19 ก.ค. 2022 เวลา 12:16 • กีฬา
ทำไมอย่างไรจะไต่เต้าจากทีมดิวิชั่น 5 ก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษได้ นี่คือเรื่องจริงของจาร์ร็อด โบเว่น น้อยคนที่ทำสำเร็จมาแล้ว
ในฟุตบอลอังกฤษนั้น มีสโมสรเยอะมากเป็นพันแห่ง มันเยอะขนาดจนต้องแบ่งย่อยลีกออกเป็น 21 ดิวิชั่น
สำหรับ 4 ดิวิชั่นแรก ได้แก่ พรีเมียร์ลีก, แชมเปี้ยนชิพ, ลีกวัน และ ลีกทู เราจะเรียกกลุ่มนี้ว่า "ระบบฟุตบอลลีก" พวกเขาจะได้สิทธิประโยชน์หลายอย่าง เช่น เงินในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ รวมถึงสิทธิ์ในการแข่งขันฟุตบอลคาราบาวคัพ ในแต่ละปีด้วย
2
นับจากดิวิชั่น 5 ลงไป เราจะเรียกว่า ทีมนอกระบบฟุตบอลลีก หรือชื่อย่อๆ คือ "ทีมนอกลีก" (Non-League Clubs) โดยส่วนใหญ่จะเป็นทีมกึ่งอาชีพ นักกีฬาก็จะมีงานประจำอย่างอื่น และมาเล่นฟุตบอลเป็นงานพาร์ทไทม์
1
สำหรับนักเตะเยาวชนที่อังกฤษนั้น จะมีการ "แบ่งเกรด" กันตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้าคุณได้อยู่ในสังกัด ของ 4 ดิวิชั่นบน แสดงว่าคุณฝีเท้าดีพอจนถูกทีมดังๆ รุมแย่งตัว ดังนั้นก็ไม่แปลก ถ้าจะก้าวต่อไปเป็นผู้เล่นระดับพรีเมียร์ลีกในอนาคต
แต่ถ้าสโมสรใน 4 ดิวิชั่นสูงสุด ไม่เอาคุณ แสดงว่าพรสวรรค์คุณก็ไม่ได้เด่นอะไร ก็น่าจะลงเอยด้วยการไปทำอาชีพอื่น แล้วมาเตะฟุตบอลเป็นจ๊อบเสริมเฉยๆ จะดีกว่า
ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา มีนักเตะไม่ถึง 10 คน ที่ไต่เต้าจากทีมนอกลีก ก้าวมาติดทีมชาติอังกฤษได้ เช่น เจมี่ วาร์ดี้, คริส สมอลลิ่ง, เอียน ไรท์ เป็นต้น คือมันน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยอีก
หลายคนเลยบอกว่า จะเป็นนักเตะดังได้หรือไม่ เอาจริงๆ มันวัดกันตั้งแต่อายุไม่เกิน 15 แล้ว ถ้าหากอายุ 15 แล้วยังหาทีมใน 4 ดิวิชั่นบนอยู่ไม่ได้ ก็อย่าเอาดีทางนี้เลย ทำอาชีพอื่นแล้วเล่นฟุตบอลเพื่อสุขภาพก็พอแล้ว
2
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ มีนักเตะคนหนึ่ง ที่เริ่มต้นจากทีมนอกลีก แต่สุดท้ายไขว่คว้าความฝันของตัวเองได้ เขาคนนั้นมีชื่อว่า จาร์ร็อด โบเว่น
2
โบเว่น เกิดที่ลีโอมินสเตอร์ เมืองเล็กๆ ที่มีประชากรแค่ 10,000 คนเท่านั้น โดยลงเล่นกับทีมเยาวชนชื่อลีโอมินสเตอร์ ไมเนอร์สในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า แต่ถามว่าเด่นไหม ก็ไม่ได้เด่นอะไร เขาไม่เคยถูกแมวมองรุมจีบแต่อย่างใด
1
แต่แพสชั่นของโบเว่น คืออยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ และอยากติดทีมชาติอังกฤษให้ได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสรหลายแห่ง ถ้าหากผ่านเกณฑ์ก็จะได้กลายเป็นนักเตะอะคาเดมี่
แต่ปัญหาคือเขาไปสอบที่ไหนก็ตกหมด ไม่มีใครสนใจเขาเลย
ตอน 10 ขวบ โบเว่นนั่งรถ 3 ชั่วโมงไปกลับ จากบ้านที่ลีโอมินสเตอร์ ไปเทสต์ฝีเท้ากับแอสตัน วิลล่าที่เมืองเบอร์มิงแฮม หลังจากเทสต์อยู่ 1 สัปดาห์ ก็ได้คำตอบว่า "ไม่ผ่าน"
โบเว่นพยายามแล้ว แต่หาทีมไม่ได้เลยเพราะไม่มีใครเอา จนสุดท้ายก็หาสังกัดอยู่จนได้ นั่นคือทีมชื่อ เฮเรฟอร์ด ยูไนเต็ด ในคอนเฟอเรนซ์ลีก (ดิวิชั่น 5) ซึ่งก็ไม่ใช่ทีมที่ดีนัก แต่อย่างน้อยก็ให้โอกาสเขาลงเล่น โบเว่นเลยอยู่ไปก่อน แล้วค่อยหาหนทางขยับขยายในอนาคต
ในปี 2013 ตอนโบเว่นอายุ 16 ปี สโมสรเฮเรฟอร์ด ยูไนเต็ด ประกาศยุบทีมเยาวชน เพราะทีมขาดทุนยับ ไม่มีเงินมาทำทีมเด็กอีกแล้ว โบเว่นจึงตัดสินใจไปคัดตัวกับสโมสรอื่นๆ เพื่อหาทีมลงเล่น ซึ่งก็โดนปฏิเสธมาทุกทีม
1
โอกาสใกล้เคียงที่สุดของโบเว่น คือตอนไปคัดตัวกับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ทุกอย่างดูมีแนวโน้มดี เพราะคาร์ดิฟฟ์ให้เขาทดสอบฝีเท้าหลายรอบ รวมแล้วกินเวลา 6 สัปดาห์ ดูเหมือนจะเซ็นสัญญากันแน่ๆ แต่คำตอบกลับเป็นแบบเดิม นั่นคือ "ไม่เอา" ซึ่งครั้งนี้โบเว่นเฮิร์ทมาก
โบเว่นกล่าวว่า "ผมไปทดสอบฝีเท้ากับคาร์ดิฟฟ์และคิดว่าตัวเองทำได้ดีเลยนะ จากนั้นไม่นานสโมสรก็โทรหาคุณพ่อของผม ผมบอกได้เลยทันทีว่ามันเป็นข่าวร้ายแน่ ผมไม่รู้ว่าจะไปยังไงต่อ ผมไม่มีแผนสอง เป้าหมายของผมมีแต่ฟุตบอลเท่านั้น ที่โรงเรียนผมก็ไม่ใช่เด็กที่ฉลาดซะด้วย"
โชคยังดีของโบเว่น ที่สโมสรเฮเรฟอร์ด ยูไนเต็ด รวบรวมเงินก้อนสุดท้าย มาเปิดทีมอะคาเดมี่ต่อ ทำให้โบเว่นได้กลับมาอยู่ทีมเดิมอีกครั้ง
โบเว่นเคยท้อแท้ที่เขาฝีเท้าไม่ถึงจึงไม่ถูกคัดไปอยู่อะคาเดมี่ของทีมดังๆ แต่ถึงจุดหนึ่งเขาก็รู้ว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งเศร้าอะไร ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดดีกว่า ดังนั้นเขาจึงตั้งใจฝึกหนักเต็มที่ ต่อให้อยู่ดิวิชั่น 5 เขาก็จะเป็นนักเตะดิวิชั่น 5 ที่ดีที่สุดให้ได้
ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของโบเว่น ทำให้เขาเก่งขึ้น โบเว่นรู้แล้วว่าตำแหน่งดีที่สุดของตัวเองเป็นปีกขวาจะดีกว่ากองหน้าตัวเป้า จึงย้ายตำแหน่งเล่น แล้วพอย้ายปั๊บ กลายเป็นว่าฟอร์มดูดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก
โบเว่นฝึกฝนทั้งที่สนามซ้อมและที่บ้าน โดยเขากับคุณพ่อจะเอารถเข็นตักดิน (Cartwheeler) มาใส่ปูนซีเมนต์ผสมแล้วลากขึ้นลงภูเขาเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น อะไรที่เด็กคนอื่นไม่ทำ โบเว่นจะทำให้หนักกว่าใคร
ความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร ฝีมือของโบเว่นค่อยๆ เก่งขึ้นจริงๆ กลายเป็นนักเตะที่ดีกว่าเดิม การฝึกทุกอย่างสะท้อนให้เห็นในสนาม จากผู้เล่นที่โนเนม ในซีซั่น 2013-14 เขาพาทีมอะคาเดมี่ของเฮเรฟอร์ด ยูไนเต็ด สร้างประวัติศาสตร์เข้าถึงรอบ 4 ในเอฟเอ ยูธคัพ ก่อนไปแพ้แมนฯ ซิตี้อย่างสนุก ซึ่งสำหรับทีมระดับคอนเฟอเรนซ์ ลีก นับว่ามาได้ไกลมากแล้ว
2
ในขณะที่ทีมเยาวชนผลงานดี แต่ทีมชุดใหญ่ของเฮเรฟอร์ดกำลังจะตกชั้นจากดิวิชั่น 5 ไป ดิวิชั่น 6 สุดท้ายผู้จัดการทีมชุดใหญ่มาร์ติน ฟอยล์ขอลาออกในช่วงปลายซีซั่น โค้ชทีมเยาวชนปีเตอร์ บีเดิ้ล ขึ้นมารับหน้าที่โค้ชชุดใหญ่เฉพาะกิจแทน และเขาตัดสินใจดันโบเว่น ที่อายุแค่ 17 ปี ขึ้นไปเล่นให้เฮเรฟอร์ดชุดใหญ่เป็นครั้งแรก
ในชีวิตบางทีก็เป็นแบบนี้ หลายปีไม่เคยมีโอกาสดีๆ เลย แต่พอบทจะเข้ามา มันก็มารัวๆ อยู่ที่คุณพร้อมจะรับมันหรือไม่ ซึ่งโบเว่นเขาฝึกซ้อมอย่างหนัก เตรียมกาย เตรียมใจไว้หมดแล้ว ทำให้พอได้โอกาสกับทีมชุดใหญ่ เขาเล่นได้ดีทันที
โบเว่นได้ลงเล่นใน 8 เกมสุดท้ายของคอนเฟอเรนซ์ ลีกให้เฮเรฟอร์ดชุดใหญ่ และเล่นได้ดีกว่าใครในทีม เขาเป็นคนยิงประตูชัยในเกมสุดท้ายให้เฮเรฟอร์ด เอาชนะ อัลเฟรตัน 3-2 รอดตกชั้นหวุดหวิด
แต่หลังจากรอดตกชั้นแค่ 2 สัปดาห์ สโมสรเฮเรฟอร์ดประกาศยุบทีม เนื่องจากทนการขาดทุนไม่ไหว ทีมล้มละลาย นั่นทำให้โบเว่นกลายเป็นผู้เล่นฟรีเอเยนต์ย้ายไปไหนก็ได้ทันที
1
ด้วยผลงานที่ดีในเอฟเอ ยูธคัพ และ ใน 8 เกมที่เล่นกับทีมชุดใหญ่ของเฮเรฟอร์ด ทำให้มีถึง 4 ทีมดัง ได้แก่ ฮัลล์ ซิตี้, เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน, แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และ วูล์ฟแฮมป์ตัน สนใจอยากได้เขาไปอยู่ด้วย สุดท้ายโบเว่นตัดสินใจเลือกฮัลล์ ด้วยการเซ็นสัญญา 3 ปี ทำให้เขากระโดดพาสชั้น จาก "คอนเฟอเรนซ์ลีก" ขึ้นมาสู่ "พรีเมียร์ลีก" ได้ในพริบตา
1
ปกติแล้ว มีน้อยมาก ที่นักเตะจากดิวิชั่น 5 จะกระโดดมาดิวิชั่น 1 ได้ขนาดนี้ ปกติก็ต้องไปผ่านระดับดิวิชั่น 4 (ลีกทู) หรือ ดิวิชั่น 3 (ลีกวัน) มาก่อน แต่เคสของโบเว่น เขากระโดดโป้งเดียวมาอยู่พรีเมียร์ลีกเลย ถือว่าเป็นอะไรที่หายากมากจริงๆ
แม้โบเว่นจะเล่นทีมชุดใหญ่ของเฮเรฟอร์ดมาแล้ว แต่พอย้ายมาอยู่ฮัลล์ เขาเล่นไม่ได้เลย ผลงานของโบเว่นตกต่ำมากตอนซ้อม คือโดนคนอื่นกระแทกกระเด็นหมด ในปีแรกกับฮัลล์เขาไม่ได้ลงสนามเลยแม้แต่เกมเดียว
2
เบน เทมเพสต์ โค้ชฟิตเนสของฮัลล์อธิบายว่า นักเตะยุคปัจจุบันจะรู้จักการเข้ายิมตั้งแต่ 10 ขวบ แต่โบเว่นไม่เคยอยู่ในระบบฟุตบอลลีก กับเฮเรฟอร์ดเขาก็ซ้อมตามมีตามเกิด ดังนั้นจึงไม่เคยเข้ายิม และร่างกายก็ไม่พร้อมสำหรับเกมระดับสูง กล้ามเนื้อเขาไม่แข็งแรง โดนชนก็ล้ม วิ่งก็ไม่เร็ว
1
ฮัลล์ ตัดสินใจว่า แทนที่จะฝึกแบบครึ่งๆ กลาง งั้นจับโบเว่นเข้ายิมล้วนๆ ไปเลยปีนึงละกัน ทำให้ในปีที่ 2 เขาก็ไม่ได้ลงสนามเลยแม้แต่เกมเดียว
1
โค้ชฟิตเนสของฮัลล์เล่าว่า "สิ่งที่ดีที่สุดคือจับเขาเข้ายิมให้หนักที่สุด แต่ปัญหาคือถ้าคุณไปบอกนักเตะว่านายจะไม่ได้เล่นฟุตบอลอีกสักพักนะ รับรองได้ว่ามันจบไม่สวยแน่ ซึ่งเขาก็ไม่พอใจจริงๆ เขาผิดหวังและเสียใจมาก จาร์รอดหลบไปร้องไห้อยู่คนเดียว"
1
โบเว่น ยอมกลืนน้ำตาแล้วทำตามที่โค้ชฟิตเนสบอก เขาเข้ายิมเพื่อเล่นเวทเทรนนิ่ง ซึ่งเป็นรูทีนที่น่าเบื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าหากสโมสรบอกว่าวิธีนี้ดี เขาก็จะลองฮึดดูสักตั้ง
ผ่านไป 2 ฤดูกาล เข้าสู่ซีซั่นที่ 3 กับฮัลล์ (2016-17) คราวนี้สิ่งที่เขาฝึกซ้อมมาจากการเข้ายิมมาตลอดปี มันผลิดอกออกผล โบเว่นแข็งแรงขึ้น ความเร็วเพิ่มขึ้น กระโดดสูงขึ้น ทุกอย่างแกร่งขึ้นทะลุเพดานหมด
3
คราวนี้เมื่อโบเว่นพร้อมแล้ว ทำให้เฮดโค้ชลีโอนิด สลัตสกี้ ตัดสินใจให้โอกาสเขาลงสนามเป็นบางนัด ก่อนที่ในซีซั่นที่ 4 กับฮัลล์ (2017-18 ลีกแชมเปี้ยนชิพ) โบเว่นจะยึดตัวจริงยาวๆ ในตำแหน่งปีกขวาตัวหลักของสโมสร
แกรนท์ แม็คคานน์ โค้ชคนหนึ่งที่เคยร่วมงานกับโบเว่นให้สัมภาษณ์ว่า "จาร์รอดซ้อมหนักจนลืมตาย ไม่ว่าโปรแกรมจะโหดแค่ไหน เขาไม่เคยพลาดแม้แต่เซสชั่นเดียว"
ไม่ใช่แค่การซ้อมที่หนัก แต่ตัวโบเว่นยังมีความกระหายเสมอ ว่าอยากจะไต่เต้าเป็นผู้เล่นคุณภาพ ที่ได้ลงตัวจริงอย่างสม่ำเสมอในพรีเมียร์ลีก เขาบอกว่า การได้เห็นผู้เล่นที่ตัวเองซ้อมมาด้วยกัน อย่างแฮร์รี่ แม็กไกวร์ เป็นกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลก และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสันได้แชมป์ยุโรป มันทำให้เขาอยากจะไปสู่จุดนั้นบ้างสักวัน
หลังจากอยู่ฮัลล์มา 6 ปี ในที่สุด เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ก็ตัดสินใจจ่ายเงิน 22 ล้านปอนด์ ซื้อโบเว่น ในเดือนมกราคม 2019 หลังจากอดทนมาหลายปี โบเว่นก็ได้เล่นเป็นตัวจริงในทีมระดับพรีเมียร์ลีก สมใจอยาก
1
ตอนมาอยู่เวสต์แฮมใหม่ๆ ถามว่าโบเว่นเล่นดีไหม ก็พอโอเค เขาวิ่งเร็ว แข็งแรง แต่ปัญหาคือเทคนิคน้อยเกินไป พูดกันตรงๆ ในช่วงแรกเขายังไม่ดีพอที่จะติดทีมชาติอังกฤษจริงๆ แต่ก็เป็นโชคดีของโบเว่น ที่ได้รับการส่งเสริมที่ดีมาก จากต้นสังกัดใหม่เวสต์แฮม
1
หลังจบการซ้อมปกติ รัช กรีน สตาฟฟ์ของเวสต์แฮมจะเปิดวีดีโอของอาร์เยน ร็อบเบน ให้โบเว่นดู และแนะนำว่าการเป็นปีกขวา ไม่ใช่จะกระชากสุดเส้นแล้วไปเปิดอย่างเดียว แต่เขาสามารถหักเข้าในแล้วยิงด้วยซ้ายแบบร็อบเบนได้เลย
จากนั้นก็เปิดวีดีโอของ ฟรองค์ ริเบรี่ ให้ดูอีกคน เพื่อให้เห็นว่า คนถนัดขวาอย่างริเบรี่ สามารถเล่นฝั่งซ้ายได้อย่างไม่ขัดเขิน และริเบรี่จะมีท่ายึกยัก เดี๋ยวหักซ้าย หักขวา ซึ่งถ้าโบเว่นศึกษาดีๆ เขาอาจจะเล่นบอลได้หลากหลายกว่าการกระชากไปริมเส้นอย่างเดียว
1
หลังดูวีดีโอจบ สจ๊วร์ต เพียร์ซ อดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษ ที่เป็นโค้ชของเวสต์แฮม จะจำลองสถานการณ์ 1 on 1 ให้โบเว่นเลียนแบบจังหวะของร็อบเบน หรือ ริเบรี่ ที่เพิ่งดูไป เพื่อเทสต์ว่าจะเลี้ยงผ่านกองหลังได้จริงๆ หรือไม่
การมีเทรนเนอร์ที่ดี ช่วยเติมเต็มให้โบเว่นเล่นฟุตบอลได้หลากหลายมากขึ้น จากที่เคยมี Physical ที่ดีอย่างเดียว ตอนนี้โบเว่นก็มีเทคนิคดีขึ้นด้วย
1
ในซีซั่น 2021-22 ในที่สุดโบเว่นวัย 24 ปี ก็ผลิบาน เขายิง 12 ประตู แอสซิสต์ 10 ครั้ง ซึ่งทั้งพรีเมียร์ลีก มีนักเตะแค่ 3 คนเท่านั้น ที่ยิงและแอสซิสต์ถึงหลักสิบในปีเดียว ซึ่งได้แก่ โม ซาลาห์, เมสัน เมาท์ และอีกคนก็โบเว่นนี่แหละ
3
ร่างกายแข็งแรง และสกิลที่ยอดเยี่ยม ทำให้เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลยังออกมาชมเลยว่า "ผมชอบโบเว่นมากจริงๆ เขาทะยานขึ้นมาจากฮัลล์ และใช้เวลาน้อยมากที่แสดงทำให้ทุกคนได้รู้ว่า เขาเล่นในพรีเมียร์ลีกได้สบายๆ เขากระโดดมาได้ไกลจริงๆ"
เมื่อทุกอย่างพร้อม ในที่สุดแกเร็ธ เซาธ์เกต ก็เรียกเขาติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ในที่สุด ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2022 ในเกมเนชันส์ลีก กับฮังการี และมีโอกาสดี ที่จะติดทีมสิงโตคำรามไปฟุตบอลโลกที่กาตาร์ด้วย
สิ่งที่ผู้คนประทับใจโบเว่นคือ เขาไต่เต้ามาจากทีมนอกลีก มาจากดิวิชั่น 5 จุดเริ่มต้นของเขานั้น ไม่มีทีมใน 4 ดิวิชั่นบน สนใจจะดึงตัวไปอยู่อะคาเดมี่ด้วยซ้ำ แต่เขาก็มาถึงตรงนี้ได้
มันแสดงให้เห็นว่าแม้จุดเริ่มต้นจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าคุณพัฒนาตัวเองอย่างถูกต้อง ก็อาจจะประสบความสำเร็จสูงสุดได้เหมือนกัน
1
จากเรื่องของโบเว่นนั้น แสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบ 2 อย่าง ที่ทำให้ใครสักคนพัฒนาจากทีมนอกลีก สู่ทีมชาติอังกฤษได้
อย่างแรกคือความมุ่งมั่นของผู้เล่นเอง คือคุณต้องยอมรับก่อน ว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิดเท่าเด็กบางคน
อย่างโบเว่นก็ไม่เหมือนพวกราฮีม สเตอร์ลิ่ง, ฟิล โฟเด้น หรือ เจดอน ซานโช่ ที่มีสโมสรใหญ่รุมแย่งตัวกันตั้งแต่เด็ก ดังนั้นคนแบบเขาต้องพยายามยิ่งกว่าเด็กคนอื่นเป็นเท่าตัว
1
สิ่งที่จะชดเชยเรื่องพรสวรรค์ คือพรแสวง และโบเว่นก็ทำมันตลอด ฝึกหนักซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่เคยขาด
3
ส่วนอย่างที่สอง คือการได้รู้จักกับคนรอบตัวที่ดี
1
ที่เฮเรฟอร์ด เขาเจอโค้ชที่เชื่อใจดันเขาไปเล่นทีมชุดใหญ่ทั้งๆ ที่อายุแค่ 17 ปี จากนั้นพอไปอยู่ฮัลล์ก็เจอโค้ชฟิตเนสที่ปั้นร่างกายเขาให้แข็งแกร่งจนใช้ต่อสู้กับคู่แข่งได้
แล้วพอมาเวสต์แฮม ก็ได้โค้ชที่คอยพัฒนาเทคนิค จากที่เคยเป็นสไตล์ดิบๆ เล่นด้วยสัญชาตญาณ ก็กลายเป็นผู้เล่นที่มีเทคนิคดีขึ้น หลากหลายขึ้น มีมิติมากขึ้น
ดังนั้นถ้าถามว่า ถ้านักเตะสักคนที่ไม่มีต้นทุนอะไร ไม่มีพรสวรรค์ตั้งแต่เด็ก จะปลุกปั้นจนติดทีมชาติชุดใหญ่ได้อย่างไร คำตอบก็คือ ตัวนักเตะต้องตั้งใจและจำเป็นต้องได้พบเจอกับคนดีๆ ที่จะช่วยส่งเสริมให้เก่งขึ้นด้วย
2
ในโลกของฟุตบอลนั้น ถ้าคุณตั้งใจจริงแต่ขาดคนดีๆ คอยแนะนำ ก็จะไปไกลแค่ระดับหนึ่ง เช่นเดียวกับการมีโค้ชดีๆ คอยให้ความรู้ แต่ตัวเองไม่คิดจะรับฟังทำตาม มันก็ยากจะก้าวหน้าได้
คนที่จะไปไกลที่สุด ตัวเองต้องใจสู้ และต้องมีคนรอบตัวดี ซึ่งก็โชคดีของโบเว่นจริงๆ ที่ตลอดเส้นทางอาชีพของเขา มี 2 ข้อนี้ครบเลย
 
#REACHFORTHESTAR
1
โฆษณา