บอกตัวเองว่า ‘ไม่เป็นไร’ ไม่ได้ทำให้มันไม่เป็นไร
อาทิตย์ก่อนจู่ ๆ ข้อมือซ้ายของผมก็มีอาการปวดแบบไม่ทราบสาเหตุ ไม่ใช่ข้อพลิกด้วยเพราะลองขยับทุกท่าแล้วมันไม่เจ็บ ไม่ว่าจะอยู่นิ่งหรือขยับเมื่อถึงเวลามันจะปวดขึ้นมาทันที มันจะปวดเป็นจังหวะ จี๊ด ๆ ไม่ได้มาก แต่รบกวนการใช้ชีวิตพอสมควร
โชคดีที่ภรรยาเป็นเภสัชเลยให้ยามาทานและทา
อาการอยู่ได้ประมาณสองวัน แล้วมันก็หายไป
ช่วงสองวันนั้นจะบอกว่าไม่เป็นกังวลคงไม่ถูกนัก เพราะด้วยอาชีพนักเขียน ข้อมือถือว่าเป็นอุปกรณ์ทำงานชิ้นหลักที่ไม่ควรจะเสียเพราะมันซ่อมหรือเปลี่ยนไม่ได้เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ คิดอยู่ในใจว่าถ้ามันเป็นเยอะหรือนานกว่านี้คงต้องไปหาหมอเพื่อตรวจจะดีกว่า ไม่อยากคิดว่า ‘ไม่เป็นไร’ แล้วเป็นอะไรที่แก้ไขไม่ได้จะยุ่งทีหลัง แต่ยังเคราะห์ดีที่เหมือนว่าตอนนี้มันหายไปแล้วและหวังว่าจะไม่กลับมาอีก
เรื่องนี้ทำให้คิดถึงรายการสารคดีเรื่องหนึ่งที่คุณลุงในวัยหกสิบปีบ่นว่าปวดหัวมานานเกือบหกปี ภรรยาคอยบอกเขาเสมอว่า ‘ไปให้หมอตรวจดีกว่าไหม’ เขาก็จะตอบเสมอว่า ‘ไม่เป็นไร ไม่มีใครตายเพราะปวดหัวหรอก’ (ซึ่งความจริงคือมีนะครับ ปวดหัวนี่เรื่องใหญ่ควรไปหาหมอนะ) แต่สุดท้ายอาการปวดมันหนักมากจนคุณลุงต้องไปตรวจ และแน่นอนว่าพบเนื้องอกในสมอง โชคดีที่ยังผ่าตัดได้ทัน แต่ถึงอย่างนั้นโอกาสรอดชีวิตของเขาก็พอ ๆ กับซื้อหวย เรียกได้ว่าเกือบตายเพราะมัวแต่บอกว่า ‘ไม่เป็นไร’
เชื่อว่าในชีวิตของเราน่าจะรู้จักหลายคนที่เป็นเหมือนลุงคนนี้ หัวดื้อ หัวรั้น ‘ไม่เป็นไรหรอก’ อยู่ตลอด ไม่ว่าจะเรื่องสุขภาพร่างกายหรือจิตใจ
แต่ไม่มีใครในโลกนี้หรอกครับที่จะ ‘โอเค’ ในทุก ๆ วันทั้งปีทั้งชาติ เราทุกคนต่างเจอช่วงเวลาแย่ ๆ กันทั้งสิ้น บางทีเราอาจจะ ‘ไม่โอเค’ แต่คนส่วนใหญ่ รวมถึงตัวผมด้วยในบางครั้ง ก็จะพยายามบอกตัวเองว่า ‘ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็โอเค’ ซึ่งมันไม่โอเคเลย
ในหนังสือ ‘Get Out of Your Own Way’ โดยนักจิตแพทย์ Mark Goulston พูดถึงธรรมชาติที่ขัดกับสัญชาตญาณของการรับรู้ความเจ็บปวดเอาไว้ว่า
“การยอมรับกับตัวเองว่าคุณอารมณ์เสียหรือกำลังเจ็บปวดอาจจะทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ คุณกลัวว่าการรับรู้ถึงความรู้สึกแย่ ๆ นั้นจะยิ่งทำให้มันมีอำนาจมากยิ่งขึ้น ความเจ็บอาจจะเยอะขึ้นและคุณอาจจะทนไม่ได้”
เมื่อคุณมีความรู้สึกทางด้านลบ การตอบสนองแรกส่วนใหญ่แล้วคือการไม่ให้ความสำคัญกับมันหรือหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับมันไปเลย แต่ Goulston โต้แย่งว่า
“กลายเป็นว่าสิ่งตรงกันข้ามต่างหากที่เป็นเรื่องจริง การรับรู้ความรู้สึกจะปลดปล่อยความตึงเครียดที่ถูกกดเอาไว้และทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นมากว่าแย่ลง”
มีคนหัวดื้อ ก็มีคนขี้วิตกกังวล คนสองขั้วนี้มีอยู่จริง ๆ คุณไม่อยากจะบึ่งรถไปหาหมอแค่มีน้ำมูกใส ๆ ย้อยนิดหน่อย แต่คุณก็ไม่ควรแสร้งว่าทุกไม่เป็นไรแม้ว่าปวดหัวมานานหลายปีแล้ว
ครั้งต่อไปที่คุณรู้สึกเจ็บปวดหรือรู้สึกแย่ ให้จับตาดูสถานการณ์เอาไว้ให้ดี รับรู้ว่ามันกำลังเกิดขึ้น เช่นว่า
“นี่ปวดหัวมาสามอาทิตย์แล้วนะ ไม่น่าจะโอเคแล้ว”
หรือถ้าเป็นเรื่องอารมณ์
“รู้สึกไม่ค่อยโอเคกับงานเลย รู้สึกหัวหน้าไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำลงไปเลยสักนิด”
พูดออกมาเลยว่าคุณรู้สึกยังไง พูดกับตัวเองหรือคนที่คุณสามารถคุยด้วยได้ การพูดออกมาให้เราได้ระบาย รู้สึก ‘ดีขึ้น’ กับสถานการณ์ตรงนั้นแล้วก็หาทางออกต่อไป สิ่งที่คุณไม่ควรทำเด็ดขาดคือการแสร้งว่าโอเคแต่ข้างในไม่ใช่เลย
บางคนหลอกตัวเองเก่งไม่พอ ยังหลอกคนอื่นให้หลงเชื่อได้ด้วยว่าพวกเขาไม่เป็นไร ซึ่งไม่ใช่ความสามารถที่ควรจะภูมิใจเลย ความบรรลัยอาจจะเกิดตามมาได้ถ้ายังเก็บยัดเอาไว้ บอกว่า ‘ไม่เป็นไร’ ๆ อยู่เรื่อย ๆ
ความเจ็บปวดทางร่างกายอาจจะเป็นสัญญาณของอาการป่วยที่ต้องรีบรักษาก่อนจะสายเกินไป
ความเจ็บปวดทางจิตใจ ยิ่งต้องดูแลอย่างเร่งด่วนเพราะมันจะกลืนกินความสุขและแสงสว่างทุกอย่างในชีวิตได้เลย
ลองทริคเหล่านี้ดูด้วยก็ได้ครับเผื่อว่ามันจะช่วยทำให้อารมณ์คุณอยู่ในจุดที่สมดุลย์มากขึ้น
1. ถ้าเหนื่อย ให้ชะลอการทำงานหรือหยุดเลย
บางวันที่พลังงานเต็มหลอด ทำอะไรได้เยอะมาก ๆ บางวัน...ที่มันล้ามาก ๆ ก็หยุดเถอะครับ อย่าบังคับตัวเองหรือโขกสับตัวเองเลย มันไม่มีประโยชน์ที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ลงไปอีก แน่นอนหล่ะ ถ้าเบื่อหน่อย ๆ หรือเหนื่อยนิด ๆ ก็ยังพอทำได้ แต่ถ้าเป็นวันที่แบบคิดอะไรไม่ออกเลย หัวตื้อไปหมด วางทุกอย่างลงครับ พักสักหน่อย ถ้าคนอื่นบอกว่าไม่ได้ต้องทำ แม้เป็นหัวหน้าก็ตาม...แสดงว่าเขาไม่ได้เห็นความสำคัญของเราตั้งแต่แรก อาจจะต้องลองพิจารณางานที่ทำอยู่อีกครั้ง
2. อย่ากดดันตัวเอง
ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ถ้าไม่ถึงก็...เออช่างมัน งานที่ออกมาแม้พยายามทำดีที่สุดแล้วแต่หัวหน้าก็ยังไม่ชอบก็...เออช่างมัน ลองใหม่อีกครั้ง หรือบางทีวันเกิดอีกละ แก่ขึ้นอีกปีก็...เออช่างมัน มันก็แก่ขึ้นทุกวันแหละ หรือบางทีโปรเจ็กต์ที่คิดว่าน่าจะเวิร์คกลับล้มไม่เป็นท่าก็...เออช่างมัน ยังหายใจอยู่แล้วก็เริ่มทำใหม่ อาจจะรู้สีกแย่ ยอมรับมันครับ คุยกับเพื่อนสนิท แฟน ภรรยา สามี หัวหน้า เพื่อนที่ทำงาน...บอกความรู้สึกไปแล้วก็...เออช่างมัน ลองใหม่
3. นิสัยที่ดี...มักมีผลที่ดีตามมา
อย่าลืมเรื่องการออกกำลังกาย อ่านหนังสือ พัฒนาตัวเอง การนอนยิ่งสำคัญ ถ้าต้องอดหลับอดนอนเพื่อหาเงินมาให้ได้มากขึ้น ระยะยาวอาจจะไม่คุ้มกับค่าหมอก็ได้ คุณอาจจะต้องปล่อยไป นิสัยที่ดีจะส่งผลที่ดีในระยะยาว
4. หัวเราะกับชีวิต
บางทีการมองมุมอื่นว่าชีวิตมันก็มีเรื่องงี่เง่าเกิดขึ้นตลอดเวลา หัวเราะกับมันบ้าง แม้จะรู้สึกแย่ ก็สบทด่ามันไป ชีวิตแม่งห่วย คุยกับเพื่อน ระบาย เขียนไดอารี่ อะไรก็ตามแต่ ปล่อยมันออกไป หัวเราะให้กับชีวิตที่ห่วยแตกบ้างก็ได้
สุดท้ายแล้วถ้าทุกอย่าง ‘มันไม่โอเค’ อย่าไปหัวดื้อมากนัก ขอให้หาคนคุยด้วย ไม่สบาย เครียด หรือซึมเศร้า หาหมอครับอย่ารอ อย่าอีโก้บอกฉันต้องแกร่ง อย่าเอาปัญหาไปกองไว้ใต้พรมแล้วไม่แก้ไขตั้งแต่เนิ่น ๆ จนพอกพูนกลายเป็นปัญหาใหญ่ สุดท้ายอาจจะแก้ไขไม่ทันเพียงเพราะ ‘ไม่เป็นไร’ ก็ได้
อ่านแบบเว็บไซต์ : https://rb.gy/jexkpc
ช่องทางติดตามบทความเพิ่มเติม
Facebook Page : https://www.facebook.com/sopons.blog
Facebook Group : https://facebook.com/groups/4312852958793335/
Apple PodCast : https://podcasts.apple.com/th/podcast/startyup/id1490723177
YouTube Podcast : https://youtube.com/playlist?list=PLnxbAtW-IZrAXi8CCUJsaboNUtYHybUd-
The People, Beartai, The Matter, CapitalRead, 101.World, GQ, a day Bulletin : สามารถค้นหาชื่อ ‘โสภณ ศุภมั่งมี’ ได้เลยครับ
#selfdevelopment #บทความพัฒนาตนเอง #บทความสำหรับคนทำงาน #selfimprovement #พัฒนาตนเอง #ไม่เป็นไร #ไม่เป็นไรไม่ได้ #มันโอเคที่จะไม่โอเค #โสภณชวนอ่าน #soponsblog
- 2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
