20 ก.ค. 2022 เวลา 10:33 • ไลฟ์สไตล์
เมื่อได้ยินได้ฟังว่า "มันไม่ใช่ตัวใช่ตน"
แล้วมันไถ่ถอนได้หรือไม่ได้ ?
หรือมันถอนได้สักกี่มากน้อย ?
เรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำคัญ เพราะความยึดมั่นถือมั่นนั้นมันเหนียวแน่น แม้จะได้ยินได้ฟังว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันก็ถอนไม่ได้ เพราะความยึดมั่นถือมั่นนั้น มันเหนียวแน่นเหลือเกิน
เหมือนว่าบุคคลเป็นสามีภรรยากัน มีความรักความผูกพันอย่างเหนียวแน่น แม้จะรู้ว่าเขาคบชู้สู่สาวอะไร มันก็ยังเกลียดเขาไม่ได้ บางทีจะหย่ากันมันก็หย่าไม่ได้ แม้ว่าเห็นอยู่ว่าเป็นความไม่ซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อกันแล้วมันก็ยังหย่ากันไม่ได้ เพราะความรักความผูกพันมันเหนียวแน่น เดี๋ยวนี้ไอ้เรื่องความยึดถือว่าตัวว่าตนนี้ มันเหนียวแน่นไปกว่านั้นอีก
เคยยึดถืออะไรว่าเป็นตัวตนเป็นของตน แม้จะมีผู้มาบอกให้ฟัง คือพระพุทธเจ้านั่นแหละ สอนต่อๆ กันมาบอกต่อๆกันมาว่า ไม่ใช่ตน ถ้าความเข้าใจนั้นมันไม่เพียงพอ มันก็ไม่หวั่นไหวเลย ถ้าความเข้าใจเพียงพอ มันอาจจะลังเลบ้างแต่มันก็ยังละไม่ได้
มันยังจะต้องมาประพฤติปฏิบัติที่เรียกกันว่า กระทำในทางจิตทางใจ ให้เกิดความคิดเห็นแจ่มแจ้งยิ่งๆขึ้นไปมันจึงจะค่อยละได้ แล้วก็คอยระมัดระวังให้เป็นอย่างดี ให้มันมีแต่เห็นตามที่เป็นจริงอยู่อย่างนี้ นานเข้ามันจึงจะละหมด
ละหมดเมื่อใดมันก็ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ก็เรียกว่าหลุดพ้นจากกองทุกข์ ถ้ายังยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดโดยความเป็นตัวตนหรือของตนอยู่แล้ว มันก็ยังทนทุกข์ ยังจะต้องทนทุกข์ เพราะนั่นมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันต้องให้เกิดทุกข์
ต่อเมื่อเห็นตรงกันข้ามมันเป็นสัมมาทิฏฐิ มันจึงจะไม่เกิดทุกข์ ขอให้พอกพูนสัมมาทิฏฐิ ให้ปลูกฝังสัมมาทิฏฐิ เหมือนเราปลูกต้นไม้อย่างดี บำรุงรักษาอย่างดี ให้เป็นต้นไม้ที่เจริญงอกงามฉันใดข้อนี้ก็ฉันนั้น
จงพยายามปลูกฝังสัมมาทิฏฐิ เหมือนกับเอาเมล็ดพืชลงฝังในดินงอกหน่อออกมาแล้วก็เลี้ยงดูให้ดี ให้งอกให้งามเจริญเติบโตจนออกดอกออกผล
นี่แหละเมื่อได้ฟังพระธรรมคำสอนในพระศาสนาแล้ว ต้องเอาไปกระทำให้มาก กระทำให้ชำนาญและกระทำให้ยิ่งๆขึ้นไปจนมันมีความแจ่มแจ้ง ชัดเจน ลึกซึ้งเพียงพอ สำหรับจะทำให้มิจฉาทิฏฐิหมดไป เหลืออยู่แต่สัมมาทิฏฐิ
จะต้องมีเวลาที่เพียงพอที่จะศึกษาและปฏิบัติ ยังจะต้องมีสติที่จะเพียงพอที่จะควบคุม ในเมื่อกระทบกันเข้ากับอารมณ์ในโลกนี้
พุทธทาสภิกขุ
ภาพ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก
โฆษณา