23 ก.ค. 2022 เวลา 12:00 • ไลฟ์สไตล์
ไม่ไหวก็บอกไม่ไหว! เพราะการบริหารเวลาที่ดีที่สุดอาจเริ่มต้นแค่คำว่า “ไม่”
1
“ทักษะการบริหารเวลา” นับว่าเป็นหนึ่งใน Soft Skill สำคัญกับคนทำงานมากที่สุดทักษะหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะการบริหารเวลาที่ดีจะช่วยให้เราทำงานได้ทันเวลา การบริหารเวลาที่ดีจะช่วยให้เรามีเวลาว่างมากขึ้น และการบริหารเวลาจะช่วยให้เรามีสิ่งที่เหล่าคนทำงานถวิลหาที่สุด นั่นก็คือ “Work Life Balance”
แต่ความเป็นจริงกลับไม่ง่ายแบบนั้น “การบริหารเวลา” ดูเหมือนจะเป็นทักษะที่พูดง่ายแต่ทำได้ยาก เพราะเราไม่สามารถควบคุมปัจจัยภายนอกอีกมากมายได้แบบ 100% ไม่ว่าจะเป็นงานเร่ง งานด่วน หรืองานร้อนก็ตาม
และในการแก้ปัญหาเหล่านี้ ผู้คนมากมายต่างก็คิดค้นเทคนิควิธีการบริหารรูปแบบต่างๆ เพื่อจัดระเบียบให้กับการทำงานของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Pomodo Technique, Pareto Principle, Time Blocking และอีกมากมาย จนอาจจะมองข้ามไปว่ามีหนึ่งวิธีที่เรียบง่าย และได้ผลดีมากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ “การปฏิเสธ” หรือ การบอกว่า “ไม่”
1
ทำไมเราถึงสบายใจที่จะตอบ “ใช่” มากกว่า “ไม่”
Jacqueline Whitmore นักเขียน และผู้ก่อตั้ง The Protocol School of Palm Beach เคยเขียนบทความลงใน Enterprenuer.com ว่า ลึกๆ ในใจเราทุกคนต่างก็อยากเป็นที่ชื่นชอบ เราจึงกังวล และลำบากใจเวลาที่เราอยากจะปฏิเสธคำขอร้องของคนอื่น และการพูดคำว่า “ไม่” ออกไป จะทำให้คนอื่นจะมองเราในภาพลักษณ์ที่ไม่ดี
1
ซึ่งก็จริงอยู่ เพราะในโลกของการทำงานนั้น หลายคนคงนิยามตัวเองว่าเป็น “Yes Man” ใครจะขอให้ช่วยงานอะไรก็ได้หมด ถึงแม้ว่าตัวเองจะงานรัดตัวแค่ไหนก็ตาม การจะเอ่ยคำว่า “ไม่” ออกไปแต่ละที มันเป็นเรื่องที่ยากเย็นเสียเหลือเกิน เพราะมันทำให้เราดูเหมือนเป็นคนใจแคบ ไม่ชอบช่วยเหลือคนอื่น เพราะฉะนั้นเวลามีใครเดินมาขอความช่วยเหลืออะไรนิดหน่อย หลายคนก็จะเผลอตอบ “ใช่” หรือ “ได้” ออกไปก่อน จนทำลายตารางงานที่เราตั้งใจจะทำเอาไว้แบบไม่มีชิ้นดี และสุดท้ายก็ต้องมาเหนื่อยหลังขดหลังแข็งเอาภายหลัง
1
ในทางกลับกัน การเป็น “No Man” บ้างในบางครั้ง และกล้าที่จะพูดคำว่า “ไม่” ที่ทำให้ดูเหมือนจะทำให้เรากลายเป็นคนใจร้าย ไร้น้ำใจต่อคนรอบข้างออกไปบ้างนั้น มีความสำคัญต่อการบริหารเวลาของเรา ทำให้เราสามารถบริหารเวลาได้ดี เพราะเราเป็นผู้ควบคุมงานของตัวเอง รวมถึงยังเป็นสัญญาณของความมั่นใจในตนเอง และความกล้าแสดงออกของในที่ทำงานอีกด้วย
2
Kristin Muhlner ซีอีโอของ Affect Therapeutics เคยบอกเอาไว้ว่า การเรียนรู้ที่จะทำการปฏิเสธคนอื่นให้เป็น เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการบริหารจัดการเวลาที่มีประสิทธิภาพ เพราะมันจะทำให้เราไม่ทุ่มเทตัวเองมากเกินไป ทั้งในด้านอาชีพและชีวิตส่วนตัวของพวกเราทุกคน
นอกจากนี้ การตอบรับทุกคำขอว่า ใช่ หรือ ได้ มากจนเกินไปนั้น มีแนวโน้มสูงที่จะทำให้เรากลายเป็น People Pleaser ที่ยอมเสียสละตัวเอง เพื่อความสุขของผู้อื่น เพียงเพื่อไม่อยากให้คนอื่นมองเราว่าเป็นคนไม่ดี หรือเพื่อคำชมไม่กี่คำเท่านั้น
2
เรียนรู้ที่จะปฏิเสธให้เป็นด้วยศิลปะของการพูดคำว่า “ไม่”
แต่ถึงแม้จะมีอีกกี่ร้อยพันเหตุผล การพูด “ไม่” สำหรับใครหลายๆ คนก็เป็นเรื่องยากอยู่ดี เพราะเมื่อถึงเวลาจริงๆ แล้วความรู้สึกกดดันต่างๆ ที่เข้ามามันรวดเร็ว และรุนแรงเกินกว่าจะตั้งรับได้ทัน สายตาที่จ้องเข้ามา คำพูดย้ำๆ ที่กดดัน รวมถึงบรรยากาศแห่งความน่าอึดอัดมันล้วนแต่ทำให้เราอยากจะรีบตอบตกลงว่า “ได้ครับ/ค่ะ” ไปให้มันจบๆ เพื่อจบบรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ไปเสียที
1
แต่ถ้าหากคำว่า “ไม่” มันยากเกินไป อาจจะลองวิธีปฏิเสธเหล่านี้ เพื่อเป็นการตอบปฏิเสธแบบเบี่ยงเบนผู้ที่เข้ามาร้องขอความช่วยเหลือจากเราแบบกลายๆ แถมยังไม่ทำให้เราดูเป็นคนแล้งน้ำใจอีกด้วย
1. ซื้อเวลาก่อนปฏิเสธ
ก็จริงอยู่บ้างที่เมื่อคนเรารีบตอบปฏิเสธทันที เวลามีคนเดินเข้ามาขออะไรสักอย่าง คนคนนั้นจะถูกมองว่าเป็นคนแล้งน้ำใจ เพราะฉะนั้นเมื่อมีเพื่อร่วมงาน หรือใครก็ตามที่เดินมาขอความช่วยเหลือจากเรา แทนที่จะตอบปฏิเสธพวกเขาไปเลยในทันที ให้ตอบว่า “เดี๋ยวขอลองดูตารางงานก่อนนะ” หรือ “ขอเช็กเวลาว่างก่อนนะ เดี๋ยวมาบอก” แทน
จากนั้นค่อยปฏิเสธเขาไปในภายหลัง ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เราพูดคำว่า “ไม่” ได้ง่ายขึ้นอย่างไม่น่าเกลียด เพราะว่ามันทำให้เราดูเป็นคนที่ไตร่ตรองต่อคำขอของเขาอย่างจริงจัง แถมถ้าเราเกิดมีเวลาว่างจริงๆ ขึ้นมาเราก็จะสามารถตอบรับช่วยเหลือของเขาได้อีกด้วย
1
2. เสนอทางออกหรือทางเลือกอื่นแทนการช่วยเหลือ
แน่นอนว่าการพูดคำว่า “ไม่” ออกไปแบบโต้งๆ ย่อมทำให้คนที่มาขอความช่วยเหลือจากเราผิดหวังเล็กน้อย แต่ว่าเราสามารถช่วยให้เขาไม่เสียเวลาฟรีที่อุตส่าห์มาหาเราได้ด้วยการช่วยเสนอทางออกอื่นให้เขาแทนได้ ลองแนะนำคนอื่นดูว่าคนนี้อาจจะช่วยได้เร็วกว่า หรือคนนั้นอาจจะช่วยได้ดีกว่านะ แทนการตอบปฏิเสธแบบเฉยๆ แห้งๆ ย่อมทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีกว่าอย่างแน่นอน
3. Not right now
สำหรับใครที่ไม่ชอบความยืดเยื้อกันไปมาอาจจะพบว่าคำตอบนี้ค่อนข้างมีประโยชน์ เพราะคำว่า “ตอนนี้ยังไม่ว่าง” หรือ “ไว้คราวหน้าได้ไหม” เป็นการบอกปฏิเสธทันทีแบบตรงๆ แต่ไม่ขวานผ่าซากจนเกินไป เป็นการบอกทุกคนว่า เรากำลังจริงจัง และตั้งใจอยู่กับงานตรงหน้าของเราอยู่ ณ ขณะนี้ แถมยังเป็นการส่งสารทางอ้อมอีกด้วยว่า เมื่อเขาได้รับความช่วยเหลือจากเรา พวกเขาจะได้รับความทุ่มเทจากเราแบบ 100% อีกด้วย
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการปฏิเสธ นั้นก็คือการ “ฟัง” เพราะก่อนที่เราจะรีบตอบอะไรออกไป ลองฟังก่อนว่าคนที่เข้ามากำลังขอความช่วยเหลือแบบไหนจากเรา ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนให้ถามให้เคลียร์ ต้องการเวลา คำแนะนำ หรือแค่ความคิดเห็นเล็กๆ จากเราเพียงเท่านั้น เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าเราควรตอบรับคำขอนั้นจริงๆ หรือไม่ อย่าลืมว่าความสัมพันธ์กับเพื่อนที่ทำงานก็มีความสำคัญ ถ้าเรารีบตอบปฏิเสธไปทั้งๆ ที่มันเป็นความช่วยเหลือง่ายๆ ที่ไม่ได้กินแรงเรามากแล้วล่ะก็ เราอาจจะกำลังกลายเป็นคนใจร้ายจริงๆ ไปอย่างช้าๆ ก็ได้
ในท้ายที่สุดแล้ว สำหรับการบริหารจัดการตารางเวลาของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัว การตอบปฏิเสธ หรือการตอบว่า “ไม่” นั้น คือเรื่องของการจัดเรียงลำดับความสำคัญ อะไรมาก่อน อะไรมาหลัง เป็นการจัดแจงว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานั้น และอย่าเสียเวลาอันมีค่าของเราไปทำอย่างอื่น
แต่อย่าลืมว่า สิ่งสำคัญที่สุดในบางทีนั้นอาจจะไม่ใช่ตัวเราเสมอไปก็ได้ และการช่วยเหลือคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ดีเสมอ ตราบใดก็ตามที่การช่วยเหลือนั้นจะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายเรา
อ้างอิง:
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#timemanagement
โฆษณา