15 ก.ค. 2022 เวลา 08:31 • หนังสือ
เราเป็นคอหนังสือคนหนึ่ง พออ่านมากก็เลยลองขีดๆเขียนๆดู ถ้าเป็นนวนิยายเราจะชื่นชอบในส่วนของคุณทมยันตี โดยเฉพาะเรื่องแนวศาสนา เราว่าสอดแทรกได้อย่างลึกซึ้งดี ส่วนแนวตัวละครเชื่อมต่อกันในแต่ล่ะเรื่อง เราจะชอบอ่านของคุณปิยะพร ทั้งเคสของตระกูลคุณวัน(ในวารวัน) เชิญอิสราชัย(เพลิงพระพรหม) หรือแม้กระทั่งตระกูลศุขวงศ์ (รากนครา) จะแบบแนวน่าติดตามว่าเล่มใหม่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับใครใน 3 ตระกูลนี้
ถ้าแนวผีๆก็ต้องนายแพทย์พงศกร และคุณภาคินัย ถ้าเป็นคุณพงศกร เรื่องที่อ่านสนุกน่าจะเป็นเสน่หาส่าหรี และหุบผาราชินี ลึกลับดี ทีสำคัญซ่อนเงื่อนด้วย ส่วนคุณภาคินัย Time หมุนเวลาตาย เราค่อนข้างชอบน่ะ ลุ้นมากเลยในส่วนของความสัมพันธ์ของเมลานี และธีร์ ถึงแม้จะไม่สมหวังก็ตาม นี่ออกแนวสปอย 555
พอดีเพิ่งอ่านหนังสือเรื่องหนึ่งจบไป เลยอยากแชร์เกี่ยวกับนวนิยายเรื่องนี้ เรื่องนี้เราตามหาเลยที่เดียว เพราะหนึ่งหายาก สองสำนักพิมพ์ไม่พิมพ์แล้ว ก็ต้องมือสองอ่าน่ะ เรื่องที่ว่ามีชื่อว่า มงกุฎหนาม โดยคุณทมยันตี เนื้อเรื่องะท้อนชีวิตและสังคม เรื่องราวความลำบากลำบนของนักเขียนของตัวเอกปวลี หรือแมวเหมียวๆ ในสมัยก่อนที่กว่าจะเกิดได้ก็สุดยากเย็นแสนเข็ญ แถมพอได้เกิดแล้วก็ยังลำบากอยู่ดี เปรียบเสมือนมี มงกุฎหนามสวมอยู่บนศีรษะ
ดังคำนำของสำนักพิมพโปรยที่ว่าทุกชีวิตเกิดมาเพราะโชคชะตาลิขิต บางชีวิต…เส้นทางสวยงาม…ไร้ขวากหนาม บางชีวิต…มีแต่อุปสรรค และผจญภัยโลกซีกมืดตลอดเวลา แต่เมื่อชีวิตก่อเกิด ใครเล่าจะหลีกหนีวิถีแห่งกรรมได้พ้น “ปวลี” จากเด็กหญิงตัวน้อย ซุกซน และช่างต่อปากต่อคำ จนทำให้ผู้คนรอบข้างต้องปั่นป่วน ใครจะคาดคิดบ้างว่า วันนี้เธอจะกลายเป็นผู้ที่เดินอยู่ในเส้นทางแห่งเกียรติยศ
มีมงกุฎหนามสวมใส่ โดยไม่มีวันรู้ได้ว่า ตัวเองจะต้องล้มแล้วลุกขึ้น เพื่อล้มใหม่ในวันข้างหน้าอีกกี่ครั้ง จากความฝันและเป็นผู้ที่เคารพในตัวเอง ได้ผันแปรให้ปวลีเกิดขึ้นในโลกแห่งบรรณพิภพ “ปลาทุกตัวต้องว่ายทวนน้ำ ปลาที่ตามน้ำ มีแต่ปลาตายเท่านั้น!” สุภาษิตบทนี้ ทำให้ปวลี…กัดฟันเดินทางมาบนเส้นทางอันโดดเดี่ยว ที่ “งาน” เป็นเครื่องชี้ขาดว่า ตนเองมีค่าเพียงใดหยาดเหงื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ความอดทน และขันติเป็นเครื่องวัดความมั่นคงในจิตใจ
เส้นทางนั้น สองข้างทางนั้น มีทั้งคน “เชียร์” ที่ให้กำลังใจ มีทั้งช่อดอกไม้ มีทั้งคนตะโกนขู่กู่ก้องทำลาย ปลายเส้นทางเล่า…บนบัลลังก์ที่เคยมีผู้พิชิตผ่านไปคนแล้ว…คนเล่า มีมงกุฎหนามวางรออยู่ เพื่อทีจะให้ผู้ผ่านมาได้สวมใส่ เพื่อแสดงถึงชัยชนะอันซ่อนความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้งไว้ภายใน ความเจ็บอันนั้น ผู้ที่เคยสวมมงกุฎหนามมาแล้วจึงจะซึมซาบได้ดี! ความอ้างว้างในใจ และอุปสรรคในอดีต
ที่ปวลีเคยคิดว่าเป็นสิ่งขมขื่น กลับกลายเป็นบทเรียนที่ดีที่สุดในชีวิต เพราะได้หล่อหลอมความคิด วิญญาณ ของปวลีให้มีความเชื่อมั่นและถ่ายเทความรู้สึกทั้งหมดนั้นให้หลั่งไหลออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง จากการมองโลกในแง่ความจริงเป็นหลัก ทำให้ชีวิตของปวลี สามารถเดินอยู่ในวิถีทางที่ถูกต้องและประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด
และเธอเชื่อมั่นว่า “ตราบใดที่หวังจะยืนอยู่ จะต้องแก้ไขปัญหาทุกปัญหาให้จงได้” ยามใดที่ทดท้อ เสียงสั่งสอนอบรมของยายอันเป็นที่เคารพ บูชา จะคอยกระซิบอยู่ข้างหูของปวลีตลอดเวลา สิ่งนี้คือแรงใจทำให้ “ROSES AMONG THE THORN” อย่างปวลี สามารถฝ่าฟันอุปสรรค และประสบความสำเร็จได้ มงกุฎหนาม
เราชอบประโยคที่ว่า ROSES AMONG THE THORN สำหรับเรากุหลาบหมายถึงความงาม ที่มีหนามแหลมคมคอยปกป้อง ดังเกียรติยศที่ต้องรักษา เป็นความงามที่มีคุณค่าที่แท้ทรู
สำหรับความรู้สึกเราหลังอ่านจบ เราว่าออกแนวสอนให้คนเรานึกถึงกรอบของการดำรงชีวิตที่ไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น สอนให้เข้าใจโลกอย่างเป็นจริง ไม่ใช่แนวโลกสวย ส่วนใหญ่นวนิยายของคุณทมยันตี ไม่ได้ให้แต่ความบันเทิง ส่วนใหญ่จะสอดแทรกกฎของโลกไว้ให้ผู้อ่านได้เก็บเกี่ยว ใครใคร่เก็บเกี่ยวก็ได้ประมาณนั้น
ส่วนตัวเล่มสีสวยดี สีออกแนวพาฝัน เรามโนว่าน่าจะเป็นตัวเอกปวลี เพราะถือดินสอ เล่มเดียวจบ หนากำลังดี แต่ล่ะบทค่อนข้างหลายหน้า ปกติส่วนใหญ่จะออกแนวสองเล่มจบหมายถึงทั่วไปของคุณทมยันตี
โดยผ่านตัวเอกของเรื่องคือปวลี เราไม่ขอใช้นางเอก เพราะเรื่องนี้ไม่มีพระเอก ตัวเอกที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ คือคุณยาย ที่ปวลี นำข้อคิดมาใช้ยามเกิดปัญหา แม้คุณยายจะไม่อยู่อีกแล้วเมื่อยามโต ส่วนอีกคนดิสทัต ที่จัดว่าเป็นกัลยามิตรที่ดี แม้จะคลาดแคล้วไม่ได้เป็นคู่ชีวิต แต่เป็นคู่คิดที่ดี ที่คอยดึงสติยามที่ตัวเอกของเราร้อน ถึงแม้จะอยู่ในรูปลิ้นกะฟัน กัดกันอย่างสร้างสรรค์ก็ตาม
แรกๆเราลุ้นน่ะว่าให้ตัวเอกเราคู่กับเพื่อนเกลอยามเยาว์อย่างดิสทัต เพราะคิดว่าตัวเอกของเราน่าจะสุขมากกว่าทุกข์ เนื่องด้วยเห็นทั้งด้านดีด้านเลวกันมาโดยตลอด แต่สุดท้ายฟลาว์จร้า ธรรมดาของคุณทมยันตีบางเรื่องจบแบบโศกนาฏกรรมแนวคู่กรรมทั้ง 2 ภาค บางเรื่องจบแบบ feel good เช่น ยอดอนงค์ หรือบางเรื่องมีแค่ตัวเอก เช่น มายา(ตัวเอกเป็นชาย) ,จิตา(ตัวเอกเป็นหญิง) ค่อนข้างหลากหลายดี
2 ประโยคที่แวปขึ้นมาตอนอ่านจบ คือ ทำดีไปเถอะ คนอื่นไม่รู้ แต่เรารู้ นั่นแหละคือสิ่งที่เราทำ และเมื่อตายไปแล้วสิ่งที่ยังเหลือให้แก่คนข้างหลังคือความทรงจำ คุณงามความดี ให้เค้านึกถึงใน่แง่งามดีกว่านึกถึงแบบก่นด่าสาปแช่ง เหมือนที่ตัวเอกทำเมื่อนึกถึงคุณยาย
เราคิดว่าใครที่อยากเป็นนักเขียนน่าลองอ่านน่ะ จะทำให้เห็นภาพของนักเขียนยุคนั้นได้ดีเลย นอกจากนี้เราคิดว่าบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนไป แต่ไม่ได้หมายความว่าสาระสำคัญจะเปลี่ยนไปทั้งหมด ให้สมกับมงกุฎหนามแห่งเกียรติยศที่ผู้สวมจะรู้สึกถึงชัยชนะ แต่ก็ซ่อนความขมขื่นที่พรางตาด้วยดอกกุหลาบที่ผู้สวมต้องรับไว้ด้วย เหมือนของทุกอย่างมี 2 ด้าน ไม่สามารถที่จะรับแต่ด้านสวยงามแต่เพียงอย่างเดียว
โฆษณา