จากนั้น Google จะจับคู่ข้อมูล Conversion กับบัญชี Google ที่ลงชื่อเข้าใช้ และระบุแหล่งที่มาของข้อมูลดังกล่าวกับเหตุการณ์โฆษณาของคุณ เช่น การคลิกหรือการเรียกดู คุณสามารถตั้งค่าคอนเวอร์ชั่นที่ปรับปรุงแล้วด้วยตนเองโดยอาจจะใช้ Google Tag Manager หรือ แท็กที่ติดทั่วเว็บไซต์วิธีใดวิธีหนึ่ง
เทรนด์ที่ 7 : การใช้ Shopify Integration
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Shopify ได้กลายเป็นผู้นำของโลกการตลาดอีคอมเมิร์ซ Google ตอนนี้ “กราฟการช็อปปิ้ง” ของพวก Shopify จะเริ่มดึงข้อมูล (ราคา วิดีโอ ข้อมูลผลิตภัณฑ์) จากแพลตฟอร์มต่างๆ ของ Google เพื่อแจ้งให้ผู้เลือกซื้อออนไลน์ทราบว่าจะพบสินค้าได้ที่ไหน ได้รับสินค้ามากเพียงใด ผู้ขายรายใดมีราคาที่ดีที่สุด และอื่นๆ และ Google ได้ทำให้ผู้ค้าสามารถโปรโมตผลิตภัณฑ์ของตนบนแท็บ Shopping ได้ฟรีแล้ว ซึ่งจะช่วยให้ผู้ค้าเริ่มแสดงโฆษณาบนผลิตภัณฑ์และบริการของ Google ได้ทุกแห่ง
เทรนด์ที่ 8 : การค้นหาสินค้าด้วยรูปภาพ
เมื่อไม่นานมานี้ ผู้โฆษณาสามารถสร้างโฆษณาบนการค้นหาโดยใช้ข้อความเท่านั้น ซึ่งถือว่าทันสมัยกว่า Facebook อยู่มาก และในเดือนกรกฎาคม ปี 2020 Google ได้ประกาศเปิดตัวโปรแกรมเบต้าส่วนขยายรูปภาพสำหรับโฆษณาตามการค้นหา รูปภาพเหล่านี้สามารถคลิกได้และมีราคาเท่ากับโฆษณาแบบข้อความ โดย Google อนุญาตให้อัพโหลดรูปภาพที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด ที่คุณเสนอราคาได้สูงสุด 20 ภาพ ตราบใดที่ตรงตามข้อกำหนด
เทรนด์ที่ 9 : การจับคู่ข้อมูลลูกค้า
การจับคู่ข้อมูลลูกค้าเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณใช้ข้อมูลออนไลน์และออฟไลน์เพื่อกำหนดเป้าหมายลูกค้าเหล่านั้นผ่านช่องทางต่างๆ ของ Google และลูกค้ารายอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายพวกเขา เมื่อคุณอัพโหลดรายชื่อลูกค้า คุณจะต้องรอดูว่าอัตราการจับคู่ของคุณจะเป็นอย่างไร (กล่าวคือ จำนวนผู้ใช้ที่ Google สามารถจับคู่ในฐานผู้ใช้ของพวกเขาได้)
ตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2021 Google ได้เริ่มแสดงอัตราการจับคู่ข้อมูลลูกค้าแบบทันทีจากการอัพโหลดปัจจุบันและในอดีตของคุณ แม้ว่าจะดูเล็กน้อย แต่การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้คุณค้นหาและแก้ไขปัญหาการจับคู่ข้อมูลลูกค้าได้เร็วขึ้น เพื่ออัตราการจับคู่ข้อมูลลูกค้าที่ดีขึ้น Google ขอแนะนำให้เพิ่มข้อมูลลูกค้าให้มากที่สุด เพราะมีโอกาสเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น