21 ก.ค. 2022 เวลา 08:06 • ยานยนต์
ไฮบริดทั้งที ต้องมี EV mode🚗🚗🚗
ท่ามกลางความผันผวนของราคาน้ำมัน บวกกับความหลากหลายของรถยนต์ยุคใหม่ ที่มีสารพัดทางเลือก ไม่ใช่แค่เบนซินหรือดีเซลอีกต่อไป การจะมองหารถยนต์สักคันเวลานี้ เราต้องทำการบ้านเยอะขึ้น ยิ่งเทคโนโลยีพูกพัฒนาไปเร็วขึ้น ยิ่งแปลว่าจะมีรถใหม่ๆ หรือระบบใหม่ๆ เข้ามาให้เลือกเร็วขึ้น ถี่ขึ้น ไม่เหมือนรถน้ำมันสมัยก่อนที่ต้องรอเป็นสิบปีถึงจะเปลี่ยนเครื่องยนต์สักครั้ง
วันนี้จะพุ่งเป้าไปที่รถประเภท "พันธุ์ผสม" หรือศัพท์กลางๆ คือไฮบริด (ขอหมายรวมไปถึงอี-พาวเวอร์ ของนิสสันด้วย) อันเป็นระบบที่เหมือนสะพานพาเราก้าวข้ามจากรถน้ำมันเพียวๆ ไปสู่สังคมรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบในอนาคต แต่ผมไม่ได้มาชวนคุยเรื่องการทำงาน หรือข้อดีข้อเสียของไฮบริดแต่ละแบบนะครับ เพราะประเด็นเหล่านี้ เพจเราเคยนำเสนอไปบ้างแล้ว ถ้ามีเวลาก็เลื่อนลงไปอ่านตอนเก่าๆ กันได้🏃‍♀️🏃🏃‍♂️
หลายคนยังไม่ชัดเจนกับตัวเองว่าควรเลือกไฮบริดแบบไหนดี เพราะเข้าใจว่าไฮบริดน่าจะเหมือนๆ กันหมดทุกยี่ห้อ เลยทำให้มองข้ามจุดสำคัญบางอย่างไป🧐
วันนี้ผมจะเจาะไปที่ประเด็นของ EV mode หรือโหมดการขับที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ที่จะบอกก่อนเลยคือ รถไฮบริดที่เรากำลังสนใจควร "ต้อง" มีโหมดนี้ติดมาด้วย แล้วโหมด EV ที่ว่านี้มันคืออะไร มีความสำคัญแค่ไหนถึงควรต้องมี❓❓❓
เราทราบกันอยู่แล้วว่ารถไฮบริดมีการใช้พลังงานไฟฟ้ามาช่วยขับเคลื่อน เพื่อลดการทำงานของเครื่องยนต์ ซึ่งไฟฟ้าก็ถูกเก็บอยู่ในแบตเตอรี่ ไฮบริดที่ออกแบบมาดี จะโปรแกรมการทำงานให้ตอบโจทย์ชีวิตประจำวันได้หลากหลายสถานการณ์ หนึ่งในนั้นก็คือต้องสามารถขับเคลื่อนได้อย่างเงียบสนิท เผื่อว่าคนขับอยากขับผ่านสถานที่ใดโดยไม่ส่งเสียงรบกวน ไม่ปล่อยมลพิษ หรือจอดรอใครในช่วงเวลาสั้นๆ โดยไม่ต้องติดเครื่องยนต์ให้เปลืองน้ำมัน⛽️
โหมด EV จึงถูกออกแบบมาเพื่อสถานการณ์เหล่านี้ คนขับสามารถสั่งให้เครื่องยนต์ดับไปก่อนได้ ณ ตอนนั้น ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ถ้ากดปุ่มเมื่อไหร่ จะแปลงร่างเป็นรถอีวีชั่วคราวได้ทันที คือเงียบและไร้มลพิษเหมือนอีวีนั่นเอง เท่านี้ชีวิตก็ดีกว่าเยอะแล้ว😃
ส่วนจะเงียบได้นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับไฟที่เหลือคาอยู่ในแบตเตอรี่ รวมถึงความจุของแบตเตอรี่ที่ติดมาด้วย ซึ่งเรื่องของความจุแบตเตอรี่นั้น ไม่ต้องคาดหวังว่ามันจะใหญ่โตเหมือนพวกรถปลั๊กอิน หรือรถอีวีเพียวๆ ลำพังรถไฮบริดทั่วไปที่ขายกันอยู่ ความจุแบตเต็มที่ก็ประมาณ 1.6 kWh ไม่มากไปกว่านี้
บางยี่ห้อแอบใส่แบตที่เล็กกว่า 1.0 kWh ด้วยซ้ำ ยกเว้นอี-พาวเวอร์ของนิสสันที่ตอนนี้น่าจะให้แบตมาใหญ่สุดคือประมาณ 2.1 kWh 👍ก็แปลว่าซื้อไปแล้ววิ่งเงียบๆ แบบรถอีวีได้ไกลกว่าชาวบ้านไปอีก แถมไม่ต้องทนขับช้าเป็นเต่าเพราะกลัวแบตจะหมดไวด้วย
เรื่องแบตเตอรี่เราเลือกไม่ได้ เพราะมันถูกกำหนดมาจากโรงงาน เว้นแต่เรามีหลายยี่ห้อในใจ ก็ควรเลือกยี่ห้อที่ใส่แบตลูกใหญ่มาให้จะคุ้มกว่า แต่อย่างน้อยก็ควรเลือกรถไฮบริดที่มีปุ่ม EV mode ติดมาก่อนเป็นอันดับแรก
เพราะถ้าทำรถไฮบริดออกมาแล้วไม่มีปุ่ม EV ให้กด นั่นหมายความว่าซื้อมาขับแล้วก็ขับอย่างเดียว กำหนดอะไรไม่ได้เลย อยากเงียบ อยากสะอาด อยากประหยัด ก็กำหนดไม่ได้ เพราะเครื่องยนต์จะติดขึ้นมาตามใจชอบ คนขับควบคุมไม่ได้
และยังสะท้อนถึงการออกแบบซอฟต์แวร์ควบคุมที่ไม่ดีพอ ไม่สามารถบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าให้ได้ประโยชน์สูงสุด ดังนั้นคำว่าไฮบริดอย่างเดียวไม่ได้ยืนยันว่าเราจะได้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเสมอไป👎
อย่าลืมว่าเทคโนโลยีที่ดี ต้องช่วยให้ชีวิตประจำวันเราง่ายขึ้นด้วย ขอให้โชคดีกับการเลือกรถใหม่นะครับ
ถ้าคิดว่าคลินิกนี้มีประโยชน์ ฝากช่วยกันแชร์นะครับ ยิ่งมีคนอ่านมาก ก็มีความรู้มาก จะได้ลดการกระจายข้อมูลแบบปากต่อปากที่ผิดเพี้ยน
#mycarclinic
#เลือกรถที่ใช่
#เลือกรถอะไรดี
#เลือกรถไฟฟ้า
#เลือกรถไฮบริด
#ดูแลรถด้วยตัวเอง
#besmartdriver
โฆษณา