21 ก.ค. 2022 เวลา 13:00 • ประวัติศาสตร์
เปิดตำนานความเชื่อบิ๊กฟุตหรือที่เรียกกันว่าไอ้ตีนโต
https://giftdeejung.wordpress.com/2015/11/26/%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B9%8A%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95-%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B4/
วันนี้ก็กลับมาอีกครั้งกับการบอกเล่าเรื่องราว แต่คราวนี้ขอเปลี่ยนอารมณ์กันบ้าง เล่าเรื่องคดีฆาตกรรมมาพอสมควร วันนี้เปลี่ยนมาเล่าเรื่องตำนานความเชื่อเรื่องบิ๊กฟุตกันบ้างดีกว่า
โดยอันดับแรกเรามาเริ่มทำความรู้จักบิ๊กฟุตกันก่อนเลยบิ๊กฟุต หรือแซสแควตช์ที่แปลว่า "ไอ้ตีนโต" นั่นเอง
บิ๊กฟุตนั้นว่ากันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคน แต่มีขนที่ดกดำกว่ามาก โดยบิ๊กฟุตนั้นจะพบในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และในทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งชื่อเรียกของมันนั้นมาจากรอยเท้าที่มีลักษณะคล้ายคนแต่มีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก
โดยส่วนใหญ่บรรยายว่ามันมีความสูงถึง 8 หรือ 9 ฟุต ซึ่งอาจจะมีน้ำหนักที่มากถึง 800 ปอนด์กันเลยทีเดียว ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกของมันนั้นมีขนดกปกคลุมไปทั่วตัวสีเข้ม มีแขนที่ยาว ไร้คอ และมีใบหน้าเหมือนคน อีกทั้งมันยังมีสายตาแหลมคม และมีพละกำลังที่มหาศาลว่ากันว่ามันสามารถทุ่มก้อนหินขนาดเท่าลูกบาสเก็ตบอลไปไกลได้อย่างสบาย
https://allspecies.fandom.com/wiki/Bigfoot
• การพบเห็นและความเชื่อ •
1. บิ๊กฟุตเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2354 ในประเทศแคนาดา โดยเดวิด ทอมป์สัน นักสำรวจ ในระหว่างที่เขาค้นหาทางน้ำระหว่างอ่าวฮัดสันไปจนถึงแม่น้ำโคลัมเบียนั้น เขาได้จดบันทึกในวันที่ 7 มกราคมเอาไว้ว่า
"เราเริ่มเดินทางของเราต่อในตอนบ่าย และเราได้เจอกับร่องรอยของสัตว์ขนาดใหญ่ เป็นรอยเท้าที่กดบนพื้นหิมะลึกลงไปมากถึง 6 นิ้ว โดยสามารถวัดรอยเท้าขนาดใหญ่ที่มีทั้งหมด 4 นิ้ว ได้ว่าแต่ละนิ้วยาว 4 นิ้ว มีรอยเล็บสั้น ๆ ส่วนปลายของเท้านั้นจมลงกว่านิ้วเท้า 3 นิ้ว ส่วนส้นของรอยเท้าไม่ชัดเจนนัก ความยาว 14 คูณ 8 นิ้ว ตามกว้าง อินเดียนแดงผู้ติดตามคิดว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางอย่าง ส่วนทอมป์สันคิดว่าเป็นหมีกริซลีย์ตัวใหญ่ แต่ในส่วนปลายของเท้าที่ใหญ่นั้นมันไม่ใช่ของหมีเอาซะเลย"
2. เรื่องราวของบิ๊กฟุตที่โด่งดังเรื่องต่อมานั้นได้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2467 โดยอัลเบิร์ต ออสแมน นักกิจกรรมชาวแคนาดา โดยในวัยหนุ่มนั้นเขาได้อ้างว่า
ขณะออกสำรวจป่าบริติชโคลัมเบียเพียงลำพังกว่าหนึ่งสัปดาห์ เขารู้สึกว่าถูกอะไรบางอย่างตามติดและรังควานอย่างมาอย่างน้อย 3–4 คืนติดต่อกันแล้ว ซึ่งทีแรกเขาคิดว่าเป็นเม่นหรือสัตว์อะไรบางอย่าง แต่เห็นชัดว่ามันไม่ใช่ จนกระทั่งคืนหนึ่งในขณะที่เขากำลังนอนหลับอยู่ เขาก็ได้ถูกบิ๊กฟุตตัวหนึ่งอุ้มตัวไปขณะที่นอนอยู่ในถุงนอนที่ภายในนั้นบรรจุเสบียงอาหารไว้รวมถึงปืนไรเฟิลอีกด้วย
โดยเขาประมาณว่าบิ๊กฟุตอุ้มเขาไว้นานถึง 3–4 ชั่วโมง จนกระทั่งมันปล่อยเขาลงในที่ ๆ มันอยู่ซึ่งเป็นหุบเขา จนกระทั่งเขาตื่นขึ้นมาในเวลาที่คาดว่าน่าจะเลย 04:00 น. มาเล็กน้อย ทว่าเขาได้พบว่าตัวเองนั้นอยู่ในที่ ๆ มืดมาก ๆ ซึ่งรอบตัวของเขานั้นมีแต่เสียงเหมือนกำลังพูดคุยกันอยู่เต็มไปหมด
จนกระทั่งถึงเช้าเขาจึงได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่รูปร่างคล้ายกับคนที่มีขนดกปกคลุมไปทั่วทั้งตัว เนื้อตัวล่อนจ้อน อาศัยอยู่กันเป็นครอบครัว ซึ่งเขายังได้อ้างอีกว่าตัวที่อุ้มเขามานั้นเป็นบิ๊กฟุตตัวผู้ที่เป็นพ่อ โดยในครอบครัวของมันนั้นมีบิ๊กฟุตตัวเมียที่เป็นแม่ และบิ๊กฟุตขนาดเล็กที่เป็นลูก ๆ อีก 2 ตัว
เขาเล่าว่าสัตว์เหล่านี้ไม่ได้ท่าทีกลัวเขาหรือคุกคามเขาเลยแม่แต่น้อย และมันคงมีเหตุผลที่อุ้มตัวเขามาซึ่งคาดว่าคงจะเป็นเพราะได้กลิ่นอาหารและกาแฟสำเร็จรูปที่เขาติดมาเป็นเสบียงด้วย แต่เขาก็ไม่อาจหนีไปไหนได้ และจากที่มีอาหารเพียงพอ
เขายังได้กล่าวต่ออีกว่าเขาได้ต้มน้ำเพื่อจะชงกาแฟดื่มและเปิดกล่องยานัตถุ์ออกมา บิ๊กฟุตที่ซึ่งนั่งอยู่ห่างจากตัวเขาไปประมาณ 10 ฟุต ก็ได้ยื่นมือออกมาหยิบและเทของทั้งหมดรวมกัน และตามด้วยการกลืนเข้าปากไป ซึ่งจากผลลัพธ์ของยานัตถุ์และกาแฟนั้น ทำให้บิ๊กฟุตตัวนั้นรีบวิ่งไปหาน้ำดื่มเพื่อดับรสชาติในปาก จังหวะนี้เขาจึงได้หลบหนีออกมา
ซึ่งเขายังได้ยืนยันเหตุการณ์นี้อีกครั้งด้วยการบันทึกเป็นคำบอกเล่าด้วยเทปบันทึกเสียงในปี พ.ศ. 2509
3. หากพูดถึงหลักฐานแรกสุดและเก่าแก่สุดที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของบิ๊กฟุตนั้น คือ ภาพเขียนสีบนผนังถ้ำของชาวอินเดียนแดง ในเขตสงวนอินเดียนแดง ที่อยู่ห่างไปทางตอนเหนือของลอสแอนเจลิสเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง
ซึ่งภาพนั้นเป็นภาพก่อนการมาถึงทวีปอเมริกาเหนือของชาวยุโรปเมื่อราว 500 กว่าปีก่อน โดยภาพนั้นเป็นภาพของบิ๊กฟุตตัวผู้ที่มีความสูงถึง 8 ฟุต และตัวเมียที่มีบิ๊กฟุตตัวเล็กที่เหมือนกับเป็นตัวลูกที่สูง 4 ฟุต อยู่ด้านข้างอีกด้วย
โดยภาพนี้ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า เป็นสัตว์ที่ผู้วาดได้พบเห็นและมีตัวตนอยู่จริง ไม่ใช่เป็นสัตว์ในจินตนาการ และภาพยังบอกถึงสัดส่วนความสูงของแต่ละตัวด้วย
ทว่าความเชื่อเรื่องบิ๊กฟุตของชาวอินเดียนแดงแต่ละชนเผ่าก็แตกต่างกันออกไป อาทิ ความเชื่อที่ว่าเป็นจิตวิญญาณผู้พิทักษ์ป่าและชาวอเมริกันพื้นเมือง
หรือจะเป็นความเชื่อที่ว่าบิ๊กฟุตเป็นสัตว์ดุร้าย เมื่อเผชิญหน้ากับมันห้ามจ้องตาของมันอย่างเด็ดขาด เพราะจะถือเป็นการท้าทาย เพราะบิ๊กฟุตอาจฆ่าผู้ที่จ้องตามันถึงตายได้
หรือจะเป็นความเชื่อที่ว่าบิ๊กฟุตเป็นสัตว์ดุร้าย จะออกสะพายตะกร้าหวายไว้ที่ข้างหลัง คอยจับเด็ก ๆ ที่ออกมาเล่นนอกบ้านไกลพ่อแม่ ใส่ลงไปในตะกร้าไปเป็นอาหารเย็นของตน
และมีเรื่องเล่าบอกต่อกันมาว่าบิ๊กฟุตนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นคนยุคโบราณที่เลือกจะไม่อยู่ร่วมกับคนยุคปัจจุบัน เพราะสิ่งที่คนยุคปัจจุบันได้ทำเอาไว้
ชาวอินเดียนแดงเผ่าอาปาเช่ ที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของรัฐอริโซน่า ก็มีคำสอนบอกต่อกันว่า หากเดินเข้าไปในป่าตอนกลางคืน ให้เคาะหินหรือเคาะไม้ ไม่ก็ให้ผิวปาก เพราะคนขนดกก็จะทำเหมือนกัน เพื่อเป็นการแสดงให้ทราบถึงตำแหน่งที่อยู่ของตน ซึ่งเชื่อกันว่าบิ๊กฟุตสื่อสารกันด้วยวิธีการเช่นนี้ อันเป็นวิธีการสื่อสารเดียวกันกับลิงใหญ่ชนิดอื่น ๆ อีกด้วย
โดยรายงานการพบเห็นบิ๊กฟุตมากที่สุดเกิดขึ้นที่บริเวณคาบสมุทรโอลิมปิก รัฐวอชิงตัน และในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 มีผู้ค้นพบรอยเท้าของบิ๊กฟุตที่ริมทะเลสาบแห่งหน
https://today.line.me/th/v2/article/8G9mNV
โฆษณา