสิ่งที่เอียวสิ้วพูดจะถูกต้องทุกอย่างตามสถานการณ์ในตอนนั้น หากแต่มันไม่ถูกจังหวะเวลา และเป็นคำพูดที่ท้าทายอัตตาของโจโฉ ทำให้เอียวสิ้วผู้ฉลาดแต่ขาดเฉลียวต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเสียดาย
2. “คนเราเรียนรู้ที่จะพูดใช้เวลาไม่กี่ปี หากแต่เรียนรู้ที่จะเงียบต้องใช้เวลานับสิบปี”
“ล้ำกว่าฉลาด คือรู้เท่าทันกลาเทศะ”
ตัวอย่างที่เห็นชัดจาก สุมาอี้-เอียวสิ้ว สองคนนี้มีหลายๆอย่างที่เหมือนกันทั้งฐานะทางสังคม ความฉลาด
หากแต่เอียวสิ้ว เรียนรู้ที่จะเงียบไม่เป็นและไม่รู้จักจังหวะไหนที่ควร/ไม่ควรแสดงออก จึงพบกับจุดจบเช่นนี้แล
เครดิต…
หนุ่มหน้าหนากับม้าแปดตัว
โฆษณา