29 ก.ค. 2022 เวลา 16:28 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
ดาราจักรรักลำนำใจ
ปกติถ้าซีรีส์มีสองภาค จะรอให้ครบทั้งสองภาคก่อนค่อยเขียนทีเดียว
แต่เรื่องนี้ยกเว้น อยากเขียนตั้งแต่จบภาคแรกเลย เพราะก่อนดูไม่คิดว่า บทและนักแสดงจะดึงดูดขนาดนี้
สำหรับเรื่องราวในภาคแรก เน้นชีวิตของเฉิงเซ่าซาง หรือเหนียวเหนี่ยว ลูกสาวคนสุดท้องของครอบครัวนักรบที่ถูกทิ้งไว้ให้ย่ากับอาสะใภ้เลี้ยงดู
เรื่องราวก็คล้ายละครน้ำเน่าของไทย คือ พ่อแม่ส่งเงินมาให้ แต่เซ่าซางกลับอด ๆ อยาก ๆ ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่มีใครสอนกริยามารยาท ออกแนวเกเร เจ้าเล่ห์ เพื่อเอาตัวรอด
เมื่อแม่กับพ่อกลับมาบ้าน เซ่าซางคิดว่าจะได้รับความรัก ความอ่อนโยนที่ต้องการมานาน แต่กลับเจอแม่ที่เข็มงวด และดูเหมือนจะลำเอียงรักหลานสาวมากกว่าลูก จึงมีปัญหาไม่เข้าใจกัน น้อยอกน้อยใจกัน ตลอดภาคแรก
ชีวิตเซ่าซาง มีผู้ชาย 3 คนในชีวิต คนแรกได้หมั้นจนเกือบจะแต่งงานกันแล้ว แต่มีเหตุไม่ได้แต่งงานกัน คนที่สองหมั้นแล้ว วันแต่งกำหนดแล้ว แต่มีเหตุผลัดพรากกันอีก คนที่สาม (ซึ่งจะมีบทบาทมากขึ้นในภาคสอง ส่วนภาคแรก ก็ปากหมาไปวัน ๆ ) ก็ได้หมั้น แต่ไม่ได้แต่งเช่นกัน
ภาพรวมเรื่องนี้ ต้องบอกว่าเป็นซีรีส์ที่มีครบทุกอารมณ์ ทั้ง โรแมนติก ดราม่า บู้ ชิงไหวชิงพริบในทางการเมือง ที่มีความฮาแทรกเป็นระยะได้อย่างลงตัวมาก แถมไม่ได้ทำให้แกนหลักของเรื่องเสียเลย แต่เล่นกับคาแรกเตอร์ตัวละครได้อย่างพอเหมาะ
แม้แต่กับหลิงปู้อี๋ที่โหดเหี้ยม เย็นชา มีความแค้นหล่อเลี้ยงชีวิต แต่ก็ยังมีมุมโบ๊เบ๊ะ ให้ขำโดยไม่ขัดกับบุคลิกของตัวละครแต่อย่างใด
ประเด็นที่ต้องการสื่อสารก็ชัดเจน ทั้งมุมมองความรัก การแก้แค้น ความสัมพันธ์ที่มีปัญหาของแม่บลูกสาว
คนเขียนบทและผู้กำกับก็ขยันขยี้เรื่องราวให้ไปสุดทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นรัก ตลก ดราม่า หรือบู้ ซึ่งต้องให้เครดิตนักแสดงนำทั้งคู่ คือ อู๋เหลย และจ้าวลู่ซือ เช่นกัน
มาว่ากันในประเด็นต่าง ๆ ที่อยากเขียนถึง
ประเด็นเรื่องความสัมพันธ์กับแม่
ความจริงแล้วแม่ทั้งรักและรู้สึกผิดที่ทิ้งลูกสาวคนเดียวไว้ให้คนอื่นเลี้ยง เมื่อกลับมาก็ตั้งใจมาชดเชยให้ลูกสาว แต่ใช้วิธีผิดมากถึงมากที่สุด อาจเพราะแม่ก็เป็นทหาร แถมเลี้ยงแต่ลูกชาย จึงเคยชินกับการใช้ไม้แข็ง ความไม่เข้าใจกันจึงยิ่งขยายกว้างขึ้นไปอีก และยิ่งผลักดันให้เซ่าซางหาทุกทางเพื่อหนีไปจากครอบครัว
เนื่องจากเป็นนางเอกมีความน่ารัก ทำให้คนดูมองข้ามความเกเรที่หนักหนาสาหัสไม่น้อย เลยรุมด่าแม่กันใหญ่
กรณีที่ชัดที่สุดคือ เซ่าซางวางกับดักให้สะพานพังลงมา เพื่อให้ผู้หญิงโขยงหนึ่งที่มีทั้งเคยและไม่เคยแกล้งนาง ตกน้ำ หากมองในอีกมุม มันก็อันตราย น้ำไม่ลึกก็จริง แต่ถ้าไม้หัก ทิ่มใครเข้าสักคนล่ะ เพราะตอนยางยางตกน้ำ หลิงปู้อี๋ยังจะเอาเรื่องว่า ทำให้คนอื่นเป็นอันตรายเหมือนกัน
แม่ต้องทำโทษเซ่าซางนะถูกแล้ว เพียงแต่ใช้วิธีผิดอีกแล้ว แทนที่จะชี้ผิดชี้ถูก กลับเอาแต่โมโห ลงโทษอย่างรุนแรง ซึ่งไม่ได้ช่วยเซ่าซางรู้ตัวว่าทำอะไรผิด แถมยังผลักไสให้ไปอยู่กับอาและอาสะใภ้อีกต่างหาก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์หลายอย่างตามมา
เรื่องนี้มองว่า คนเขียนบทมุ่งให้คาแรกเตอร์ของแม่เป็นตัวร้ายเกินไปนิด เพื่อผลักดันให้เซ่าซางไปอยู่ในจุดซึ่งเป็นดราม่าของเรื่องตลอดเวลา ซึ่งทำให้ความเป็นแม่ในช่วงหลังของภาคแรกหลายจุดดูเหมือนไม่ค่อยมีเหตุผลนัก
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องความเข้มงวด ความลำเอียง ไม่ใช่ว่าไม่มีคนเตือน ทั้งสามีและน้องสะใภ้ก็เตือนอย่างตรงไปตรงมา แถมเซ่าซางก็เคยพูดแสดงความน้อยอกน้อยใจหลายครั้ง แต่แม่กลับไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย กลายเป็นว่า แม่เป็นตัวละครที่ไม่มีพัฒนาการทางความคิดใด ๆ
(ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์จะดีขึ้นในภาคสอง แต่แม่จะกลายเป็นคนที่เสียใจที่สุดเหมือนในนิยายหรือไม่ ต้องรอดูต่อไป )
ฉากที่คิดว่าจงใจที่สุดให้กลายเป็นดราม่า คือ การดูถูกลูกต่อหน้าธารกำนัล เพราะต้องการปฏิเสธการแต่งงานกับหลิงปู้อี๋ ตอนแรกความตกใจเลยรีบปฏิเสธ ยังพอมีเหตุผลฟังได้
แต่พอทั้งฮองเฮา รัชทายาท ก็เสนอทางออกว่า กลับไปคิดใหม่ก่อนไหม ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าการปฏิเสธทันที อาจทำให้ฮ่องเต้โกรธและลงโทษทั้งตระกูล แทนที่จะยอมถอยก่อน แล้วค่อยมาคิดหาทางปฏิเสธทีหลัง กลับยังดันทุรังปฏิเสธต่อ
รู้ทั้งรู้ว่า หลิงปู้อี้ชอบเซ่าซาง และคนอย่างหลิงปู้อี๋จะเอาอะไรก็ต้องเอาให้ได้ ถ้าฮ่องเต้ของขึ้นแล้วถ้าไม่มีใครห้าม สั่งจับครอบครัวตัวเองไปประหาร เซ่าซางก็ต้องแต่งกับหลิงปู้อี้อยู่ดี
อย่างว่าแหละ ถ้าแม่พ่อของเซ่าซางมีสติฉลาดหน่อย ดราม่าขอแต่งงานของหลิงปู้อี้มันก็จะไปไม่สุด
แต่ก็เอาเถอะ อย่าไปจับผิดเยอะ 555 เพราะเราดูเอาบันเทิงเป็นหลัก
ประเด็นเรื่องคู่หมั้นคนแรก
โหลวเหยาเป็นผู้ชายคนแรกที่แสดงออกชัดเจนว่าชอบเซ่าซาง ตอนแรกนางก็ไม่ได้ชอบเขา แต่โหลวเหยาตามใจทุกอย่าง จากที่ไม่เคยมีใครสนใจ ทำให้เซ่าซางรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญขึ้นมา
ยิ่งเมื่อเขาขอแต่งงาน แถมวางแผนกันว่าแต่งแล้วจะไปรับราชการต่างเมือง ก็เหมือนสมประโยชน์ของเซ่าซางด้วย โดยเฉพาะจะได้เป็นอิสระจากแม่ และได้ทำสิ่งที่อยากทำ เพราะเซ่าซางไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่ชอบงานช่าง (นางจะเป็นวิศวกร) เซ่าซางจึงไม่ปฏิเสธ
ในแง่ความสัมพันธ์ฉันท์ชายหญิง ทั้งคู่เหมือนเด็กสองคนที่เป็นเพื่อนสนิท แล้วชวนกันออกไปทำงานต่างเมือง เพราะต้องการเป็นอิสระจากพ่อแม่
เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดต้องถอนหมั้นกัน สำหรับเซ่าซาง จึงเป็นความเสียใจที่ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจไว้ ไม่ใช่เสียใจเพราะอกหัก
ส่วนโหลวเหยา ด้วยความเป็นคนอ่อนโยน ประนีประนอม ไม่ได้ยึดมั่นอะไรเหนียวแน่นหนัก ก็เสียใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับฟูมฟายอะไรนัก
ประเด็นเรื่อง หลิงปู้อี้ขอแต่งงานกับเซ่าซาง
ฉากนี้เรียกว่าเป็นฉากพีคของภาคแรกเลยก็ว่าได้ ในมุมพ่อแม่ของเซ่าซางพูดไปแล้ว มามองในมุมของหลิงปู้อี้บ้าง
หลิงปู้อี๋ ชอบเซ่าซางมาตั้งแต่แรก และไม่ปิดบังใครด้วย แต่คงเพราะบุคลิกแม่ทัพเหมือนคนวางอำนาจตลอดเวลา ตอนแรกเซ่าซางจึงไม่ได้มองว่าเขาจะเข้ามาเกี่ยวข้องอะไรกับนางมากนัก ถึงอย่างนั้นด้วยสัญชาติญาณก็รู้ได้ว่า เขาคือคนกล้าปกป้องทั้งชีวิตและเกียรติของเซ่าซางอย่างเปิดเผยมาตลอด
ทำไมหลิงปู้อี๋ ถึงขอแต่งงานกะทันหันแบบนั้น สาเหตุที่ไม่รอ ไม่ไปบอกกล่าวกับพ่อแม่นางเอกก่อน น่าจะเพราะต้องการปกป้องชื่อเสียงของเซ่าซ่างโดยเร็วที่สุด เพราะเดิมนางก็ถูกนินทาว่าร้ายหนักอยู่แล้ว ยิ่งถูกถอนหมั้น ก็ยิ่งโดนหนัก
แถมมาเจอเหล่าองค์หญิง ท่านหญิงแกล้งก่อนหน้านั้นอีก ก็เลยขอฮ่องเต้ต่อหน้าทุกคนเสียเลย โดยไม่คิดว่าพ่อแม่ของเซ่าซางจะกล้าปฏิเสธด้วยการดูถูกลูกสาวของตัวเองขนาดนั้น
สำหรับเซ่าซาง ลึก ๆ แม้จะพอเดาได้ว่าพ่อแม่ทำแบบนั้นเพราะอะไร แต่การด้อยค่าลูกต่อหน้าธารกำนัล มันเกินกว่าคำว่าน้อยใจไปแล้ว
แต่เหตุผลที่ทำให้เซ่าซางตัดสินใจตอบรับจริง ๆ เริ่มจากฮ่องเต้เริ่มโกรธ นางกลัวว่าพ่อแม่พี่น้องครอบครัวจะซวยกันหมด ก็เลยต้องหาทางออกให้ตัวเองและครอบครัวแบบสวย ๆ
การที่หันไปถามหลิงปู้อี๋ว่า ถ้าเขาเจอคนที่กว่านางร้อยเท่าพันเท่า ยังจะยืนยันการแต่งงานหรือไม่ เพราะต้องการผลักให้หลิงปู้อี๋เป็นฝ่ายปฏิเสธการแต่งงาน นางและครอบครัวก็เป็นอันรอด
แต่เซ่าซางก็คาดไม่ถึงว่า หลิงปู้อี้จะยังยืนยันนั่งยัน แถมสำทับอีกว่าถ้าไม่ใช่นางก็ไม่แต่งกับใคร ผู้หญิงคนไหนได้ยินแบบนี้ ถ้าไม่ใจอ่อนก็ปัญญาอ่อนแล้ว
ที่สำคัญ เซ่าซางย่อมรู้ดีว่าหลิงปู้อี๋ไม่ได้พูดพล่อย ๆ แต่ได้เห็นการกระทำของเขามาตั้งแต่ก่อนหมั้นกับโหลวเหยาด้วยซ้ำไป
ถึงอย่างนั้น มันก็ต้องมีเหตุให้ทะลาะกันก่อนจะที่เซ่าซ่างจะรู้ตัวว่ารู้สึกอย่างไรกับหลิงปู้อี๋
ชอบเขา นั้นชอบแน่ แต่ “รักกัน” กับ “เข้าใจกัน” บางครั้งก็ไม่ได้มาพร้อมกัน
1
หนทางของการเรียนรู้กัน เข้าใจกัน ผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง ก็ไปต่อกันในภาคสอง ซึ่งเข้มข้นขึ้นด้วยการล้างแค้นและการแย่งชิงอำนาจ
ฉากที่ชอบที่สุด คือฉากวันหมั้นของเซ่าซางกับโหลวเหยา ที่หลิงปู้อี๋นำราชโองการชมเชยมาให้เซ่าซาง และเรียกนางไปคุยด้วย
เป็นฉากบอกความในใจและบอกลา ที่ละเมียดละไมดีเหลือเกิน ถึงจะรู้ว่าเซ่าซางกำลังจะแต่งงานไปกับผู้ชายอื่น แต่ทุกคำเต็มไปด้วยความห่วงใย ซ้ำยังช่วยวางแผนอนาคตให้นางมีความสุขอย่างที่ฝันไว้
1
จะไปหาผู้ชายแบบนี้ได้ที่ไหน
เซ่าซางไม่ใช่ไม่หวั่นไหว แค่ยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองเท่านั้น
สำหรับนักแสดงทั้งคู่ ตอนโปรโมทไม่คิดว่าจะทั้งการแสดงส่วนตัว และเคมีของทั้งคู่จะดีมากถึงมากที่สุดขนาดนี้
อันนี้ต้องอวยผู้กำกับที่สามารถดึงทักษะของนักแสดงออกมาโดดเด่นในทุกด้าน โดยเฉพาะอู๋เหล่ย เคยเห็นขี่ม้ามาหลายเรื่อง แต่ไม่มีเรื่องไหนขี่ม้าได้สง่างามเท่าเรื่องนี้เลย รวมกับเขาเองทุ่มเทมากในการลดน้ำหนักเพื่อให้มีรูปลักษณ์เป็นแม่ทัพเหี้ยมหาญที่เติบโตมากับความแค้น
สำหรับอู๋เหล่ย ความสามารถพร้อมอยู่แล้วในทุกด้าน รอแค่มาเจอบทดี ๆ ทีมงานดี ๆ เท่านั้น
ชอบนักแสดงจีนที่ไม่ได้มีแต่ทักษะในการแสดงเท่านั้น แต่ยังมีทักษะอื่นที่เกี่ยวข้องกับการแสดงด้วย อย่างอู๋เหล่ย ขี่ม้า บังคับม้าเก่งมาก จึงสามารถเล่นฉากขี่ม้าได้โดยไม่ต้องใช้สแตนอิน ภาพที่คนดูเห็นยิ่งดูสมจริง ไม่ปลอม ไม่ต้องใช้มุมกล้องหลอก มุมกว้าง มุมแคบ มุมบน ถ่ายได้หมด รวมไปถึงบทบู้ที่แสดงเองเกือบทั้งหมดด้วย
ส่วนจ้าวลู่ซือ นับเป็นนักแสดงหญิงรุ่นใหม่ที่สามารถเล่นตลกได้เป็นธรรมชาติ ในขณะเดียวกันก็เล่นดราม่าได้ดีไม่แพ้กัน เรื่องก่อน ๆ บทให้น้ำหนักไปด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ตลกไปเลย ก็ดราม่าไปเลย แต่เรื่องนี้คือให้น้ำหนักความตลกกับดราม่าพอ ๆ กัน
บทเฉิงเซ่าซาง ไม่มีใครเหมาะกว่าจ้าวลู่ซืออีกแล้ว
สำหรับภาคสอง เป็นการเดินทางของความรักของหลิงปู้อี๋และเฉิงเซ่าซาง การแก้แค้น และการชิงอำนาจ
ดูจากที่ฉายไป 3-4 ท่าทางจะเข้มข้นหนักหน่วงกว่าภาคแรกหลายเท่าแน่ ๆ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา