29 ก.ค. 2022 เวลา 09:09 • สุขภาพ
"ผมไม่เอ่ยชื่อละกันนะ แต่มีหมอคนหนึ่งโพสต์ตอนที่อเมริกากลับคำพิพากษา (เรื่องสิทธิทำแท้ง) ว่า "ขอบคุณอเมริกา ดีใจที่จะเด็กอีกสองแสนคนจะได้เกิดมา" และโพสต์นั้นมีคนไปกดไลค์เยอะแยะ
นี่เป็นคำพูดของ ผู้บริหารสถาบันวิชาการด้านการแพทย์ของประเทศที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเกิด และการทำแท้งโดยตรง เล่าให้ฟังถึงทัศนคติของหมอ (ในแผนกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้) ว่าเป็นอย่างไร และส่วนใหญ่ยังเป็นแบบนี้
ที่เขาเล่าเพิ่มเติมอีกคือ "ตอนที่มีการแก้ไขกฎหมาย (อนุญาตให้ทำแท้งได้ในอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์) ผมได้รับสายไม่ต่ำกว่า 200 สายจากลูกศิษย์ผมโทรมาบอกว่า หนูจะไม่ทำนะ อันนี้คือเรื่องจริง แล้วคุณจะให้ผมทำอย่างไร"
ประเด็นของเขาก็คือ เขามองว่า เรื่อง (การสู้กัน) ทำแท้งนี่ มีคนสองกลุ่ม คือฝ่ายสนับสนุนให้ทำ กับฝ่ายที่ไม่ยอมทำ ที่ดีที่สุดคือ ใครอยากทำอะไรก็ทำ ใครไม่ทำตามที่ตัวเองต้องการ ก็อย่ามาว่ากัน มาคุยกันดี ๆ (ไม่ใช่แบบที่พวกเราเคยไปด่าเขา แล้วเขาแค้นใจมาก เอามาพูดแล้วพูดอีก ) หาทางออกร่วมกัน
เรานั่งฟังเขาพูด (มากอยู่คนเดียว) จนบางช่วงเกือบหลับ ทั้งที่ในห้องประชุมใหญ่โตนั้น นั่งกันอยู่แค่ 4 คน (รวมเราด้วย) แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรเลย นอกจากตอนก่อนจะกลับมา ตอนที่เขาบ่นเรื่องเคยมีคนมาประท้วง มายืนด่าที่ตึกเขา ก็เลยบอกว่า กลุ่มเราเองแหละ แต่พอดีตอนนั้นเราไม่ได้มา
จริงอยู่ การไปแสดงท่าทีแบบที่เราไปประท้วง อาจดูไม่สุภาพ ไม่ให้เกียรติ แต่เขาไม่เคยมองว่า ก่อนจะมาถึงจุดนั้น เรากับเขาเคยคุยกันไม่รู้เรื่องยังไง ท่าทีของผู้บริหารคนเก่าของเขา ที่ไม่เห็นหัว ไม่ฟังเสียงประชาชนที่เดือดร้อน และยืนกรานจะเอาแต่ความคิดตัวเอง โดยไม่อ้างอิงหลักวิชาการสมัยใหม่ และหลักการเคารพสิทธิของคนอื่นเป็นอย่างไร และเขาอาจไม่เคยรู้ว่า ผู้บริหารคนเก่า เคยชี้หน้าดูถูกหมอจาก RSA ในที่ประชุมกรรมการกฤษฎีกา แบบไม่มีมารยาท ยังไง
เป็นเพราะเราไม่คาดหวังอะไรจากเขา และหน่วยงานเขาอยู่แล้ว ก็เลยฟังไปเรื่อย ๆ ได้ โดยไม่รู้สึกอะไร เมื่อได้เห็นว่า สิ่งที่เขาแสดงออก มันก็ไม่ค่อยต่างจากคนเก่าสักเท่าไหร่ ฟังไป ก็ได้แต่คิดว่า ทำไมเขาถึงคิดแบบนี้นะ แปลกดีที่หมอที่อยู่ในตำแหน่งสูง ๆ แบบนี้ คิดแบบนี้เหมือนกันเลย คือ อ้างว่า แม้จะมีเปอร์เซ็นต์โอกาสเกิดอาการแทรกซ้อนต่ำ (จากการทำแท้งด้วยเครื่องมือ )
แต่ว่า "ผมเป็นหมอ ถ้าใน 5 เปอร์เซ็นต์นั้น (จริง ๆ ไม่ถึงนะ) มันเกิดอาการแทรกซ้อน แล้วคุณจะรับผิดชอบไหม ผมสอนนักศึกษาแพทย์ ผมก็ต้องสอนวิธีแก้ไขปัญหาด้วย ไม่ใช่จะพูดแต่ว่ามันปลอดภัย ๆ อย่างเดียว"
วาทกรรมแบบนี้ ได้ยินหลายครั้งมาก วาทกรรมเรื่องการเอาความกลัวอันตรายต่อคนไข้มาอ้าง แต่จริง ๆ หมอกลัวเรื่องตัวเองจะมีความผิด กลัวถูกฟ้อง พยายามปกป้องตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ต่างหาก
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก แต่ความปลอดภัย และประสิทธิภาพมากกว่า 96 % นี่ก็ถือว่าปลอดภัยมากที่สุดแล้ว และหมอก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องการใช้ยา ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ต้องพึ่งหมอมากเท่าไหร่เลยด้วย
ที่น่าสนใจที่สุดสำหรับเราจากที่ฟังเขา เพราะเขาเป็นคนดูแลหมอด้านนี้อยู่ ก็คือ นักศึกษาแพทย์ปัจจุบัน จบมาด้วยความไม่มั่นใจ และไม่มีทักษะ ( ก็แน่ละ ตัวอย่างเช่น เรื่องทำแท้งคุณก็ไม่สอน ไม่ให้ทำ แล้วจะมีทักษะได้ไง ) เขาก็จะกลัวไปหมด กลัวถูกฟ้อง ดังนั้นอะไรที่เสี่ยง (แบบเรื่องทำแท้ง) เขาจะไปทำทำไม
ที่เขาพูดถูกก็คือ เรื่องนี้เป็นเรื่องทัศนคติของหมอ (และเราไม่ควรไปบังคับใจกัน ) แต่ที่เขาไม่พูดเลยก็คือ หน่วยงานเขาน่ะ เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง และที่เขามองไม่เห็นคือ เขาควรต้องทำอย่างไร เพื่อมาช่วยแก้ไขปัญหาทางฝ่ายที่ไม่ได้รับบริการ ทำอย่างไรจะทำให้หมอรุ่นใหม่ได้มองเห็นสองด้าน ไม่ใช่ปล่อยให้ใครคิดยังไง ทำยังไงก็ได้
จริง ๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่า เมื่อวานคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ที่เล่ามาทั้งหมดนี่คือ หมอ ท่าทางเขาเหมือนนักการเมืองกร่าง ๆ การแสดงออก คำพูดคำจา วิธีคิด ชายเป็นใหญ่มากกว่า 200 เปอร์เซ็นต์ แบบนี้จะเข้าใจเรื่อง ทำแท้งเป็นสิทธิ ได้ยังไง ป่วยการพูด
ถ่ายรูปเขามาอยู่นะ แต่อย่าลงดีกว่า
ขอใช้คำเลียนแบบเขาบ้างว่า
อย่าให้พูดเลยว่า "คน ๆ นี้เป็นใคร"
ขอทำนายไปในอนาคตแบบฟันธงได้เลยว่า
เราคงคุยกันคนละภาษาอีกเหมือนเดิม
เผลอ ๆ คงได้ประท้วงอีก แต่คราวนี้ขอคิดก่อนจะใช้วิธีอะไรดี
ถ้าไปยืนด่าแบบเดิม คงโดนแจ้งจับแน่ ๆ 555
โฆษณา