ว่าด้วยเรื่องค้าปลีก (Retail) คำศัพท์ที่หลายคนสับสน
Retail Business คือ ธุรกิจที่มีลักษณะการซื้อขายสินค้าและบริการโดยตรงกับผู้บริโภค โดยวันนี้เราจะมาพูดถึงความแตกต่างของการตลาดแบบ ธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิม (Modern Trade) และธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Traditional Trade) ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร
ธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional Trade) คือธุรกิจที่ค้าขายตามกลไกของห่วงโซ่อุปทาน มีผู้ผลิต ตัวแทนขายส่ง และ ร้านค้าขายปลีก
ต้วอย่างเช่น #ร้านบิ๊กเต้ ร้านโชวห่วยเล็กๆ ตั้งอยู่ในแหล่งหอพักของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ที่ไม่ต้องตกแต่งหน้าร้านหรูหรา แต่มีความน่าสนใจคือการเลือกสินค้ามาวางจำหน่ายในร้าน และวิธีการสื่อสารเพื่ออธิบายคุณสมบัติหรือวิธีการใช้งานของสินค้าให้กับลูกค้าในร้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนกลายเป็นร้านที่มีฐานลูกค้า และฐานแฟนคลับในโลกออนไลน์ ทั้ง Facebook, Instagram และ Twitter ที่เห็นถึงความเป็นกันเอง ความสร้างสรรค์ และความเข้าใจกลุ่มลูกค้า
ข้อดีของธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิม คือใช้เงินเริ่มต้นลงทุนน้อย สามารถนำสินค้า หรือบริการอะไรก็ได้ที่เหมาะสมกับธุรกิจของตัวเองมาวางจำหน่าย และเจ้าของกิจการบริหารงานเอง ทำให้สนิทสนมกับผู้บริโภค สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้มากกว่า
ส่วนอีกประเภทคือ ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) คือธุรกิจค้าปลีกที่มีขนาดใหญ่ มีการวางแผนและจัดการการทำงานได้เรียบร้อยมากกว่า
โดยธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ นั้นสามารถแบ่งตามขนาดได้ 5 ประเภท ดังนี้
1. ร้านสะดวกซื้อ (Convenience Stores) เช่น 7-11, แฟมิลี่มาร์ท
2. ซูเปอร์มาร์เก็ต (Supermarket) เช่น ท็อปส์, ฟู้ดแลนด์
3. ห้างสรรพสินค้า (Department Store) - เซ็นทรัล, โรบินสัน, เดอะมอลล์
4. ดิสเคาน์สโตร์ (Hypermarket/ Cash and Carry) เช่น เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี, แม็คโคร
5. ร้านค้าปลีกขายสินค้าเฉพาะอย่าง (Specialty Store) เช่น วัตสัน, ซูเปอร์สปอร์ต, เพาเวอร์บาย, ออฟฟิศเมท, ซีเอ็ด
มีข้อดี คือมีระบบ ทำให้ง่ายต่อการบริหารงาน มีความทันสมัยมากกว่าธุรกิจร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม และมีอำนาจต่อรองกับ Suppliers มากกว่าธุรกิจค้าปลีกแบบเดิม
#BrandAgeOnline #BrandAge_AtoZ #Retail #ค้าปลีก
- 12
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
