Blockdit Logo (Mobile)
โลกหลากสี
•
15 ก.ค. 2022 เวลา 11:30 • สิ่งแวดล้อม
นักวิทยาศาสตร์สำรวจพบพืชที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
นั่นก็คือ "หญ้าทะเล" ที่ออสเตรเลีย
หญ้าทะเลที่ออสเตรเลีย เป็นพืชที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (ภาพ : Rachel Austin)
หญ้าทะเลเป็นพืชดอกใบเลี้ยงเดี่ยวเพียงชนิดเดียวที่วิวัฒนาการตัวเองจนสามารถเติบโตได้ในทะเล
มันเป็นพืชที่มีความสำคัญมากต่อระบบนิเวศ เนื่องจากเป็นทั้งแหล่งอาหาร ที่อยู่อาศัย ที่หลบภัย และที่สำหรับวางไข่ของสัตว์น้ำหลายชนิด
นอกจากนั้น มันยังช่วยดักตะกอนและอินทรีย์วัตถุต่างๆ รวมทั้งช่วยลดความรุนแรงของคลื่นที่จะซัดเข้าหาฝั่งด้วย
โดยปกติแล้วหญ้าทะเลจะมีความสูงไม่มากนัก และเจริญเติบโตรวมกันเป็นกลุ่ม ทำให้ดูเหมือนกับว่ามันเป็นทุ่งหญ้าที่งอกงามพริ้วไหวอยู่ใต้ทะเล
แต่ล่าสุดนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Western Australia สำรวจพบหญ้าทะเลชนิดหนึ่งที่มีลักษณะพิเศษ จนส่งผลให้มันกลายเป็นพืชที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ซึ่งหญ้าทะเลชนิดนั้นก็คือ Posidonia australis
หญ้าทะเล Posidonia australis ที่บริเวณอ่าว Shark Bay ทางด้านตะวันตกของประเทศออสเตรเลีย (ภาพ : Angela Rossen)
หญ้าทะเล Posidonia australis หรือที่รู้จักกันในชื่อ หญ้าริบบิ้นโพไซดอน (Poseidon's ribbon weed) เจริญเติบโดเป็นระยะทางไกลถึง 180 กิโลเมตร บริเวณอ่าว Shark Bay นอกชายฝั่งทางด้านตะวันตกของออสเตรเลีย
นอกจากนี้ มันยังเติบโตครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 200 ตารางกิโลเมตร (ประมาณสนามฟุตบอล 20,000 สนาม หรือเกือบเท่ากับพื้นที่ของเขตหนองจอก)
ซึ่งจากการเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจสอบลักษณะทางพันธุกรรม พบว่าหญ้าทะเล Posidonia australis ในบริเวณนี้เกิดมาจากเมล็ดเพียงเมล็ดเดียว แล้วค่อย ๆ โคลน (clone) ตัวเองซ้ำๆ โดยงอกออกมาจากเหง้าใต้ดินที่เชื่อมต่อกัน จนกลายเป็นทุ่งหญ้าใต้น้ำที่มีขนาดกว้างใหญ่แบบในปัจจุบัน
โดยนักวิจัยระบุว่าหญ้าทะเลบริเวณนี้มีอัตราการเจริญเติบโตอยู่ที่ประมาณปีละ 35 เซนติเมตร
นั่นก็แสดงว่าในปัจจุบันมันน่าจะมีอายุมากถึง 4,500 ปี !!!
นอกจากความกว้างใหญ่ของหญ้าทะเล Posidonia australis จะดูน่าทึ่งแล้ว มันยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์สนใจ
นั่นก็คือ แต่ละส่วนของมันจะต้องเจอกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันทั้งอุณหภูมิและระดับความเค็ม ซึ่งมักจะส่งผลให้พืชส่วนใหญ่เกิดความเครียดจนกระทบต่อการเจริญเติบโต แต่ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นจะไม่มีผลต่อหญ้าทะเลบริเวณนี้เลย
ซึ่งนี่ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่นักวิจัยจะต้องค้นหาคำตอบต่อไป
โฆษณา