21 ก.ค. 2022 เวลา 00:22 • ศิลปะ & ออกแบบ
Vincent Van Gogh ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ของโลก เสียชีวิตในวันนี้ 130 ปี ก่อน เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 1890 ที่หมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Auvers-sur-Oise ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ของ Paris ห่างกันเพียง 27 กิโลเมตร Van Gogh ใช้เวลา 70 วันสุดท้ายของชีวิตที่นี่ เขาผลิตผลงานภาพวาดถึง 77 ชิ้น ไม่รวมถึงภาพร่าง และภาพที่วาดไม่เสร็จอีกนับไม่ถ้วน
เกิดอะไรขึ้น ในช่วงเวลา 2 วัน สุดท้าย ของ ชีวิต ของศิลปิน ที่ทุกข์ทรมานจากโรคซึมเศร้า ในบ่ายของวันที่ 27 กรกฎาคม 1890 เขาออกจาก Auberge Ravoux ที่พัก พร้อมผืนผ้าใบออกไปวาดภาพตามปกติ ซึ่งภาพวาดนี้ได้กลายเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของเขา ก่อนที่จะพยายามจบชีวิตตัวเองด้วยปืนลูกโม่ Lefaucheux ขนาด 7มม. คืนนั้นเขากลับไปที่พัก พร้อมบาดแผลกระสุนปืนร้ายแรง เขาเสียชีวิตในอีกสองวันต่อมาในวันที่ 29 กรกฏาคม 1890
เมื่อ วันที่ 27 กรกฎาคม ที่ผ่านมา 130 ปี หลังจากเหตุการณ์ นั้น Emilie Gordenker, general director ของ the Van Gogh Museum ที่ Amsterdam และ Willem van Gogh ทายาท ของครอบครัว Van Gogh เขาเป็น great-grandson (เหลน ทวด) ของ Theo น้องชายของ Vincent ได้แถลงว่า ได้ค้นพบตำแหน่งที่แน่นอน ที่ Vincent van Gogh วาดภาพสุดท้าย เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่เขาจะยิงตัวเอง
โดยในตอนเช้าของวันที่ 27 กรกฎาคม ทั้ง Emilie Gordenker และ Willem van Gogh, ได้เข้าร่วมในพิธีการเปิดตัวแผ่นโลหะที่ระลึกประกาศเกียรติคุณอย่างเป็นทางการในหมู่บ้าน Auvers-sur-Oise ที่ตำแหน่งที่ค้นพบนี้ แสดงให้เห็นว่าทั้งครอบครัวและพิพิธภัณฑ์เชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าในที่สุดก็ค้นพบตำแหน่งของภาพวาดสุดท้าย
รูปภาพ “Boomwortels“หรือ “Tree Roots”ในภาษาอังกฤษ ถูกระบุว่าเป็นผลงานสุดท้ายของเขาไม่กี่ปีที่ผ่านมา การสืบค้นเริ่มขึ้นในปี 2012 เมื่อนักวิจัยอาวุโสของพิพิธภัณฑ์ Louis van Tilburg และผู้เชี่ยวชาญด้านพืช Bert Maes ระบุว่า Tree Roots เป็นภาพวาดสุดท้ายของ Van Gogh หลักฐานที่สำคัญที่สุดมาจากจดหมาย ของ Andries
Bonger พี่ชายของ ภรรยาของ Theo ในปี 1893 ว่า Vincent ได้วาดภาพ ป่า เต็มไปด้วย แสงแดด และชีวิต (sous-bois (forest scene) full of sun and life) ใน ตอนเช้าก่อนเขาจะเสียชีวิต
จดหมายฉบับนี้ถูกใช้เพื่อสนับสนุนว่า”Tree Roots” เป็นงานศิลปะชิ้นสุดท้ายของ Van Gogh ล้มล้างความเชื่อที่มีมายาวนานว่า Wheatfield with Crows เป็นงานชิ้นสุดท้าย
Wouter van der Veen ผู้อำนวยการด้านวิทยาศาสตร์ของ Institut Van Gogh ค้นพบสถานที่ที่ Van Gogh วาด Boomwortels โดยบังเอิญ จากภาพบน
โปสการ์ดของ หมู่บ้าน Auvers ที่ถ่ายภาพไว้ตั้งแต่ปี 1900-1910 ซึ่งเขายืมมาจาก Janine Demuriez หญิงชาวฝรั่งเศสอายุ 94 ปีที่เก็บโปสการ์ดประวัติศาสตร์นับร้อย เป็นภาพนักปั่นจักรยานบน ถนน Rue Daubigny หยุดถัดจากแนวลาดชันของเนินเขาข้างทาง ซึ่งสามารถมองเห็นรากของต้นไม้ได้อย่างชัดเจน มันทำให้เขานึกถึงภาพวาด” Boomwortels” ในทันที ความคล้ายคลึงกันนั้นชัดเจนมาก สถานที่นี้อยู่ห่างจาก Ravoux Inn ไม่ถึง 150 เมตรซึ่ง Van Gogh พักอยู่ในเวลานั้น"
Van Gogh วาด Boomwortels ในวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1890 เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะพยายามฆ่าตัวตาย ภาพนี้ยังวาดไม่เสร็จนี้ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงเนินเขาที่ลาดชันที่มีลำต้นของต้นไม้และรากไม้
หลังจากแน่ใจในข้อสรุปของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว Wouter van der Veen ได้แจ้งการค้นพบของเขาไปที่พิพิธภัณฑ์ Van Gogh Louis van Tilborgh และ Teio Meedendorp นักวิจัยอาวุโสของพิพิธภัณฑ์กล่าวว่า “ การค้นพบนี้ดูเหมือนจะเป็นไปได้มากสำหรับเรา” นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพืช Bert Maes ก็เห็นด้วยเช่นกัน
แม้ว่าภาพใน Postcard จะถ่าย หลังจาก Van Gogh เสียชีวิต 20 ปี ในภาพ “Boomwortels “ จะเห็นป่าละเมาะ ที่ถูกตัด ไปใช้งานโดยเหลือแต่ตอ บนขอบหินปูน ที่สูงชันอย่างชัดเจน ต้น Elm บางต้นที่งอกอยู่บนกำแพงหินปูน ดูเหมือนจะหล่นมิหล่นแหล่ ราก ไม่ยึดกับดินแล้ว ความตายของพวกมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือว่าVincent กำลังเล่าเรื่องราวของเขาเอง
Van Tilborgh คิดว่า ป่าละเมาะ ที่ถูกตัดจนถึงตอ และ กระตุ้นให้หน่องอกขึ้นใหม่ ที่เรียกว่า Coppice เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตและความตายของ Van Gogh “ ราวกับว่าเขาต้องการที่จะพูดว่า: ฉันมีชีวิตอยู่และฉันได้ต่อสู้กับการกดขี่.”
Van der Veen เดินทาง ไปดูสถานที่จริง ในเดือนพฤษภาคม 2020, หลังจากการผ่อนปรน เรื่อง coronavirus pandemic เขากล่าวว่า แสงแดดที่วาดโดย Van Gogh แสดงให้เห็นว่าลายเส้นพู่กันอันสุดท้ายถูกเขียนลงในตอนท้ายของช่วงบ่าย ราว 5 ถึง 6โมงเย็น หมายความว่า Van Gogh อาจใช้เวลาทั้งวันในการวาดภาพ
“ Boomwortels ถูกวาดบน ถนน Rue Daubigny ซึ่งเป็นถนนสายหลักผ่าน Auvers-sur-Oise รากของต้นไม้และตอไม้ที่พันกันยุ่งเหยิงสามารถมองเห็นได้ในความลาดชันของเนินเขาที่นั่น แม้เวลาจะผ่านไปถึง 130 ปี
van der Veen กล่าวว่า Van Gogh จะเดินไปตามถนน Rue Daubigny
เพื่อไปที่โบสถ์ของเมืองซึ่งเขาวาดเพื่อ“ The Church at Auvers” ในเดือนมิถุนายน 1890 และเดินไปยังทุ่งข้าวสาลี ที่อยู่หลัง ปราสาท แห่ง Auvers เพื่อวาด “Wheatfield with Crows” ในเดือนกรกฎาคม และดังนั้นเขาคงเดินผ่านบริเวณนี้หลายครั้ง เขามักจะนำสิ่งแวดล้อมที่เห็นมาวาดภาพ และในที่สุดก็วาดภาพสถานที่นี้เป็นภาพสุดท้าย
มีการถกเถียงกันมานานแล้วว่าภาพวาดชิ้นใดเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของ Van Gogh เพราะเขามักจะไม่ลงวันที่ในภาพที่วาด หลายคนเชื่อว่ามันเป็น“ Wheatfield With Crows” เพราะ 1956 ภาพยนตร์ชีวประวัติ“ Lust for Life” ของ ของผู้อำนวยการสร้างVincente Minnelli แสดงให้เห็นถึง Van Gogh ซึ่งแสดงโดย Kirk Douglas วาดภาพนี้ เมื่อเขาโกรธก่อนที่จะฆ่าตัวตาย
Van Gogh เคยวาดรูปของรากต้นไม้เมื่อเขาอาศัยอยู่ในกรุงเฮกในปี 1882 เขาอธิบายงานศิลปะกับ Theo น้องชายของเขาในจดหมาย เขาเขียนว่าเขาต้องการให้ต้นไม้“ แสดงบางสิ่งบางอย่างของการต่อสู้ของชีวิต”
vincent van gogh
การถ่ายทอดความทุกข์ทรมานออกมานั้นเป็นเรื่องง่ายแต่การใช้ความปรารถนาและความทุกข์เป็นเครื่องมือถ่ายทอดความปีติสุขและความงามอันแสนวิเศษของโลกใบนี้นั้นยังไม่เคยมีใครทำได้อย่างเขาและอาจจะไม่มีใครทำได้อีกแล้ว
“ในความคิดของผม ชายเถื่อนและแปลกแยกผู้ร่อนเร่ไปทั่วโพรวองซ์คนนี้ไม่ใช่แค่ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด หากแต่เป็นมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เลยก็ว่าได้”
Dr.Who
อิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism) เป็นการวาดภาพจากความประทับใจในสิ่งที่เห็นของผู้วาด แทนที่จะพยายามทำให้เหมือนจริงตามธรรมชาติ
โคลด์ โมเนต์ (Claude Monet) เป็นศิลปินคนสำคัญผู้จุดประกายให้ความงามแบบอิมเพรสชันนิสม์ก้าวข้ามจากศิลปะกระแสรองขึ้นมาเป็นศิลปะกระแสหลักที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
โคลด์ โมเนต์ เกิดที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ.1840 ต่อมาได้ไปใช้ชีวิตที่เมืองเลออาฟวร์ (Le Havre) เมืองชายทะเลของฝรั่งเศส โคลด์ โมเนต์ เริ่มฉายแววศิลปินมาตั้งแต่วัยเยาว์จากฝีมือการเขียนภาพการ์ตูนล้อเลียนและวาดรูปขายในร้านขายรูปแห่งหนึ่งในเมืองเลออาฟวร์ โดยมี โบแดง (Boudin) เป็นศิลปินรุ่นพี่ที่ชักชวนให้โมเนต์หันมาสนใจวาดรูปอย่างจริงจัง
แม้ในตอนแรกทางครอบครัวของโมเนต์จะไม่สนับสนุนการเป็นจิตรกร แต่สุดท้ายก็เป็นครอบครัวของเขานี่แหละที่เกลี้ยกล่อมให้โมเนต์ที่หนีไปเป็นทหารอยู่ที่ทวีปแอฟริกากลับมาอยู่ที่ฝรั่งเศสและยอมให้เขาเดินตามทางไปเป็นศิลปินอยู่ที่กรุงปารีส
ผลงานของโมเนต์ที่ชื่อ Impression,Sunrise โด่งดังพอ ๆ กับภาพวาดโมนาลิซา
ในยุคเริ่มต้นที่โมเนต์กำลังฝึกฝนด้านศิลปะ ตรงกับยุคที่ยุโรปกำลังรุดหน้าและเติบโตในทุกด้านโดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ที่ส่งผลกับชีวิตของคนชั้นกลางและเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับศิลปะได้อย่างสิ้นเชิง รวมทั้งทำให้มีกลุ่มศิลปินหนุ่มรุ่นใหม่เกิดขึ้น พร้อมแนวทางการทำงาน
ศิลปะที่แตกต่างออกไปจากเดิม พวกเขานิยมสร้างสรรค์ภาพวาดสีสว่างสดใส สะท้อนความประทับใจจากธรรมชาติ เน้นวาดภาพกลางแจ้งเป็นหลัก ไม่เน้นรูปทรงหรือลายเส้นที่เหมือนจริงแต่ให้คุณค่ากับสีและความรู้สึก ทั้งยังเป็นศิลปะแนวใหม่ที่ถูกต่อต้านจากศิลปะกระแสหลักรวมถึงผู้ทรงอิทธิพลต่อวงการศิลปะและชีวิตศิลปินอย่าง สถาบันศิลปะแห่งชาติ หรือ ซาลง (Salon) ซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนของศิลปะกระแสหลัก
ในฝรั่งเศสยุคนั้น ซาลงคือผู้กำหนดทิศทางศิลปะ ชี้ว่าสิ่งนี้งาม ไม่งาม ได้มาตรฐานหรือไม่ และยังเป็นสถาบันที่จัดงานแสดงศิลปะขนาดใหญ่ประจำปีในฝรั่งเศส เทียบได้กับงานแสดงศิลปกรรมแห่งชาติที่การันตีได้ว่าทุกชิ้นงานที่ได้รับคัดเลือกมาแสดงผ่านเกณฑ์มาตรฐาน แต่สุดท้ายความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการ
ศิลปะก็มาถึง เมื่อ โคลด์ โมเนต์ ในวัย 34 ปี และศิลปินอีกกว่า 30 คน ได้รวมตัวกันจัดงานแสดงศิลปะครั้งใหญ่ขึ้นเองในวันที่ 15 เมษายน ค.ศ.1874 โดยไม่ต้องพึ่งพาซาลงและนั่นก็เป็นจุดกำเนิดของคำว่า ศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ อย่างเป็นทางการโดยมีโมเนต์เป็นศิลปินหัวขบวนของศิลปะสกุลอิมเพรสชันนิสม์
ในงานแสดงภาพครั้งนั้นมีผลงานของโมเนต์ที่ชื่อ Impression,Sunrise หรือ “ความประทับใจแห่งอรุณรุ่ง” (โมเนต์วาดขึ้นในปี ค.ศ. 1872) ร่วมจัดแสดง เป็นภาพวิวทะเลยามเช้าที่ท่าเรือเมืองเลออาฟวร์ซึ่งมองเห็นเพียงพระอาทิตย์รางเลือน แต่โมเนต์กลับทำให้งานอิมเพรสชันนิสม์
3
ได้รับความสนใจจากกระแสหลักเป็นอย่างมากรวมทั้งภาพ คามิลล์ที่ชายหาด” (Camille on the Beach) เขียนเมื่อปี ค.ศ. 1870 คามิลล์ในภาพคือภรรยาคนแรกของโมเนต์ที่เพิ่งแต่งงานกันในปีนั้นนั่นเอง เป็นงานแต่งระหว่างสาวตระกูลมั่งคั่งกับศิลปินไส้แห้ง และพ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่เห็นชอบ ภาพนี้โมเนต์เก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวตลอดชีวิตโดยคามิลล์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1874
ภาพ “ผู้หญิงกางร่ม” (Woman with Parasol) เป็นอีกภาพโดดเด่นทั้งเรื่องสีและการใช้ฝีแปรง ทั้งยังเป็นตัวอย่างของศิลปะสกุลอิมเพรสชันนิสม์ที่เด่นชัดที่สุดโมเนต์เขียนภาพนี้เมื่อปี ค.ศ. 1875 ผู้หญิงกางร่มสะท้อนความงามในวัยเยาว์จากกิริยางามตามธรรมชาติในบรรยากาศสดใส
โฆษณา