9 ก.ค. 2022 เวลา 08:53 • หุ้น & เศรษฐกิจ
⭐ เล่าหุ้นให้ฟัง: HL ⭐
สวัสดีครับ วันนี้มาพบกับ #เล่าหุ้นให้ฟัง ถึงจะบอกว่าเล่าให้ฟัง แต่เนื้อหายังอยู่ในรูปแปบการอ่านเป็นหลักนะครับ 555
วันนี้แอดมาจะมาเล่าหุ้น #HL จากคราวที่แล้วที่แอดได้เล่า #OppdayQ12022 ไปแล้วนะครับ โดยแอดขอแบ่งหัวข้อเป็น Industry Overview, Business Model, SWOT, Growth Strategy Valuation ครับ
#Disclaimer แอดขอบอกไว้ว่า Content ชุด #เล่าหุ้นให้ฟัง ไม่ได้เชียร์ซื้อหรือขายหุ้น และข้อมูลส่วนมากที่เขียนจะเป็นข้อมูลในเชิงวิเคราะห์ด้วยมุมมองของแอดเอง และแอดจะแนบ Reference ไว้ท้ายบทความทุกครั้งสามารถไปอ่านหรือฟังเพิ่มเติมกันได้ครับ
1️⃣ Industry Overview
✔ ภาพรวมอุตสาหกรรมยาในประเทศปีที่ผ่านมาขยายตัว 2.5% โดยคาดว่าปีหน้าจะขยายตัว 3.5% เป็น 200,000 ลบ. ในปี 2022 โดยชนิดยาที่จำหน่ายในไทยจะแบ่งเป็น Generic Drug (ยาวสามัญทั่วไป) กว่า 60% และ Patented Drug (ยาจดสิทธิบัตร) 40% ซึ่งในส่วนยา Patented Drug จะมีการเติบโตที่สูงในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือเรียกว่า NCDs (Non-communicable disease) เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น
✔ ส่วนช่องทางการจำหน่ายกว่า 80% เป็นการจ่ายยาผ่านโรงพยาบาล (รพ.รัฐ 60%, รพ.เอกชน 20%) ซึ่งต้องใช้ใบสั่งแพทย์ในการจ่าย เรียกกันว่า Prescription drug ส่วนอีก 20% ของช่องทางการจำหน่ายมาจากร้านยา (Over-The-Counter: OTC)
✔ เพราะฉะนั้นตลาดร้านยาจะมีมูลค่าประมาณ 40,000 ลบ.ในปี 2022 และีมีจำนวนร้านยาทั้งหมด 16,816 ร้าน ซึ่งกว่า 80% เป็นผู้กระกอบการระดับ SMEs และอีก 20% จะเป็นรูปแบบของ Chain Store
✔ โดยเราจะเห็นว่าจำนวนผู้เล่นในอุตสาหกรรมค่อนข้างเยอะเนื่องจากไม่ได้ใช้เงินลงทุนที่สูงมากนักในการเปิดร้านยาต่อ 1 สาขา และร้านขายยามีอำนาจในการตั้งราคาสินค้าที่ผู้บริโภคไม่สามารถต่อรองราคาสินค้าได้ แต่ถ้าไม่ใช้ร้านขายยารายใหญ่ก็จะต่อรองสินค้ากับคู่ค้าได้ยากเช่นกันครับ และถ้าเราเป็นร้านขายยารายย่อยก็อาจต้องซื้อผ่านคนกลางอีกทีนึง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของยาร้านรายย่อยส่วนมากจะสูงกว่าร้านที่เป็น Chain Store ได้ครับ
✔ อีกอย่างนึงที่เห็นได้ชัด คือ ในตลาดนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าตลาดที่ชัดเจน ส่วนการเติบโตของตลาดยา OTC แอดมองว่าจะจะเติบโตคู่ไปกับสังคมผู้สูงอายุและจำนวนผู้ป่วยที่เป็นโรค NCDs ซึ่งในปัจจุบันมีอายุน้อยลงเรื่อยๆจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต และสิ่งที่ต้องเฝ้าติดตาม คือ เรื่องกฎหมายการขายยาที่จะมีมาตรการผ่อนปรนให้ขายยาง่ายมากขึ้นหรือคุมเข้มการขายยาให้เข้มงวดมากขึ้นในอนาคตครับ
✔ อันนี้แอดขอเล่าประสบการณ์ตรงช่วยแอดเป็นโควิดครับเกี่ยวกับการจ่ายยาครับ ซึ่งตอนนั้นไอหนักมาก ก่อนที่จะรู้ว่าเป็นโควิดแอดไปตรวจ PCR และหมอให้ยาแก้ไอที่เป็นแบบเม็ดนิ่มมา พอตอนหลังรู้ว่าเป็นโควิดแอดเลยต้องทำ Home Isolation และใช้ Telemedicine ผ่าน App ในการหาหมอ โดยพวก Telemedicine จะจ่ายยาโดยให้ร้านยาจ่ายให้ครับ ซึ่งจะมีราคาถูกกว่ารพ.จ่ายเอง แต่ยาที่ร้านยาจ่ายได้จะค่อนจ้างจำกัด โดยตอนนั้นแอดบอกหมอขอยาชุดเดิมที่เคยได้จากรพ. แต่หมอบอกว่าจ่ายให้ไม่ได้ ยาชุดนี้ต้องเป็นรพ.จ่ายเท่านั้น
✔ จาก Telemedicine นี้เองอาจจะทำให้จำนวนมูลค่าตลาดยางในช่องทาง OTC อาจจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตได้ครับ แต่ถ้ายาเฉพาะที่มีความรุนแรงยังไงก็ต้องพึ่งพาโรงพยาบาลอยู่ดีครับ
✔ นอกจากนี้ถ้าเราวิเคราะห์ #HL เราอาจต้องดูมูลค่าตลาดวิตามินและอาหารเสริมด้วยครับ ซึ่งตอนนี้อยู่ราวๆ 66,000 ลบ.ครับ และเป็นของ HL น้อยมากไม่ถึง 100 ลบ.
2️⃣ Business Model
✔ #HL เป็นบริษัทที่ลงทุนในธุรกิจร้านขายยา Icare และธุรกิจวิจัยและขายสินค้าเพื่อสุขภาพ Healthiness โดย GPM ธุรกิจ Healthiness
✔ จุดขาย HL: คือ เน้นการให้บริการและให้คำปรึกษา และเน้นราคาที่แข่งขันได้ (ผู้บริหารบอกที่นี่ไม่เชียร์ขายยายี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง)
✔ ลูกค้าหลัก: 99% จะเป็นลูกค้าทั่วไปที่อยู่ในละแวกชุมชนที่ #HL ไปตั้งครับ
✔ ช่องทางการขายหลัก: กว่า 99% ผ่านช่องทางค้าปลีกกว่า 26 สาขา
✔ ความสัมพันธ์กับลูกค้า: มีระบบสมาชิก โดยต้องลงทะเบียนผ่าน Line และสมาชิกจะได้รับส่วนลด 5%
✔ รายได้หลัก: สัดส่วนการขายหลักๆมาจากยาและอาหารเสริม 86%
▪ ยาและอาหารเสริม 61%
▪ อุปกรณ์การแพทย์และของใช้ในบ้าน 25%
▪ สินค้าสุขภาพสำหรับภายนอกร่างกาย 9%
▪ สินค้าบริโภค 4%
✔ กิจกรรมหลัก: การให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าในการซื้อยา และการใช้ Push Strategy ผ่านการจัดเรียงสินค้าตามชั้น นอกจากนี้ยังใช้การตลาดในการโฆษณาร้านยาให้คนรู้จัก
✔ ทรัพยากรหลัก: สต๊อกยา เภสัชกร ค่าเช่าที่ดินอาคารและสถานที่ โดยบริษัทมีวงจรเงินสด 18 วัน
✔ พันธมิตรหลัก: ในส่วนของการจัดจำหน่ายยาจะเป็น DKSH และ Silic Pharma ส่วนเรืองเภสัชกรจะเป็น คณะเภสัชม.ศิลปากร กับจุฬาฯ
✔ ต้นทุนหลัก: 85% เป็นต้นทุนยา, 9% เป็นค่าใช้จ่ายพนักงาน, 5% เป็นค่าเสื่อมและค่าเช่า
3️⃣ SWOT
◼️Strength◼️
✔ สาขายิ่งเยอะจะทำให้ต่อรองได้ต้นทุนสินค้าถูกลงครับ โดยถ้าต้นทุนได้ดีสุดแล้ว บริษัทยังเพิ่ม %Rebate ได้อีกครับ
✔ การเป็นพันธมิตรกับคณะเภสัชในมหาวิทยาลัย น่าจะทำให้ #HL เป็นตัวเลือกแรกๆสำหรับการฝึกงานและการทำงานครับ
✔ เป็นตัวเลือกแรกๆของบริษัทยาตามจำนวนยอดขายของบริษัทที่มากขึ้น โดยสินค้ายาเป็นสินค้าที่ผลิตมาจำกัดในแต่ละลอตและสินค้ายาพวกนี้ถ้าขายไม่หมดจะสามารคืนบริษัทยาได้ เพราะฉะนั้น จะทำให้ #HL จะเป็นเจ้าแรกๆในการได้ยาที่มีความต้องการสูงมากกว่าร้านอื่นๆได้ครับ
✔ บริษัทมีสินค้าหลากหลาย เช่น เตียงผู้ป่วยบริษัทมีขายตั้งแต่ 10,000 - 400,000 บาท
✔ มีการใช้ Data Analytics ในการหา Location การตั้งสาขา และวิเคราะห์ยอดขายของสินค้า
◼️Weakness◼️
✔ บริษัทต้องพึ่งพาคู้ค้ารายใหญ่เพียง 2 เจ้าซึ่งคิดเป็น 65% ของต้นทุนยา
✔ ต้นทุนในการซื้อยาของบริษัทเป็นต้นทุนที่ถูกที่สุดที่คู่ค้าสามารถให้ได้แล้ว เพราะฉะนั้นในการอนาคตการจะขยับ GPM ต้องมาจากการขาย Healthiness หรือสินค้าของบริษัทเอง
✔ สาขาทั้งหมดเป็นการเช่า เพราะฉะนั้นบริษัทจะเจอการปรับขึ้นค่าเช่าหรือความเสี่ยงในการไม่ได้ต่ออายุการเช่า
◼️Opportunity◼️
✔ การเติบโตของผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่เป็นโรค NCDs มีจำนวนอายุน้อยลงและมีมากขึ้น ซึ่งกลุ่มผู้ป่วยนี้ต้องใช้ยาต่อเนื่อง
✔ การเติบโตของสินค้าเวชสำอางค์ที่ต้องใช้ต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทกำลังเริ่มต้นเข้าสู่ตลาดนี้เช่นกัน
✔ การใช้วิตามินและอาหารเสริมอย่างต่อเนื่องโดยมีโควิดเป็นตัวช่วยเร่ง
✔ การคุมเข้มของกฎหมายในการขายยา
◼️Threat◼️
✔ จำนวนคู่แข่งที่เป็นร้านยา Chain Store เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
✔ การขายยาบน Internet ที่มีราคาถูกกว่าตามร้านยา (ธุรกิจสีเทา)
4️⃣ Growth Strategy
✔ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของ Healthiness จากการหาสินค้าให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า
✔ ในระยะ 3 - 5 ปีข้างหน้าจะเน้นการขยายสาขาในกทม.และปริมณฑล
✔ ภายใน 10 ปีจะขยายสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ และจะเน้นการขายสินค้านวัตกรรมของบริษัทไปสู่ต่างประเทศ
✔ จับมือกับกับประกันในการส่งยาโดยตรง เช่น Telemedicine
4️⃣ Valuation (PE)
✔ ณ วันที่ 08/07/22 บริษัทมี Market Cap 6,200 ลบ. และมี P/E ประมาณ 65 เท่า โดย 1Q/2022 มีรายได้ 375 ลบ. กำไร 30 ลบ. คิดเป็น NPM ที่ 8%
✔ P/E ระดับ 65 เท่า แสดงให้เห็นว่าคนในตลาดไม่ได้มองปัจจุบันแน่นอน มองการเติบโตในอนาคตโดยที่ราคาหุ้นได้ Price in ราคาการเติบโตในอนาคตไปแล้ว
✔ ส่วนที่สนุก คือ แต่ละคนให้การเติบโตไม่เท่ากัน ซึ่งการเติบโตหลักๆมาจากการขยายสาขาและการขาย Healthiness ได้มากขึ้น โดยปัจจุบันมีสาขา 26 สาขา ปีนี้เปิดอีก 8 สาขาคิดเป็นการเติบโต 30% และปีหน้าถ้าเปิดอีก 10 สาขาก็คิดการเติบโตปีถัดไป 29%
✔ สุดท้ายแต่ละคนก็ให้ P/E ไม่เท่ากันอีกว่าปีสุดท้ายเป็นเท่าไหร่
✔ หลักการแอดง่ายมากครับให้เราหากำไรปีเป้าหมายให้ได้ เช่น หากำไรในปีที่ 5 จากนั้นก็คูณค่า P/E ที่เราจะให้ในปีที่ 5 แล้วก็คิดลดกลับมาเป็นปัจจุบันโดยใช้ผลตอบแทนที่ต้องการ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นมูลค่าที่เหมาะสมในปีปัจจุบัน ซึ่งบางคนกังวลกับความไ่ม่แน่นอนก็อาจจะใส่ Margin of Safety ลงไปอีกก็จะเป็นจุดซื้อครับ
✔ แอดจะให้ตัวแปรลองสมมุติกันเองนะครับ ว่า “รายได้เฉลี่ยสาขาปีนี้และอนาคต”, “SSSG ปีนี้และอนาคต”, “จำนวนสาขาปีนี้และอนาคต”, “รายได้เฉลี่ยสาขาใหม่ในช่วง 12 เดือนแรก”, “ยอดขายฝั่ง Healthiness” ซึ่งอันนี้จะเป็นฝั่งรายได้
✔ ส่วน GPM ลองดูสัดส่วนยอดขาย Healthiness หรือ Icare เอาก็ได้ครับ ซึ่งถ้าเรามองว่า Healthiness จะขายดีขึ้น GPM ก็ควรดีขึ้น
✔ SG&A อันนี้จะยากหน่อย เราอาจจะสมมุติตัวเลขกลมๆยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อสาขาแล้วคูณจำนวนสาขาได้ครับ
✔ สุดท้ายประมาณการดอกเบี้ยและภาษีเราก็จะได้ NP ออกมา
✔ อีกวิธีลัดเร็วๆ “หาการเติบโต X%”, “เดา GPM จากในอดีตโดยใช้ข้อมูลปัจจุบัน”, “เดา SG&A to Sale หรือเดา NPM เลยก็ได้ครับ”
ขอให้สนุกกับการลงทุนครับ 😄
ถ้าชอบคอนเทนต์ของแอดก็ขอกด Like กด Share เป็นกำลังใจให้แอดหน่อยนะครับ 😽
Reference:
One Report 2021
Krungsri Research - แนวโน้มธุรกิจ/อุตสาหกรรม ปี 2564-2566: อุตสาหกรรมยา
ผศ.ดร.พญ.มยุรี หอมสนิท - ปรับพฤติกรรม ปลอดภัยจาก NCD
Bananas Investment - หุ้น HL ร้านขายยาพันล้าน เป้าโตแรง แซงทุกวิกฤต ปอกหุ้นเข้าปาก [2/2]
Money Chat - รู้ทันก่อนลงทุนหุ้น IPO HL
TAM-EIG - HL หุ้นร้านขายยารายแรกของไทย
#ลงทุนลงดอย #เล่าหุ้นให้ฟัง #HL
โฆษณา