24 ก.ค. 2022 เวลา 03:01 • กีฬา
จากนักเตะที่ได้เล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นประจำ ตอนนี้กลายเป็นตัวแถม และต้องโดนปล่อยทิ้งไปสู่ทีมในเลเวลยูโรป้าลีก นี่คือเรื่องราวของจินี่ ไวจ์นัลดุม มิดฟิลด์ทีมชาติฮอลแลนด์
2
นักเตะที่เจอร์เก้น คล็อปป์ พยายามอย่างมากจริงๆ ที่จะรั้งให้อยู่กับทีมต่อไปให้ได้ คือจอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จ
ไวจ์นัลดุม หมดสัญญากับลิเวอร์พูล ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2021 ซึ่งคล็อปป์โน้มน้าวสารพัดเพื่อให้นักเตะอยู่กับทีมต่อไป เดินหน้าคว้าแชมป์ไปด้วยกันอีกสักหน่อย แต่ไวจ์นัลดุมก็เลือกจะไปอยู่ดี
3
เจอร์เก้น คล็อปป์ ย้ายมาคุมทีมลิเวอร์พูลในเดือนตุลาคม 2015 หลังจากได้เรียนรู้ทีมมา 1 ฤดูกาลแล้ว เข้าสู่ซัมเมอร์ปี 2016 คล็อปป์ขอนักเตะใหม่ ในตำแหน่งปีก (ได้ซาดิโอ มาเน่), กองหลัง (ได้โจเอล มาติป) และ มิดฟิลด์ตัวกลาง (ได้ไวจ์นัลดุม)
2
โดยไวจ์นัลดุม เป็นคนที่คล็อปป์รีเควสต์มาเลยว่าอยากได้ นั่นทำให้หงส์แดงยอมจ่ายเงิน 23 ล้านปอนด์ ให้นิวคาสเซิลที่ตกชั้นเพื่อดึงตัวมาเสริมทัพ โดยคล็อปป์ให้สัมภาษณ์ว่า "จินี่คือกองกลางที่สมบูรณ์แบบไหมน่ะหรอ? ถ้าดูจากทักษะที่เขามี ผมก็ตอบได้เลยว่า ถูกต้อง 100% เลย แล้วถ้าคุณสงสัยว่า ทำไมเขาไม่ค่อยมีคนสนใจ อยู่ใต้เรดาร์ตลอด ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมไม่ใช่คนเซ็ตเรดาร์นั้นนะ!"
2
ทันทีที่ได้ตัวไวจ์นัลดุมเข้ามา เขากลายเป็นมิดฟิลด์ตัวหลักของลิเวอร์พูลทันทีตั้งแต่ปีแรก คือคนอื่นๆ เช่น เฮนเดอร์สัน, เอ็มเร่ ชาน, ลูคัส เลย์ว่า และ อดัม ลัลลาน่า ยังมีการโรเทชั่นกันเรื่อยๆ แต่ไวจ์นัลดุมยืนเป็นแกนหลักของทีมแทบทุกนัด
จุดเด่นของไวจ์นัลดุม คือเขาเคยเล่นมาแล้วทุกตำแหน่ง ตอนอายุ 7 ขวบเล่นเซ็นเตอร์แบ็ก จากนั้น 11 ขวบเล่นแบ็กขวา โตขึ้นมาหน่อยเล่นปีก ดังนั้นพอขยับมาเล่นกองกลาง จึงเข้าใจดีว่าเพื่อนร่วมทีมต้องการอะไร
เขาเป็นกองกลางที่ฉลาด มีความเร็ว เล่นเกมรุกได้ เล่นเกมรับโอเค และได้รับบาดเจ็บยากมาก คือพร้อมลงเล่นตลอด ทุกครั้งที่คล็อปป์ต้องการ
1
จุดเด่น อีกอย่างของไวจ์นัลดุม คือการยิงประตูในเกมสำคัญได้เสมอ ฝรั่งตั้งฉายาให้เขาว่า Big-Game Gini เกมสำคัญๆ อย่างเจอ แมนฯ ซิตี้, เชลซี, อาร์เซน่อล เขายิงได้ตลอด และแน่นอน ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กับบาร์เซโลน่าเกมชนะ 4-0 ก็เป็นเขาคนนี้ที่ยิงคนเดียว 2 ประตู
2
เราสามารถพูดได้เลยว่า การมีอยู่ของไวจ์นัลดุม ทำให้องค์ประกอบของลิเวอร์พูลสมดุลขึ้น ยิ่งพอมีฟาบินโญ่เข้ามาอีกตัว ทำให้แผงกองกลาง ไวจ์นัลดุม - ฟาบินโญ่ - เฮนเดอร์สัน กลายเป็นสามประสานที่ลงตัวมากๆ
แชมป์ใหญ่ๆ ที่คล็อปป์ได้ ทั้งยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก (2019) และ พรีเมียร์ลีก (2020) ไวจ์นัลดุมคือคีย์แมน ลงเล่นแทบทุกนัด
ไวจ์นัลดุมเซ็นสัญญาฉบับแรกกับลิเวอร์พูล ในปี 2016 ด้วยสัญญาระยะเวลา 5 ปี โดยจะไปหมดเอาในปี 2021 อย่างไรก็ตาม พอใกล้ถึงเดดไลน์ ตัวนักเตะกับสโมสรไม่สามารถตกลงเรื่องการขยายสัญญาได้
ค่าเหนื่อยของไวจ์นัลดุม เขารับรายได้ที่ 90,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ดังนั้นในฉบับใหม่เขาต้องการได้ค่าเหนื่อยเพิ่มในระดับ 150,000 - 200,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ พร้อมสัญญาระยะยาว 4 ปีเป็นอย่างน้อย ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ลิเวอร์พูลให้ได้ เพราะนักเตะอายุเยอะขึ้นแล้ว นโยบายของสโมสร ไม่ต่อสัญญายาวขนาดนั้น กับผู้เล่นอายุเกิน 30
2
คาเวห์ โซลเฮโคล นักข่าวจากสกายสปอร์ต อธิบายว่า "ไวจ์นัลดุมอยากจะอยู่ และคล็อปป์ก็อยากให้เขาอยู่ แต่นี่อาจเป็นสัญญาฉบับสุดท้ายของเขาในอาชีพนักเตะแล้ว เขาต้องการได้เงินที่สมควรได้รับ แต่ลิเวอร์พูลเองระมัดระวังเรื่องการเงินอย่างมาก หลังจากเพิ่งผ่านวิกฤติโควิดมา สิ่งที่เรารู้คือ ลิเวอร์พูลยื่นสัญญาให้ไวจ์นัลดุมไปแล้ว แต่เขาเลือกจะไม่เซ็นด้วยตัวเอง"
ในมุมของนักเตะก็เข้าใจได้ เขายังมั่นใจในฝีเท้าตัวเอง เพราะเป็นตัวจริงทั้งสโมสร และกับทีมชาติฮอลแลนด์ ดังนั้นการย้ายไปทีมใหม่ ที่ให้เงินมากกว่า ก็สมเหตุสมผล อย่าลืมว่านี่ก็ช่วงท้ายอาชีพของเขาแล้วด้วย ใครๆ ก็อยากเงินก้อนโตกันทั้งนั้น
1
เมื่อการเจรจาไม่สำเร็จเสียที ส่งผลต่อสมาธิการเล่นฟุตบอลของไวจ์นัลดุมโดยตรง เขาก่อความผิดพลาด 2 ครั้งติดๆ กัน ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่เจอกับเรอัล มาดริด ทั้งๆ ที่ตัวเองสวมปลอกแขนกัปตันแท้ๆ
เลกแรกที่แพ้ 3-1 ประตูที่ 3 ของเรอัล มาดริด ไวจ์นัลดุมยืนขาตายไม่ขยับมาช่วยเพื่อนเลย จนโดนแฟนบอลแซวว่าเหมือนเป็นหุ่นโชว์ที่ร้านเสื้อผ้า ขณะที่เลกสอง ตอนที่ทีมบุกแหลกเพื่อยิงทวงคืนให้ได้ ไวจ์นัลดุมก้มลงผูกเชือกรองเท้าเฉยเลย ในพื้นที่ Final Third ทั้งๆที่คนอื่นกำลังเซ็ตเกมรุกเตรียมจะยิงอยู่แล้ว
1
เขาดูเล่นไม่จริงจัง ใจลอยไปไหนแล้วก็ไม่รู้ และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ลิเวอร์พูลไปเยือนเวสต์บรอมวิช ที่ฮอว์ธอร์นส เกมจะเสมออยู่แล้ว แต่ช่วงทดเจ็บอลิสซอน เบ็คเกอร์ ขึ้นมาโหม่งเข้าประตูไป ซึ่งนักเตะหงส์แดงดีใจกันอย่างบ้าคลั่ง เข้าไปรุมกอดอลิสซอนกันใหญ่ ส่วนไวจ์นัลดุมวิ่งเหยาะๆ เข้าไปเป็นคนสุดท้ายแบบเสียไม่ได้
คืออารมณ์ร่วม ความมุ่งมั่น ความทุ่มเท ทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่เหมือนเดิม ถึงจุดนั้นทุกคนก็รู้ดีว่า ไวจ์นัลดุมต้องการไปแน่ๆ
ทีมที่ตกเป็นข่าวหนักมากที่สุดตอนแรกคือ บาร์เซโลน่า เตรียมดึงไปประสานงานกับเฟรงกี้ เดอ ยอง และเซร์คิโอ บุสเกตต์ ในแดนกลาง
จริงๆ คล็อปป์บอกชัดเจนมาตลอดว่าอยากเก็บไวจ์นัลดุมเอาไว้ เขาเคยเอ่ยปากชมว่า "นี่คือนักเตะที่คงเส้นคงวาที่สุดของเรา" แต่ถึงตรงนั้นใจของไวจ์นัลดุมไม่อยู่แล้ว เขาประกาศว่าจะขอย้ายทีมแบบฟรีๆ ตามกฎของบอสแมน
มีการวิเคราะห์ว่า ที่ไวจ์นัลดุมต้องการย้ายไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของการถูกยอมรับจากแฟนบอลทั่วๆ ไป คือถ้าว่ากันตรงๆ ถ้าพูดถึงกองกลางลิเวอร์พูล คนก็มักจะพูดถึง ฟาบินโญ่, ติอาโก้ หรือ เฮนเดอร์สันมากกว่า ทั้งๆ ที่ตัวไวจ์นัลดุมเอง ก็มองว่าตัวเขาก็สำคัญไม่ด้อยไปกว่าใครทั้งนั้น
ถ้าคิดดูดีๆ การย้ายทีมไปครั้งนี้ อาจทำให้เขาถูกยอมรับมากขึ้นในโลกฟุตบอลก็ได้ ได้กลายเป็น "ตัวเด่น" แทนที่จะเป็น "ผู้ปิดทองหลังพระ" อย่างทุกวันนี้
1
หลังจากหมดสัญญา ไวจ์นัลดุมตอนแรกจะย้ายไปบาร์ซ่าจริงๆ มีการตกลงกันทางวาจาไปแล้ว แต่ปารีส แซงต์ แชร์กแมง เข้ามาร่วมการเจรจาในโค้งสุดท้าย โดยพร้อมให้ค่าเหนื่อยไวจ์นัลดุม สูงถึง 165,000 ปอนด์ กับสัญญา 3 ปี คือได้รับมากกว่าที่เคยได้กับลิเวอร์พูลเกือบ 2 เท่า
ฝั่งไวจ์นัลดุมมีการแจ้งบาร์เซโลน่า ให้ยื่นค่าเหนื่อยเทียบเท่ากับที่เปแอสเชยื่นข้อเสนอมา ถ้าบาร์ซ่ายอมทำ จะเลือกย้ายไปบาร์ซ่า แต่บาร์ซ่าไม่เอาด้วย ทำให้สุดท้ายไวจ์นัลดุมตัดสินใจย้ายซบเปแอสเชในที่สุด
วันที่ไวจ์นัลดุม เดินออกจากลิเวอร์พูล คล็อปป์ออกมาพูดถึง ในโทนเสียงที่เศร้าใจ เขากล่าวว่า "ผมคงจะคิดถึงเขาแทบบ้าเลย เพราะนี่คือนักเตะที่มีคุณภาพสูงสุด เป็นหนึ่งในนักเตะที่ฉลาดที่สุดที่ผมเคยร่วมงานด้วย เป็นเกียรติอย่างมากจริงๆ ที่ผมได้เป็นโค้ช ผู้เล่นอย่างเขา คือความฝันของผู้จัดการทีมทุกคน"
2
"นั่นคือในฐานะนักเตะ ส่วนในฐานะบุคคลคนหนึ่ง เขาได้ทิ้งช่องว่างขนาดใหญ่มากๆ ให้สโมสร จินี่เป็นคนตรงไปตรงมา มีความเห็นที่เป็นประโยชน์เสมอ และความทะเยอทะยานของเขาช่วยยกระดับทีมของเรา เพื่อนร่วมทีมทุกคนชื่นชมและเคารพเขาจากใจ"
"แน่นอน ตอนนี้เขาย้ายทีมแล้ว ไปอยู่ในความดูแลของคนอื่น เราก็ได้แต่หวังให้เขาประสบความสำเร็จที่ฝรั่งเศส กับเปแอสเช ผมไม่เซอร์ไพรส์เลย ที่เขาได้ย้ายไปทีมที่ยอดเยี่ยมแบบนั้น และเท่าที่ผมเคยสัมผัสเมืองปารีสมา ผมว่าเขาจะตกหลุมรักปารีส และทีมเปแอสเชด้วย"
"ลาก่อน จินี่ นายมาที่นี่ เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง และชนะทุกสิ่งมากมาย นายจะเป็นตำนานของลิเวอร์พูลทั้งในวันนี้และตลอดไป"
คนที่อยากได้ตัวไวจ์นัลดุม คือเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เฮดโค้ชของเปแอสเช ซึ่งจริงๆ โปเช็ตติโน่ชอบไวจ์นัลดุมตั้งแต่คุมสเปอร์สแล้ว แต่ไม่สามารถซื้อตัวได้ในตอนนั้น พอย้ายมาคุมเปแอสเช เมื่อมีโอกาสจะได้ร่วมงานกัน จึงไม่รอช้าคว้าตัวมาเสริมทัพทันที
สำหรับระบบการเล่นที่เปแอสเชใช้ในฤดูกาล 2020-21 คือ 4-3-3 แบบเดียวกับที่คล็อปป์ใช้ที่ลิเวอร์พูล มิดฟิลด์ตัวกลาง จะมีมาร์โก แวร์รัตติ, อันเดร เอร์เรร่า, กาน่า เกย์, ลีอันโดร ปาเรเดส มีอยู่ 4-5 คนสลับกันเล่น โดยไม่มีใครยึดตัวจริงแบบถาวรขนาดนั้น
มุมของโปเช็ตติโน่ เมื่อได้ไวจ์นัลดุมเข้ามา ก็จะสามารถเอามาใช้ เป็นตัวหลักในระบบ 4-3-3 ได้
1
แต่ปัญหาที่ไวจ์นัลดุมไม่คาดคิดมาก่อน คือการย้ายทีมของลีโอเนล เมสซี่ จากบาร์ซ่าสู่เปแอสเชในอีก 2 เดือนต่อมา ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด โปเช็ตติโน่จากที่จะยึด 4-3-3 ในตอนแรก ต้องเปลี่ยนระบบเป็น 4-2-3-1 เพื่อให้เมสซี่เล่นในตำแหน่งควอเตอร์แบ็ก
กองหน้าใช้ เนย์มาร์ - เอ็มบัปเป้ - ดิ มาเรีย มีเมสซี่เล่นกลางรุก ส่วนมิดฟิลด์ 2 คน ก็เอาตัวที่เล่นเกมรับแน่นๆ ไปเลย สุดท้าย จึงไม่มีพื้นที่ให้ไวจ์นัลดุมได้ลงเล่นเหมือนที่เขาคาดหวังตอนแรก
1
จะเล่นกลางรุก ก็ไปทับตำแหน่งเมสซี่ จะเล่นมิดฟิลด์ตัวรับจริงๆ ก็มีคนที่เฉพาะทางมากกว่า หรือจะไปปีกขวาไปเลย เขาก็ไม่ได้เล่นปีกมานานมากแล้ว คือไม่รู้จะจับลงตรงไหนจริงๆ
เธียร์รี่ อองรี อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่า "เขาไม่ใช่ผู้เล่นที่แย่นะ เพียงแต่ต้องรู้ว่าตัวเองควรจะเล่นตรงไหนที่เปแอสเช เคสของไวจ์นัลดุมทำให้ผมคิดถึง ซาอูล นิเกซ ที่กำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบากที่เชลซี"
2
การไม่ได้ลงเล่นต่อเนื่องทำให้เขาฟอร์มดร็อปลงไป แล้วพอโปเช็ตติโน่กลับมาใช้ระบบ 4-3-3 ใหม่ คราวนี้เขาก็ไม่สามารถแย่งตัวจริงมาได้
ไวจ์นัลดุม ก็ยอมรับว่าอึดอัดมากกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เขาให้สัมภาษณ์ว่า "ผมพยายามทำงานอย่างหนัก เพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้น โอเค ผมมายังประเทศใหม่ เจอภาษาใหม่ เจอผู้คนใหม่ๆ ทุกอย่างมันแปลกใหม่สำหรับผมและครอบครัว"
"เวลาผมตัดสินใจอะไร ผมจะเชื่อจากความรู้สึกตัวเอง ตอนที่ผมเลือกเปแอสเช มันเป็นความรู้สึกที่ดี คนเป็นนักฟุตบอลบางครั้งคุณต้องกล้าก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนบ้างอยู่แล้ว ดังนั้นผมจะทำทุกอย่าง ให้การตัดสินใจของผมมันไม่พลาด"
1
อย่างไรก็ตาม ความพยายามของเขาก็ดูจะไม่สัมฤทธิ์ผล โดยทั้งฤดูกาล 2021-22 ไวจ์นัลดุมได้ลงตัวจริงในลีกเอิง 18 นัด จาก 38 นัด ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ ยิงได้ 1 แอสซิสต์ 2 ผลงานไม่น่าประทับใจเลย
ถ้าเป็นเกมที่สำคัญจริงๆ อย่างในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดที่ต้องเจอกับแมนฯ ซิตี้ หรือ เรอัล มาดริด เขาก็จะไม่ได้ลง โปเช็ตติโน่จะใช้พวก ดานิโล่, แวร์รัตติ หรือ ปาเรเดส มากกว่า ไวจ์นัลดุมเป็นตัวเลือกท้ายๆ ที่จะโดนนึกถึง
1
ความเจ็บปวดที่สุดของไวจ์นัลดุม เขาถูกโหวตจากแฟนบอลมากกว่า 1 แสนคน ให้คว้าตำแหน่ง Flop of the season หรือนักเตะตัวล้มเหลวแห่งปี เพราะเขาได้ลงเล่นน้อยมาก ถ้าเทียบกับความคาดหวังที่แฟนบอลมีให้ในช่วงแรก
 
ยิ่งไม่ได้ลง ยิ่งหาทางกลับไม่ได้ จากนั้นเมื่อเปแอสเชเปลี่ยนโค้ช จากโปเช็ตติโน่ เป็นคริสตอฟ กัลทิเยร์ สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก เมื่อเขาโดนตัดทิ้งออกจากทัวร์ปรีซีซั่น สำหรับฤดูกาลใหม่ คือดูยังไง ก็ไม่อยู่ในแผนการทำทีมอีกแล้ว
4
ไวจ์นัลดุมตัดพ้อกับชีวิตที่ปารีสหลายครั้ง เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า "เวลาอะไรๆ มันแย่ ผมจะเป็นนักเตะที่โดนด่าเสมอ"
ถึงจุดนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า ไวจ์นัลดุมกับเปแอสเชไปต่อกันไม่ได้ สโมสรเตรียมโละออกไปเพื่อลดค่าใช้จ่าย ขณะที่ไวจ์นัลดุมก็ต้องการย้ายเช่นกัน เพราะอย่าลืมว่าปลายปีนี้มีฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ถ้าหากเขาไม่ได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ เผลอๆ อาจหลุดโผ 23 ขุนพลทีมชาติฮอลแลนด์ไปลุยกาตาร์เลยก็เป็นได้
สถานการณ์ล่าสุดนั้น สโมสรโรม่าของโชเซ่ มูรินโญ่ อาจยื่นโอกาสให้ไวจ์นัลดุม พิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง โดยตอนนี้อยู่ระหว่างการเจรจากันอยู่ และกระแสข่าวก็แรงขึ้นเรื่อยๆ มีแนวโน้มว่าจะเป็นจริง
1
คือตอนนี้ทีมอะไรก็ต้องเอาไว้ก่อนแล้ว แม้จะไม่ได้เล่นแชมเปี้ยนส์ลีก แต่ก็ยังดีกว่าเป็นตัวสำรองที่ถูกเมินในแคมป์เปแอสเช
เรื่องราวของไวจ์นัลดุม ที่ปารีสก็คงจบลงอย่างเศร้าๆ แบบนี้ และเขาก็ต้องไปสู้กันต่อในเวทีเซเรีย อา ซึ่งบางทีอาจจะคัมแบ็กกลับมาด้วยฟอร์มที่ดีอีกครั้งก็ได้ ใครจะรู้
ดังนั้นเมื่อพูดถึงเคสของไวจ์นัลดุม ก็ต้องยอมรับว่า ชะตาชีวิตผกผันอย่างไม่น่าเชื่อ จากที่เป็นตัวจริงลุ้นแชมป์กับลิเวอร์พูล ต้องกลายมาเป็นตัวสำรองอดทนที่แปแอสเช และแค่ปีเดียวก็เตรียมโดนเลหลังปล่อยออกไปแบบไม่มีเยื่อใย
กรณีของไวจ์นัลดุม ในภาษาอังกฤษ มักจะใช้คำว่า Neighbor's grass is always greener แปลว่า สนามหญ้าของเพื่อนบ้านมักจะสวยกว่าสนามหญ้าของบ้านเราเสมอ
3
ความหมายของมันคือ จุดที่ยืนอยู่ตอนแรก ทั้งๆ ที่มีความสุขดีแล้ว แต่เชื่อว่าอีกฝั่งหนึ่งน่าจะมีความสุขกว่า ก็เลยย้ายไป แต่พอวันหนึ่ง ได้ไปอยู่จริงๆ ถึงได้รู้ว่า หญ้าของอีกบ้านก็ไม่ได้เขียวกว่าบ้านตัวเองเสียหน่อย
2
แต่ก็นะ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าการลงทุนมีความเสี่ยง เมื่อเสี่ยงที่จะออกมาหาความท้าทายใหม่ แน่นอน มันก็มีโอกาสที่จะมีความสุขมากขึ้นนั่นแหละ
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีแบบนั้น คือมันต้องยอมรับให้ได้ด้วย ถ้าทุกอย่างจะไม่ได้สวยงามแบบที่จินตนาการเอาไว้ในตอนแรก
เพราะบางทีชีวิตมันก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่ใจหวังหรอกนะ เมื่อเจ็บมาก็ต้องฝ่าไป มันทำได้แค่นั้นจริงๆ
#GRASSOFNEIGHBOR
โฆษณา