31 ก.ค. 2022 เวลา 13:00 • หนังสือ
ทำไมใครๆ ก็แนะนำให้ “เก็บออมเงิน” แล้วทำไมเราถึงยังทำไม่เคยได้สักที ทำไมมันยาก แล้วจริงๆ เราควรต้องเก็บออมเงินไหม?
1
สรุปหนังสือ The Psychology of Money ตอนที่ 11
ในสัปดาห์ที่แล้ว แอดก็ได้เล่าถึงบทที่ 9 ของจิตวิทยาว่าด้วยเงินไปแล้ว นั่นคือเรื่องของ “ความย้อนแย้งของชายในรถยนต์” ค่ะ
ในสัปดาห์นี้ แอดก็จะมาเล่าต่อในบทที่ 10 ว่าด้วยเรื่องของ “เก็บออม” เนื้อหามีดังนี้
Topic:
1) สำหรับเรื่อง “ออมเงิน” คนจะถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คุณอยู่ในกลุ่มไหน?
2) 7 เหตุผล ทำไมคุณจึงยัง “เก็บเงิน” ไม่ได้ แล้วทำไมคุณถึงควรทำมัน?
1
ใครอยากเก็บเงินได้แล้วยกมือขึ้น อ่า ถ้าอย่างนั้นต้องตามมาอ่านกันแล้วววววค่ะ ลุย!!!
เฮาเซิลบอกว่า...
ถ้าเขาชวนคุณเก็บเงิน
มันก็ไม่น่าจะต้องใช้เวลานาน
แต่มันเป็นงานที่แปลกใช่ไหม?
คนส่วนใหญ่จำเป็นต้องถูกชักชวนให้เก็บเงินอย่างนั้นหรอ?
จากการสังเกตของเขา เขาคิดว่าใช่ มีหลายคนที่เป็นเช่นนั้น
@เมื่อมีรายได้ในระดับหนึ่ง คนจะถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คุณอยู่ในกลุ่มไหน?
1.กลุ่มที่ออมเงิน
2.กลุ่มที่ไม่คิดว่าตัวเองจะออมเงินได้
3.กลุ่มคนที่คิดว่าพวกเขาไม่จำเป็นจะต้องออมเงิน
หากคุณจัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ยินดีด้วยค่ะ คุณสามารถปิดบทความนี้ไปได้เลย 555 แต่ๆๆๆ ถ้าคุณคือคนในอีกสองกลุ่มหลังล่ะก็ เราก็มาต่อกันเถอะค่ะ เนื้อหาต่อจากนี้อาจจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย
ไปเริ่มกันเลยค่ะ!!!
ผลตอบแทนจากการลงทุนสามารถทำให้คุณรวยได้ แต่กลยุทธ์ในการลงทุนนั้นจะได้ผลนานแค่ไหน และตลาดจะให้ความร่วมมือหรือไม่นั้นก็ยังเป็นเรื่องที่น่าสงสัยอยู่เสมอ ผลลัพธ์ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
การออมและความมัธยัสถ์ส่วนบุคคล ซึ่งนับเป็นการอนุรักษ์และประสิทธิภาพในการออมเงินนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสมการที่คุณสามารถควบคุมได้มากกว่าและมันมีโอกาสที่จะส่งผลต่อคุณในอนาคต 100%
หากคุณมองว่าการสร้างความมั่งคั่งคือการต้องการเงินหรือผลตอบแทนจากการลงทุนก้อนโต คุณอาจกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย หนทางข้างหน้าจะดูเป็นเรื่องยากและอยู่เหนือการควบคุมของคุณ
แต่หากคุณมองว่ามันถูกขับเคลื่อนด้วยประสิทธิภาพในการออมเงินของคุณ เป้าหมายคุณก็จะชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ความมั่งคั่งนั้นเป็นเพียงแค่การสะสมของเงินที่เหลืออยู่หลังจากที่คุณใช้จ่ายและเนื่องจากคุณสามารถสร้างความมั่งคั่งได้โดยที่ไม่ต้องมีรายได้สูง แต่คุณจะไม่มีโอกาสสร้างความมั่งคั่งได้เลยหากคุณมีอัตราการออมที่ต่ำ
นี่จึงชัดเจนแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่ากัน
เฮาเซิลยกตัวอย่างให้เราเห็นภาพว่า...
สมมติคุณและผมมีความมั่งคั่งสุทธิเท่ากัน
และสมมติว่าคุณเป็นนักลงทุนที่ดีกว่าผม ผมได้รับผลตอบแทนการลงทุน 8% ต่อปี และคุณได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน 12% ต่อปี
แต่ผมใช้เงินของตัวเองได้มีประสิทธิภาพมากกว่า สมมติว่าผมสามารถมีความสุขได้ด้วยเงินเพียงแค่ครึ่งเดียวในขณะที่สไตล์การใช้ชีวิตของคุณทบต้นเพิ่มขึ้นรวดเร็วพอๆ กับทรัพย์สินของคุณ
สิ่งนี้เป็นจริงสำหรับเรื่องรายได้เช่นกัน การเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับเงินจำนวนน้อยกว่าจะสร้างช่องว่างระหว่างสิ่งที่คุณมีกับสิ่งที่อยากได้ เช่นเดียวกับช่องว่างที่คุณได้รับจากการทำให้เงินเดือนเพิ่มขึ้น แต่การเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับเงินจำนวนน้อยกว่านั้นทำได้ง่ายและอยู่ในการควบคุมของคุณมากกว่า
แต่ในความจริงผู้คนใส่ความพยายามจำนวนมากเข้าไปที่ด้านหนึ่งของสมการทางการเงิน คือความพยายามในการหาผลตอบแทนจากการลงทุนและการขึ้นเงินเดือน ในขณะที่อีกด้านนั้นใส่ความพยายามกันแค่เพียงเล็กน้อย คือการลดความอยากได้และมีความสุขกับการรักษาวิถีชีวิตที่ไม่เพิ่มขึ้นตามรายได้
ดั้งนั้น อัตราการออมที่สูงนั้น หมายถึง การมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าความสามารถในการใช้จ่ายของคุณ และการมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่านั้นหมายความว่า การออมของคุณจะสามารถไปได้ไกลกว่าที่มันควรจะเป็น
ทุกคนต้องการสิ่งจำเป็นพื้นฐานของชีวิต เมื่อใดที่พวกเขาได้สิ่งเหล่านั้นครบแล้ว ความจำเป็นพื้นฐานจะถูกยกระดับเป็นความสะดวกสบาย และเมื่อผ่านจุดที่คุณต้องการความสะดวกสบายไปคุณจะต้องการทั้งความสะดวกสบายและความสนุกสนานในชีวิต
แต่การใช้จ่ายเกินตัวหรือเสพติดวัตถุนิยมส่วนใหญ่แล้วคือภาพสะท้อนตัวตนที่สัมพันธ์กับรายได้ มันเป็นวิธีการใช้จ่ายเพื่อแสดงออกให้คนอื่นเห็นว่าคุณมี (หรือเคยมี) เงิน
คำแนะนำของเฮาเซิล
เขาอยากให้เราลองคิดแบบนี้ดูคือ...หนึ่งในวิธีอันทรงพลังที่สุดในการเพิ่มเงินออมนั้นไม่ใช่การเพิ่มรายได้ แต่มันคือ “การเพิ่มความอ่อนน้อมถ่อมตน”
มันคือการต่อสู้กับสัญชาตญาณในการรำแพนหางนกยูงของคุณให้ยาวที่สุด เพื่อให้ทัดเทียมกับคนอื่นๆ ที่กำลังทำแบบเดียวกันในทุกวัน
คนที่ประสบความสำเร็จทางการเงินแบบยั่งยืน (ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนที่มีรายได้สูง) นั้นมีแนวโน้มที่จะไม่สนใจว่าคนอื่นๆ จะคิดอย่างไรกับพวกเขา
การเก็บออมสามารถทำได้ด้วยการใช้จ่ายให้น้อยลง
คุณจะใช้จ่ายน้อยลงได้หากคุณมีกิเลสลดลง
1
กิเลสของคุณจะลดลงถ้าคุณสนใจสิ่งที่คนอื่นๆ คิดกับคุณน้อยลง
บางคนเก็บเงินเพื่อที่จะใช้ดาวน์บ้าน ซื้อรถใหม่ หรือเพื่อเกษียณ แน่นอนว่ามันคือสิ่งที่ดีมาก
แต่การออมนั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นการออมเพื่อเป้าหมายในการซื้ออะไรบางอย่างโดยเฉพาะ
การออมเพื่อเป้าหมายอันเฉพาะเจาะจงนั้นเป็นเรื่องสมเหตุสมผลในโลกที่สามารถคาดเดาได้เท่านั้น แต่ว่าโลกของเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น การเก็บออมคือการป้องกันความเสี่ยงต่อช่วงเวลาอันเลวร้ายของชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
มันคือการป้องกันความเสี่ยงต่อสิ่งที่จะทำให้คุณประหลาดใจในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด
ทุกคนรู้ว่าเงินสามารถซื้อสิ่งของที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ แต่ประโยชน์ของเงินในรูปแบบนามธรรมนั้นมีคุณค่าและทำให้ความสุขของคุณเพิ่มขึ้นได้มากกว่าการออมเพื่อเป้าหมายที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน
การออมโดยปราศจากเป้าหมายในการใช้จ่ายนั้น “ให้ทางเลือกและความยืดหยุ่น” มันคือความสามารถในการรอคอยเพื่อที่จะกระโจนคว้าโอกาสที่จะมาถึง “มันให้เวลาคุณได้คิด มันทำให้คุณเปลี่ยนเงื่อนไขในชีวิตได้ในแบบที่คุณต้องการ”
ผลตอบแทนจากเงินในธนาคารที่ให้ทางเลือกในการเปลี่ยนอาชีพ เกษียณอายุก่อนกำหนด หรืออิสระจากความกังวลคืออะไร?
เฮาเซิลบอกว่ามันเป็นสิ่งที่คำนวณออกมาเป็นตัวเลขไม่ได้
ในเวลาที่คุณไม่มีความสามารถในการควบคุมเวลาของตัวคุณเอง คุณอาจถูกบังคับให้ยอมรับความโชคร้ายต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาหาคุณ แต่ถ้าหากคุณมีความยืดหยุ่นมากพอ คุณจะมีเวลาในการรอคอยโอกาสดีๆ ที่จะตกลงมาบนหน้าตักของคุณ
สิ่งนี้คือผลตอบแทนจากออมที่ซ่อนอยู่
การฝากออมทรัพย์ในธนาคารที่ให้ดอกเบี้ย 0% อาจสร้างผลตอบแทนที่ไม่ธรรมดาได้หากพวกมันสามารถทำให้คุณมีความยืดหยุ่นในการตอบรับงานที่ได้เงินเดือนน้อยกว่าเดิมแต่มีความหมายมากขึ้น
สำหรับโลกในยุคปัจจุบัน
หากคุณมีความยืดหยุ่น คุณจะสามารถรอคอยโอกาสดีๆ ทั้งทางด้านอาชีพและการลงทุนของคุณ คุณจะมีโอกาสในการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ได้เมื่อมีความจำเป็น
คุณจะรู้สึกเร่งรีบน้อยลงในการไล่ตามคู่แข่งซึ่งทำให้สิ่งที่คุณทำไม่ได้ และมีเวลามากขึ้นในการค้นหาความหลงใหลของคุณตามจังหวะการก้าวเดินของตัวคุณเอง
คุณจะค้นพบกิจวัตรประจำวันใหม่ การก้าวเดินที่ช้าลง และคิดถึงชีวิตในอีกแง่มุมที่ต่างออกไปจากเดิม
และนี่คือเหตุผลที่ตอกย้ำว่าทำไมคนเราจึงต้องเก็บออม!!!
ทุกการออมเล็กๆ น้อยๆ นั้นจะเปรียบเสมือนกับการออมเพื่ออนาคตของคนอื่น แต่สุดท้ายมันจะกลับคืนมาที่ตัวของคุณเอง
- มอร์แกน เฮาเซิล
อ่านจบแล้วเป็นยังไงบ้างคะ?
ใครเริ่มมีไฟในการออมแล้วบ้างยกมือขึ้น?
สำหรับแอด แอดคิดว่า...ถ้าความโชคดีที่สุดของมนุษย์เรา คือการปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ความโชคดีที่รองลงมาก็คือ การปราศจากความกังวลในเรื่องของเงิน นี่แหละค่ะ
แล้วคุณล่ะคะ มีเงินออมเพียงพอหรือยัง? ตอนนี้สบายใจหรือยัง ยังกังวัลอยู่ไหม?
โฆษณา