8 ก.ค. 2022 เวลา 15:21 • คริปโทเคอร์เรนซี
รวม 10 เหรียญคริปโตฯ ที่มีมาร์เก็ตแคป (Market Cap) สูงสุด
บทความนี้ขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ 10 เหรียญคริปโตฯ ที่มีมาร์เก็ตแคป (Market Cap) หรือมูลค่าตลาดสูงที่สุดในบรรดาเหรียญคริปโตฯ กว่า 10,000 เหรียญ จะมีเหรียญอะไรบ้าง แต่ละเหรียญมีรายละเอียดและมีความน่าสนใจอย่างไร ติดตามไปพร้อมกันได้เลย!
1. Bitcoin (BTC)
หากพูดถึงเจ้าแห่งเหรียญคริปโตฯ ก็คงจะหนีไม่พ้น “บิตคอยน์” (Bitcoin) อย่างแน่นอน บิตคอยน์เป็นเงินดิจิทัลสกุลแรกของโลกที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 2009 โดยผู้สร้างที่ใช้นามแฝงว่า “ซาโตชิ นากาโมโตะ” (Satoshi Nakamoto) ซึ่งตัวตนที่แท้จริงของเขายังคงเป็นปริศนาที่ไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้
ปัจจุบันบิตคอยน์มีมูลค่าและส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุดในตลาดคริปโตฯ ด้วยปริมาณการซื้อขายอย่างมหาศาลในแต่ละวัน สำหรับการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์จะเป็นอิสระจากรัฐบาลหรือตัวกลางใด ๆ โดยจะถูกบันทึกไว้ในบัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ (DLT) บนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ทำให้ยากที่จะย้อนกลับ ดัดแปลง หรือทำลายทิ้งได้
จำนวนบิตคอยน์มีอยู่จำกัดที่ประมาณ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งล่าสุด ณ เดือนพฤษภาคม 2022 บิตคอยน์ถูกขุดไปแล้วกว่า 19.04 ล้านเหรียญ หรือราว 90.70% ของจำนวนบิตคอยน์ทั้งหมด โดยคาดว่าบิตคอยน์จะถูกขุดหมดประมาณปี 2140
Market Cap: 580.11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Max Supply: 21,000,000 BTC
ศึกษาเกี่ยวกับ Bitcoin เพิ่มเติมได้ที่ Bitcoin คืออะไร?: รวมเรื่องต้องรู้ ก่อนลงทุนบิตคอยน์
2. Ethereum (ETH)
อีเธอเรียม (Ethereum) ถูกสร้างขึ้นในปี 2013 โดยโปรแกรมเมอร์ชาวรัสเซีย-แคนนาดาที่มีชื่อว่า “วีตาลิค บูเจริน” (Vitalik Buterin) Ethereum เป็นแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนแบบกระจายอำนาจ โดยมีเหรียญ “อีเธอร์” (ETH) ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2015 เป็นสกุลเงินหลักทำงานบน “Ethereum Blockchain” ซึ่งมีหลาย ๆ เหรียญในโลกคริปโตฯ ที่ทำงานอยู่บนบล็อกเชนนี้เช่นกัน โดยมีเป้าหมายในการเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกสำหรับแอปพลิเคชันกระจายอำนาจ (DApp) ที่ผู้คนทั่วโลกสามารถใช้งานได้
เหรียญ ETH มีการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ไปในช่วงฤดูร้อนปี 2014 ที่มูลค่า 0.311 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเหรียญ โดยมียอดขายมากกว่า 60 ล้านเหรียญเลยทีเดียว การเติบโตอย่างรวดเร็วของ Ethereum ทำให้เหรียญ ETH กลายเป็นที่มีมูลค่าตลาดมากเป็นอันดับสองในตลาดคริปโตฯ รองจากบิตคอยน์เพียงเหรียญเดียวเท่านั้น แต่ทั้งนี้เหรียญ ETH ไม่ได้มีจำนวนจำกัดเหมือนบิตคอยน์ ซึ่งล่าสุดในเดือนพฤษภาคม 2022 มีเหรียญ ETH หมุนเวียนในระบบกว่า 120 ล้านเหรียญแล้ว
นอกจากนี้ Ethereum ยังถูกใช้งานในรูปแบบของโทเคนที่ไม่สามารถทดแทนกันได้ (Non-Fungible Token) หรือ เอ็นเอฟที (NFT) สำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนงานศิลปะ รวมถึงไอเทมในเกมและโลกเสมือนจริง (Virtual World) ด้วย
Market Cap: 247.99 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Max Supply: N/A
ศึกษาเกี่ยวกับ Ethereum เพิ่มเติมได้ที่ Ethereum 2.0 คืออะไร และทำไมจึงมีความสำคัญ?
3. Tether (USDT)
เทเธอร์ (Tether) เปิดตัวในชื่อ Realcoin ในเดือนกรกฎาคมปี 2014 ก่อนจะมีการรีแบรนด์และเปลี่ยนไปใช้ชื่อเป็น Tether ในเดือนพฤศจิกายน 2014 Tether ถูกพัฒนาโดยบริษัท iFinex เจ้าของแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในฮ่องกงอย่าง BitFinex
USDT เป็นเงินดิจิทัลสกุลแรกในกลุ่ม “Stablecoin” ที่อ้างอิงกับมูลค่าของสกุลเงิน Fiat อย่างดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ในสัดส่วน 1:1 โดยถูกออกแบบมาเพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสกุลเงิน Fiat และสกุลเงินดิจิทัล ในเรื่องของความมีเสถียรภาพ ความโปร่งใส และค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่ต่ำ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะทำให้ USDT สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและเก็บมูลค่ามากกว่านำมาใช้ในรูปแบบของการลงทุนเพื่อเก็งกำไร
การตรวจสอบการสำรองเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ของ USDT จะถูกตรวจสอบโดยบริษัท Freeh Sporkin & Sullivan LLP บริษัทกฎหมายในสหรัฐฯ ส่วนเรื่องความถี่ในการเข้าตรวจสอบ ยังไม่ได้มีการระบุความถี่อย่างแน่ชัด
USDT เป็น Stablecoin ที่ได้รับความนิยมและเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีมูลค่าตลาดมากที่สุดในกลุ่มเหรียญ Stablecoin ซึ่งเป็นรองเพียงเจ้าแห่งเหรียญคริปโตฯ อย่าง Bitcoin และ Ethereum เท่านั้น
Market Cap: 73.21 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Max Supply: N/A
4. Binance Coin (BNB)
ไบแนนซ์ คอยน์ (Binance Coin) เปิดตัวในปี 2017 โดยเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างขึ้นโดย “Binance” ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดย Binance มีเป้าหมายที่จะทำให้สกุลเงินดิจิทัลกลายเป็น
เหรียญ BNB เป็นโทเคนดั้งเดิม (Native Token) บนระบบนิเวศของ Binance ที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้ทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์ม Binance โดยผู้ที่ใช้งานแพลตฟอร์ม Binance จะได้รับส่วนลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหากใช้เหรียญ BNB นั่นเอง โดยเริ่มแรกเหรียญ BNB ทำงานบน Ethereum Blockchain ด้วยมาตรฐาน ERC-20 แต่ในระหว่างการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ในเดือนกรกฎาคม 2017 ก็ได้เปลี่ยนไปใช้ “Binance Chain” (BEP2) ที่พัฒนาโดย Binance เอง
Binance จะนำกำไรของบริษัท 20% มาดำเนินการ “เผา” เหรียญ BNB ทิ้งในทุก ๆ ไตรมาสเพื่อลดปริมาณการหมุนเวียนของเหรียญ BNB ไม่ให้เกิดการล้นตลาด และรักษามูลค่าให้กับเหรียญ ทำให้อุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) มีความสมดุลกัน โดยจะซื้อคืนจนกว่าจะเหลือ 50% ของอุปทานทั้งหมด ซึ่งล่าสุดในช่วงเดือนเมษายนปี 2022 ที่ผ่านมาก็ได้มีการเผาเหรียญเป็นครั้งที่ 19 ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย โดยมีเหรียญถูกเผาไปกว่า 1.83 ล้านเหรียญ มูลค่ารวมกว่า 741.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Market Cap: 53.78 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Max Supply: 200,000,000 BNB
5. USD Coin (USDC)
USD Coin (USDC) เปิดตัวในปี 2018 โดยบริษัท Centre ซึ่งเป็นบริษัทที่เกิดจากความร่วมมือกันระหว่างแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลกอย่าง Coinbase และบริษัท Circle โดยมีความตั้งใจที่ต้องการให้คนทั้งโลกสามารถเข้าถึงสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าเทียบเท่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ได้
USDC ทำงานอยู่บน Ethereum Blockchain โดยถือเป็นสกุลเงินดิจิทัลกลุ่ม Stablecoin ที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับสองของตลาดคริปโตฯ รองจาก USDT และเช่นเดียวกันกับ USDT มูลค่าของ USDC ถูกอ้างอิงกับ USD ในอัตราส่วนคงที่ที่ 1:1 เสมอ จึงเหมาะกับการนำมาใช้ป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาดคริปโตฯ
สำหรับการตรวจสอบการสำรองเงินดอลลาร์สหัฐฯ USDC จะถูกตรวจสอบโดยบริษัท Grant thornton โดยจะเข้าตรวจสอบในทุก ๆ เดือนและประกาศให้นักลงทุนได้ทราบผ่านเว็บไซต์ของ Centre
Market Cap: 53.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Max Supply: N/A
6. Ripple (XRP)
เหรียญ “XRP” ถูกสร้างและพัฒนาขึ้นโดย Ripple Labs Inc ซึ่งก่อตั้งในปี 2012 โดย Chris Larsen และ Jed McCaleb โดย Ripple เป็นโปรโตคอลการชำระเงินที่เปรียบเสมือนสะพานในการโอนเงินระหว่างประเทศที่มีความโปร่งใส โดยมีจุดเด่นคือการประมวลผลธุรกรรมที่รวดเร็ว สามารถทำธุรกรรมได้ภายใน 3-5 วินาที
และมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำมากเพียง 0.00001 XRP หรือประมาณ 0.00000426 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อธุรกรรมเท่านั้น นอกจากนี้ Ripple ยังเปิดให้นักพัฒนาทั่วโลกสามารถสร้าง Decentralized Applications (DApp) ได้ ผ่านโซลูชัน XRP Ledger อีกด้วย
เหรียญ XRP ไม่เหมือนบิตคอยน์หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ตรงที่ไม่สามารถขุดได้ แต่เหมือนกันตรงที่มีจำนวนเหรียญจำกัดอยู่ที่ 1 แสนล้านเหรียญเท่านั้น โดย ณ วันที่ 23 พฤษภาคม 2022 เหรียญ XRP มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดเป็นอันดับหกในตลาดคริปโตฯ ด้วยมูลค่ามากกว่า 20 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Market Cap: 20.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Max Supply: 100,000,000,000 XRP
7. Cardano (ADA)
เหรียญ “ADA” (เอดา) เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2017 เป็นเงินสกุลหลักบนเครือข่ายคาร์ดาโน (Cardano) ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 2015 โดย “ชาร์ลส์ ฮอสกินสัน” (Charles Hoskinson) หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Ethereum โดย Cardano เป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนสาธารณะแบบกระจายอำนาจ
(Proof of Stake: PoS) รุ่นที่สาม ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทลายข้อจำกัดของ Proof of Work (PoW) ทำให้สามารถทำธุรกรรมได้รวดเร็วขึ้นในต้นทุนที่ต่ำลง รวมถึงประหยัดพลังงานมากขึ้น ซึ่งชื่อของเหรียญ ADA มีที่มาจาก “เอดา เลิฟเลซ” (Ada Lovelace) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษที่ถูกขนานนามว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก
เหรียญ ADA มีการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ไปในช่วงเดือนธันวาคมปี 2016 ที่มูลค่า 0.0024 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเหรียญ โดยมีจำนวนเหรียญจำกัดทั้งหมด 4.5 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งมีการจัดสรร 16% ของอุปทาน (Supply) เหรียญทั้งหมดให้กับผู้ก่อตั้งโครงการ ซึ่งได้แก่ บริษัทเทคโนโลยีบล็อกเชนระดับโลกอย่าง Emurgo และมูลนิธิไม่แสวงหากำไรของ Cardano และจัดสรรอีก 84% สำหรับนักลงทุนทั่วไป โดยล่าสุด ณ เดือนพฤษภาคม 2022 มีเหรียญ ADA หมุนเวียนในตลาดแล้วกว่า 3.37 หมื่นล้านเหรียญ หรือราว 75% ของจำนวนเหรียญ ADA ทั้งหมด
Market Cap: 18.62 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Max Supply: 45,000,000,000 ADA
8. Binance USD (BUSD)
Binance USD หรือเหรียญ BUSD ก่อตั้งโดย Paxos แพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานเหรียญ Stablecoin และ Binance แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเจ้าเก่าเจ้าเดิม เช่นเดียวกับเหรียญ USDT และ USDC มูลค่าเหรียญ BUSD จะถูกอ้างอิงกับสกุลเงินทั่วไป
(Fiat Currency) อย่างเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ในอัตราส่วน 1:1 ประโยชน์ของเหรียญ BUSD คือทำให้ผู้ถือสามารถโอนเหรียญ BUSD ได้ในทุกที่ด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาที พร้อมต้นทุนที่ต่ำกว่าการทำธุรกรรมทั่วไป นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นหลักประกันและสินทรัพย์สำหรับกู้ยืมสกุลเงินดิจิทัล รวมถึงใช้เหรียญ BUSD ใช้จ่ายเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการในร้านค้าที่รับรองได้อีกด้วย
สำหรับการตรวจสอบการสำรองเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ของเหรียญ BUSD นั้นมีการตรวจสอบเป็นประจำ
โดยสำนักงานบัญชีในสหรัฐฯ ที่มีชื่อว่า Withum และจะเผยแพร่รายงานของผู้ตรวจสอบบัญชีในทุกเดือนผ่านทางเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ BUSD
ระบบนิเวศของเหรียญ BUSD เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงปีที่ผ่านมา โดยเติบโตจากมูลค่าตลาดที่ประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงต้นปี 2021 มาเป็น 18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2022 จนได้กลายมาเป็นหนึ่งในเหรียญกลุ่ม Stablecoin ที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในกลุ่มเหรียญ Stablecoin เป็นอันดับสาม รองจาก USDT และ USDC
Market Cap: 18.50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Max Supply: N/A
9. Solana (SOL)
โซลาน่า (Solana) ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 โดยเป็นบล็อกเชนที่ทำงานด้วยฉันทามติแบบ Proof of History (PoH) ร่วมกับฉันทามติแบบ Proof of Stake (PoS) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ และสามารถคำนวณธุรกรรมได้อย่างรวดเร็ว ประมาณ 65,000 ธุรกรรมต่อวินาที
รวมถึงสร้างบล็อกใหม่ได้ในทุก ๆ 400 มิลลิวินาที ด้วยค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมเพียง 0.00025 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อธุรกรรมเท่านั้น ในขณะที่ Ethereum Blockchain ทำได้เพียง 14 ธุรกรรมต่อวินาที ด้วยค่าธรรมเนียมเฉลี่ยต่อธุรกรรมที่สูงถึง 4.524 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 22 พ.ค. 2022) ทำให้ Solana ได้รับสมญานามว่า “Ethereum Killer”
สกุลเงินดิจิทัลที่ทำงานบน Solana Blockchain และเป็นโทเคนดั้งเดิม (Native Token) ของระบบนิเวศ Solana เรียกว่า เหรียญ “SOL” ที่มีการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ไปในเดือนมีนาคมปี 2020 ด้วยมูลค่า 0.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเหรียญ โดยมูลนิธิโซลาน่า (Solana Foundation) ได้ประกาศว่าจะมีการปล่อยเหรียญ SOL จำนวน 489 ล้านออกสู่ตลาด และปัจจุบัน 260 ล้านเหรียญได้เข้าสู่ตลาดเรียบร้อยแล้ว
Market Cap: 18.32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Max Supply: N/A
10. Dogecoin (DOGE)
Dogecoin ถูกสร้างขึ้นในช่วงเดือนธันวาคมปี 2013 โดยวิศวกรซอฟต์แวร์ที่มีชื่อว่า Jackson Palmer และ Billy Markus เหรียญ DOGE ถือเป็น “ราชาแห่งเหรียญมีม” โดยมีมูลค่าตลาดสูงสุดในกลุ่มเหรียญมีม (Meme Coins) วัตถุประสงค์ในการสร้างเหรียญมีมคือเป็นเหรียญที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อความสนุกโดยเฉพาะ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากมีม (Meme) ที่เป็นกระแสร้อนแรงบนโลกออนไลน์ สำหรับเหรียญ DOGE นั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากมีม “สุนัขพันธุ์ชิบะอินุ” ชื่อดังหน้าตาน่ารักน่าชังนั่นเอง
ซึ่งแม้จะบอกว่าเหรียญมีมนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความสนุกแต่ราคาที่พุ่งขึ้นก็เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพราะราคาของ Dogecoin ขึ้นไปแตะ All-time High ในช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2021 ที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าของเหรียญ DOGE พุ่งมากกว่า 10000% จากช่วงต้นปี 2021
ก่อนที่มูลค่าจะลดลงจนหลุด 10 อันดับเหรียญคริปโตฯ ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด และในปี 2022 นี้หลังจากที่ Elon Musk เจ้าของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla และแฟนตัวยงของ Dogecoin ได้ประกาศซื้อ Twitter พร้อมเคยกล่าวว่าจะอยากให้ใช้เหรียญ DOGE ในการชำระเงินบน Twitter ทำให้ราคาเหรียญเพิ่มขึ้นจนกลับมาอยู่ใน 10 อันดับอีกครั้ง ด้วยมูลค่าตลาดสูงกว่า 11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Market Cap: 11.68 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Max Supply: N/A
* หมายเหตุ: ข้อมูล Market Cap, Max Supply จาก CoinMarketCap ณ วันที่ 23 พ.ค. 2565
อ้างอิง
คำเตือน
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
คริปโต #10เหรียญคริป #MarketCap #Bitcoin #BTC #Ethereum #ETH #Tether #USDT #Coin #BNB #USDCoin #USDC #Ripple #XRP #Cardano #ADA #Binance #USD #BUSD #Solana #SOL #Dogecoin #DOGE #คริปโท #คริปโตเคอร์เรนซี #Cryptocurrency #crypto
โฆษณา