18 ก.ค. 2022 เวลา 08:33 • ปรัชญา
จริงๆ แล้วพระพุทธเจ้าสอนอะไร
สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนตลอดคือให้ดูจิต หรือดูตัวเองนั่นเอง
หลักการคือ เข้าใจเราก็เข้าใจเขา
เรียกได้ว่ารักตัวเองก็จะรักคนอื่นได้
รู้ตัวเองก็จะเกิดความ “ใจเขาใจเรา” เราหิวคนอื่นก็หิว
ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นคือการที่เรามักจะเอาตัวเองไปเปรียบกับคนอื่น
เห็นคนอื่นไปเที่ยวก็คิดว่าฉันจะต้องไปเที่ยวด้วย
และสิ่งหนึ่งที่คนแยกไม่ออกคือ “ความคิด” กับ “ความรู้สึก”
เพราะเราโตมาโดยให้ใช้เหตุผล เชื่อความคิด หลักเหตุและผลมากกว่าความรู้สึก
เพราะความรู้สึกคือสิ่งที่วัดไม่ได้ เป็นความงมงายแบบหนึ่ง
แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกซึ้งจริงๆ มันต้องไปคู่กัน เหมือน สมถะกับวิปัสนา ซึ่งผมเรียกว่าหลักของหัวใจ
หลักของหัวใจ
คือให้หัวคิดวิเคราะห์ข้อมูลดูเหตุผลให้ครบถ้วน แล้วสุดท้ายใช้ใจตัดสิน
เพราะต่อให้สิ่งนั้นดีแค่ไหน ถูกต้องตามหลักเหตุผลเท่าไร แต่ถ้าเราไม่ชอบ เราก็ไม่อยากทำ ไม่อยากอยู่กับมัน
กลับกันบางอย่างเอาแค่ชอบแต่หาเหตุผลไม่ได้ เรายังเลือกให้สิ่งนั้นมาอยู่กับเรา
มันแลดูเอาแต่ใจนะ แต่ถ้าสั่งเกตจุดนี้จะเห็นว่า ใจ/ความรู้สึกนั้น มันครอบคลุมกว่าเหตุผล
ซึ่งก็แปลกว่าในชีวิตปกติคนทั่วไป ใช้เหตุผลในการใช้ชีวิตมากกว่าใช้ใจ
มันเลยกลายเป็นว่า คนกลายเป็นเครื่องจักร
เพราะทำตามโปรแกรมของเหตุและผล แต่ไม่ได้มีความสุขหรืออยากที่จะทำจริงๆ
อีกเช่นกัน
ระบบความงมงาย ระบบอนาล็อก มันวัดค่าไม่ได้ แต่จะรู้ได้จากการสังเกต
ถ้าคุณสังเกต คุณจะเห็นว่า
งานหรือการกระทำอะไรก็ตามที่ใช้ ใจ/ความรู้สึก ทำนั้นจะออกมาได้ผลดีกว่าทำแบบตามโปรแกรม
และถ้าคุณได้เจอสิ่งที่คุณชอบและรู้สึกไปกับมัน ต่อให้สิ่งนั้นเป็น “งาน”
คุณก็จะๆไม่รู้สึกว่าทำงานเลยด้วยซ้ำ
ทุกย่อหน้าคุณจะเห็นความขัดแย้งในทุกเรื่องของ
ความปกติของคนส่วนใหญ่ กับความผิดปกติของคนส่วนน้อย
ทั้งที่ถ้ามองในเหตุผลและความจริง ไม่ได้ตามกฎหรือกรอบที่วางไว้
คุณจะพบว่าคนส่วนน้อยคือสิ่งที่ลึกๆ คุณอยากเป็น
เรื่องที่อาจจะช่วยให้เห็นภาพง่ายในเรื่องนี้ คือเรื่องของการไปเที่ยวของคนกรุง
เพราะผมอยู่ต่างจังหวัด ผมเจอเสมอเวลาคุยเรื่องการใช้ชีวิต
คนกรุงจะบอกว่าอยู่ต่างจังหวัด “ดีเนอะ รถไม่ติด ค่าครองชีพไม่แพง ไม่แก่งแย่ง...”
แต่พอถามว่า แล้วถ้าให้มาอยู่ จะอยู่ไหม
คำตอบคือ “ไม่”
นี่คือความจริงอันน่าประหลาดใจของคนส่วนใหญ่
เราจะอยู่รอดได้ด้วยการปรับตัว
ถ้าคุณรอดทั้งรอดจากการติดเชื้อ รอดจากพิษเศรษฐกิจ ธุรกิจในช่วงโควิดที่ผ่านมา
ยินดีด้วย คูณผ่านบททดสอบของ “การปรับตัว”
แม้จะมีหลายทฤษฎีที่บอกว่าทำไมไดโนเสาร์จึงสูญพันธุ์
แต่ก็พบว่า ยังมีสัตว์ที่อยู่มาตั้งแต่ในยุคไดโนเสาร์ที่ไม่สูญพันธุ์
คือสัตว์ที่ปรับตัวได้ เช่นแมลงสาป
กับสัตว์ที่ไม่ได้ปรับตัว แต่มีระบบที่สุดยอดในการทนต่อการเปลี่ยนแปลงคือจระเข้
แต่ถ้าจะสังเกตคือเรื่องของ “ขนาด”
สัตว์ส่วนใหญ่ที่สูญพันธุ์นั้นมีขนาดใหญ่มาก
แม้จระเข้จะไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไร แต่ขนาดก็เล็กลงมาจากยุคในโดเสาร์เป็นอันมาก
ผมจึงมี 2 ระบบเช่นกันในการอยู่ร่วมกับคนส่วนใหญ่ในสังคมโลกนี้
1.ปรับตัว และปรับบนความ “เล็ก”
ถ้าคุณอยู่ในสาย “คนบ้า” 1 เปอร์เซ็นต์นี้ คุณน่าจะได้ยินที่เขาบอกว่า
หากเกิดอะไรก็ตาม แม้แต่สงครามโลกครั้งที่ 3 คุณจะรอด หาคุณถือศีล 5
เพราะศิลไม่ใช้ข้อกำหนด แต่เป็นข้อควรปฎิบัติ ที่ลึกๆ คือการปรับตัว
แต่ถ้าจะเอาพื้นๆ ที่พระพุทธเจ้าบอกมาจนเป็นเรื่องที่พบเห็นปกติทั่วไปคือเรื่องการทำบุญทำทาน
โดยเฉพาะการทำทาน คือการลดละสิ่งที่ไม่จำเป็น
คิดง่ายๆ ถ้าคุณคุณตาย สิ่งที่คุณสะสมแบบที่เป็นความชอบส่วนบุคคล มันคือสิ่งที่ทำให้คนอยู่ต่อนั้นลำบาก เพราะเขาไม่เข้าใจว่าคุณมีไปทำไม และไม่รู้จะเอาไปให้ใครหรือทำยังไงต่อ
หากคุณยังมีชีวิต คุณสามารถลด ละ เลือกสิ่งของเฉพาะเหล่านี้ จัดการให้สิ่งนั้นเดินทางไปยังที่อื่นแทนที่จะอยู่กับคุณ คุณจะตัวเบาและเล็ก
นอกจากนี้การถือศีล แบบไม่ได้เคร่งงมงาย จะทำให้คุณเป้นคน “อยู่ง่ายกินง่าย”
นั่นคือเหตุผลที่ทำไมพระพุทธเจ้าถึงทานเนื้อสัตว์
เพราะการบิณบาตร คือการ “ขอ” ไปขอเขาแล้วยังเรื่องมากก็คงไม่ดี
โดยเฉพาะขอเขากิน จะไปกำหนดว่าไม่เอานั่นไม่เอานี่ คนให้ก็อาจจะเบื่อที่จะให้
แทนที่จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ก็อาจตายเพราะอดตาย
เพราะเจตนาในการกินคือ “ประทังชีวิต” หรือกินเพื่ออยู่
ไม่ได้มีเจตนาในความ “อยาก” ที่จะกินเนื้อสัตว์ แต่อย่างใด
พอเราตัวเบา อยู่ง่ายกินง่ายแล้ว หมายความว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นแบบไหน จะเกิดเหตุการณ์อะไร เราก็ตัวเบา ตัวเล็ก พร้อมที่จะปรับตัว พร้อมที่จะอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรือยึดติด
2.วิชา “ก้อนหิน”
มันไม่มีอะไรมากเลย อย่างที่บอก เราเอาวิธีทำเลย ไม่มีกั๊กหรือให้แค่ทฤษฎี
วิชานี้ก็ตามตัวคือทำตัวให้เป็นก้อนหินก้อนหนึ่ง
ความเป็นก้อนหินคือ “ไม่น่าสนใจ ไร้ค่า ไม่โดดเด่น นิ่งๆ”
แต่ก็ “มีน้ำหนัก ไม่ถึงกับเกะกะ ไม่ถึงกับไร้ประโยชน์”
ให้เอาจระเข้เป็นไอดอล หัวใจของวิชานี้คือความอดทน
แต่เอาจริงๆ ถ้าเราชิน เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องอดทนอะไร
(หลักการเดียวกับการปฎิบัติแบบทุกขณะจิต หรือทำให้เป็นกิจวัตร)
สังเกตเวลาจระเข้ล่าเหยื่อ ก็ไม่รู้เรียกว่าล่ารึเปล่า
เพราะสิ่งที่จระเข้เป็นคืออยู่นิ่งๆ รอแค่เหยื่อมาใกล้ แล้วก็มีทีเด็ดตรงกรามที่แข็งแรงและเขี้ยวที่แหลมคมพร้อมพละกำลังที่จะจัดการเหยื่อให้อยู่หมัด (ขณะเขียนประโยคนี้ผมเห็นภาพเป้นคลิ๊ปเลยที่แบบจระเข้ลอยตัวนิ่งๆ มีตีขาลอยบนน้ำ แล้วทันใดนั้นจระเข้ก็จัดการ “เหยื่ออย่างรวดเร็ว” และกลับไปสู่ความสงบเหมือนเดิม)
กลับมาที่สังคมมนุษย์เรา
เราจะสามารถอยู่ในสังคม แม้แต่อยู่ในกลุ่มที่แอคทีฟ ที่ผมได้ทดลองเข้าไปอยู่แล้ว
จะพบว่าถ้าคุณโดดเด่น คุณก็จะถูกเรียกร้องให้ต้องทำโน่นนี่นั่นแบบขาดไม่ได้
บางครั้งไม่ได้อยากร่วมกิจกรรมก็ต้องร่วม
แต่ถ้าคุณเป็นก้อนหิน คุณทำตัวเป็นก้อนหินที่ช่วยเป็นน้ำหนัก เพิ่มปริมาณให้กลุ่มดูแข็งแรง ไม่เบาไม่ปลิวไปตามลม มีหน้าที่ๆ ไม่โดดเด่น แต่ไม่สำคัญมาก และคุณจะสามารถหายตัวไปได้ โดยที่ไม่มีใครสังเกต ซึ่งมันคือความอิสระที่อยู่ในกลุ่มแต่ไม่ได้ต้องอยู่ในกรอบ โดยไม่ต้องแหกคอกหรือปีนรั้วหนีกลุ่มไป
โฆษณา