1 ส.ค. 2022 เวลา 03:49 • หนังสือ
ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน ep 17
ส่วนที่ 2
แฟ้มข้อมูลแห่งความมั่งคั่งที่ 16
คนรวยมุ่งไปข้างหน้าแม้จะหวาดกลัว
คนจนปล่อยให้ความกลัวหยุดยั้งตนเอง
ก่อนหน้านี้เราได้พูดถึงกระบวนการปรากฏผล ขอทบทวนหลักการดังกล่าวอีกครั้ง ความคิดนำไปสู่ความรู้สึก ความรู้สึกนำไปสู่การกระทำ การกระทำนำไปสู่ผลลัพธ์
คนเป็นล้าน "คิด" อยากจะร่ำรวย และคนนับแสนก็ใช้วิธีกล่าวยืนยัน สร้างมโนภาพ และทำสมาธิเพื่อให้ร่ำรวย ผมก็ทำสมาธิแทบทุกวัน แต่ก็ไม่เคยนั่งสมาธิหรือสร้างมโนภาพจนมีถุงเงินหล่นลงมากองตรงหน้าได้เสียที ผมว่าผมคงเป็นเพียงหนึ่งในคนที่โชคไม่ค่อยดีทั้งหลายที่ต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จ
การกล่าวยืนยัน การทำสมาธิ และการสร้างมโนภาพเป็นเครื่องมืออันแสนพิเศษ แต่เท่าที่ผมรู้ การใช้วิธีเหล่านี้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เงินวิ่งมาหาคุณได้ในโลกแห่งความเป็นจริงในโลกแห่งความเป็นจริง คุณต้อง "ลงมือทำ" จริงๆเพื่อความสำเร็จทำไมการลงมือทำจึงสำคัญนัก?
ขอกลับไปที่กระบวนการปรากฏผลอีกครั้ง เมื่อพิจารณาถึงเรื่องของความคิดและความรู้สึก สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยของโลกภายในหรือภายนอก!...โลกภายนอก นั่นหมายความว่า การกระทำคือ "สะพาน" เชื่อมระหว่างโลกภายในและโลกภายนอก
หลักการแห่งความมั่งคั่ง :
การกระทำคือ "สะพาน" เชื่อม
ระหว่างโลกภายในและโลกภายนอกถ้าการกระทำสำคัญขนาดนั้น แล้วอะไรที่ขัดขวางเราจากการลงมือทำในสิ่งที่เรารู้ว่าจำเป็นต้องทำ?
ความกลัวไงล่ะ!
ความกลัว ความไม่แน่ใจ และความกังวล เป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่เพียงแต่ในแง่ของความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสุขของคุณด้วย เพราะฉะนั้น หนึ่งในข้อแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างคนรวยกับคนจนก็คือ คนรวยเต็มใจลงมือทำแม้จะหวาดกลัว แต่คนจนปล่อยให้ความกลัวขัดขวางพวกเขา
ซูซาน เจฟเฟอร์ส ได้เขียนหนังสืออันแสนวิเศษขึ้นมาเล่มหนึ่ง ชื่อว่า Feel The Fear and Do It Anyway ความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ที่สุดของคนส่วนใหญ่คือการรอให้ความกลัวลดน้อยลงหรือจางหายไปก่อนจะเริ่มลงมือทำ และคนเหล่านี้ก็มักลงเอยด้วยการนั่งรอตลอดไป
หนึ่งในโปรแกรมการฝึกอบรมที่ได้รับ ความนิยมที่สุดของบริษัทผมคือ โปรแกรม Enlightened Warrior Training Camp ซึ่งสอนว่านักรบที่แท้จริงต้องสามารถ "ทำให้งูเห่าแห่งความกลัวเชื่องลงได้" เราไม่ได้บอกว่าให้คุณค่างูของตัวนั้น และไม่ได้บอกให้กำจัดมันทิ้งไป และที่แน่ๆก็คือ เราไม่ได้บอกให้คุณวิ่งหนีมัน เราบอกให้คุณฝึกงูของตัวนั้นให้ "เชื่อง"
หลักการแห่งความมั่งคั่ง
นักรบที่แท้จริงสามารถทำให้งูเห่าแห่งความกลัวเชื่องได้
คุณต้องเข้าใจเสียก่อนว่าคุณสามารถประสบความสำเร็จได้โดยไม่จำเป็นต้องขจัดความกลัว คนรวยและผู้ที่ประสบความสำเร็จก็มีความกลัว ความไม่แน่ใจ และความกังวลเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาไม่ปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นมาหยุดยั้งตนเอง ส่วนผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จมีความกลัว ความไม่แน่ใจ และความกังวล แล้วก็ยอมให้ความรู้สึกเหล่านั้นเข้าครอบงำ
หลักการแห่งความมั่งคั่ง
คุณสามารถประสบความสำเร็จได้โดยไม่จำเป็นต้องขจัดความกลัว
เนื่องจากมนุษย์ทุกคนล้วนมีนิสัยติดตัวเราจึงต้องฝึกลงมือทำแม้จะหวาดกลัว แม้จะกังขา แม้จะกังวล แม้จะไม่แน่ใจ แม้จะไม่สะดวก แม้จะอึดอัด และแม้ว่าเราไม่มีอารมณ์อยากจะทำ
ผมจำการสัมมนาในเย็นวันหนึ่งที่ ซีแอตเติ้ล ได้ ตอนใกล้จะจบการสัมมนา ผมแจ้งให้ทุกคนทราบถึงคอร์สสัมมนา 3 วันที่จะจัดขึ้นในแวนคูเวอร์ ชายคนหนึ่งยืนขึ้นแล้วพูดว่า " ฮาร์ฟ ผมมีญาติและเพื่อนฝูงนับ 10 คนที่เคยเข้าคอร์สนั้น และผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าทึ่งจริงๆพวกเขาทุกคนต่างมีความสุขกว่าเมื่อก่อน 10 เท่า และกำลังอยู่บนเส้นทางสู่ความสำเร็จทางการเงิน พวกเขาล้วนบอกว่ามันเปลี่ยนแปลงชีวิตเขา และถ้าคุณจัดคอร์สนั้นที่ ซีแอตเติ้ล ผมต้องเข้าร่วมแน่"
ผมขอบคุณเขาสำหรับคำชม แล้วจึงถามว่าเขาอยากได้คำแนะนำไหม เขาตอบตกลง ผมจึงบอกไปว่า "ผมอยากจะพูดกับคุณแค่ 3-4 คำเท่านั้น" เขาถามยังร่าเริง "อะไรหรือครับ" ซึ่งผมก็ตอบกลับไปแบบห้วนๆว่า "คุณกำลังถังแตกใช่ไหม!"
แล้วผมก็ถามว่าฐานะทางการเงินของเขาเป็นอย่างไรบ้างเขาตอบแบบเขินๆว่า "ไม่ค่อยดีเท่าไหร่" ผมตอบกลับไปว่า "ไม่น่าแปลกใจเลย" แล้วผมก็เปิดฉากอบรมเขาเสียงดังหน้าห้องว่า "ถ้าคุณปล่อยให้การขับรถ 3 ชั่วโมง หรือการนั่งเครื่องบิน 3 ชั่วโมง หรือการนั่งรถมา 3 วัน หยุดยั้งคุณจากการทำสิ่งที่คุณต้องการและจำเป็นต้องทำ จะมีอะไรอีกบ้างที่จะหยุดยั้งคุณได้?"
คำตอบง่ายๆก็คือ ทุกๆอย่าง! อะไรก็หยุดคุณได้ทั้งนั้นไม่ใช่เพราะขนาดของปัญหา แต่เป็นเพราะขนาดของตัวคุณเอง!
"ไม่มีอะไรมากหรอก" ผมพูดต่อ "คุณเลือกได้ว่าจะเป็นคนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆหรือเป็นคนที่ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ ถ้าคุณต้องการสร้างฐานะหรือความสำเร็จ คุณต้องทำตัวเป็นนักรบ คุณต้องเต็มใจที่จะทำทุกอย่างที่ต้องทำ คุณต้อง 'ฝึก' ตัวเองไม่ให้มีสิ่งใดมาหยุดยั้งคุณได้"
"การสร้างฐานะให้ร่ำรวยไม่ใช่เรื่องที่ทำได้สบายๆมันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายเสมอไป อันที่จริง การสร้างความมั่งคั่งอาจเป็นเรื่องแสนสาหัสทีเดียวแล้วยังไงล่ะ? หนึ่งในกฎของการเป็นนักรบคือ 'ถ้าคุณเต็มใจจะทำแต่เรื่องง่าย ชีวิตก็จะกลายเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าคุณเต็มใจทำเรื่องยาก ชีวิตก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย' คนรวยไม่ได้ตัดสินใจทำอะไรเพราะเห็นแก่ความง่ายดายหรือความสะดวกวิถีชีวิตแบบนั้นมีไว้สำหรับคนจนและชนชั้นกลางเท่านั้น"
หลักการแห่งความมั่งคั่ง :
ถ้าคุณเต็มใจจะทำแต่เรื่องง่าย ชีวิตก็จะกลายเป็นเรื่องยาก
แต่ถ้าคุณเต็มใจทำเรื่องยาก ชีวิตก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย
เมื่อคำสั่งสอนของผมจบลง ทั้งห้องเงียบกริบ
ต่อมา ชายคนนั้นก็เดินเข้ามาหาผมและขอบคุณผมยกใหญ่ที่ "ทำให้เขาหูตาสว่างขึ้น" แน่นอน เขาสมัครเข้าร่วมในคอร์สนั้น (แม้ว่ามันจะจัดในแวนคูเวอร์) แต่ที่ตลกที่สุดก็คือ ผมบังเอิญได้ยินเขาคุยโทรศัพท์ตอนกำลังเดินออกจากห้อง เขากำลังสั่งสอนเพื่อนทางโทรศัพท์ด้วยสุนทรพจน์แบบเดียวกับที่ผมพูดเป๊ะ ผมว่ามันคงได้ผลเพราะวันต่อมาเขาก็โทรมาสำรองที่นั่งในการสัมนาอีก 3 ที่ พวกเขาล้วนมาจากฝั่งตะวันออก...และทุกคนก็จะเดินทางไปแหวน cover!
เราพูดถึงความสะดวกสบายไปแล้ว ที่นี้ลองมาดูว่า อะไรล่ะที่เรียกว่าความอึดอัด? ทำไมการลงมือทำทั้งที่ลำบากถึงสำคัญนัก? นั่นก็เป็นเพราะ "ความสบาย" คือสถานะที่คุณเป็นอยู่ตอนนี้ถ้าคุณอยากก้าวขึ้นไปอีกขั้นในชีวิต คุณต้องก้าวออกมาจากเขตความสบาย และฝึกฝนตนเองให้ทำในสิ่งที่รู้สึกอึดอัด
สมมุติว่าคุณกำลังใช้ชีวิตในความสำเร็จระดับ 5 และต้องการไต่ขึ้นไปสู่ระดับ 10 เขตความสบายของคุณคือระดับ 5 และต่ำกว่านั้น และตั้งแต่ระดับ 6 ขึ้นไปคือสิ่งที่อยู่นอกเหนือเขตความเคยชินของคุณ และก้าวล้ำเข้าไปในเขต "ความอึดอัด" นั่นหมายความว่า การจัดไปจากระดับที่ 5 ไปสู่ระดับ 10 คุณจะต้องก้าวผ่านเขตความอึดอัดด้วย
คนจนและชนชั้นกลางส่วนใหญ่ไม่เต็มใจที่จะรู้สึกอึดอัดยังจำได้ไหมว่าความสบายคือจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเขา แต่ผมขอบอกความลับที่มีแต่คนรวยและคนประสบความสำเร็จเท่านั้นที่รู้ดี นั่นคือ ความสบายเป็นหนทางไปสู่ความประมาท ความสบายอาจทำให้คุณรู้สึกอบอุ่น เบาใจ และมั่นคง แต่มันไม่สามารถทำให้คุณเติบโตได้ การเติบโตต้องอาศัยการก้าวล้ำเขตความสบายของคุณออกไป คุณจะสามารถเติบโตอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อคุณก้าวออกนอกเขตความสบายเท่านั้น
ผมขอถามอะไรสักข้อหนึ่ง ครั้งแรกที่คุณพยายามทำสิ่งใหม่ๆคุณรู้สึกสบายใจหรืออึดอัด แน่นอนว่ามักจะอึดอัด แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นล่ะ? ยิ่งคุณฝึกฝนมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งรู้สึกสบายใจกับมันมากขึ้นเท่านั้น ถูกไหม? นั่นล่ะวิถีทางของมัน ทุกอย่างต้องเริ่มจากความอึดอัด แต่ถ้าคุณมุ่งมั่นและทำต่อไป ในที่สุดคุณก็จะก้าวพ้นความอึดอัดนั้นและประสบความสำเร็จในที่สุด จากนั้นคุณก็จะมีเขตความสบายใหม่ที่ขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งหมายความว่าคุณกลายเป็นคนที่ "โตกว่าเดิม"
ขอย้ำอีกครั้งว่า เวลาเดียวที่คุณสามารถเติบโตได้คือชั่วขณะที่คุณรู้สึกอึดอัด ตั้งแต่นี้ไป เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกอึดอัด แทนที่จะลาดหอยกลับเข้าไปในเขตแสนสบายที่คุ้นเคย ให้ลูบหลังตัวเองแล้วบอกว่า "ฉันต้องโตขึ้น" และก้าวต่อไปข้างหน้า
หลักการความมั่งคั่ง :
เวลาเดียวที่คุณสามารถเติบโตได้คือชั่วขณะที่คุณรู้สึกอึดอัด
ถ้าคุณอยากจะรวยและประสบความสำเร็จ คุณน่าจะรีบทำตัวให้คุ้นเคยกับความรู้สึกอึดอัดได้แล้ว จงฝึกฝนการก้าวเข้าสู่เขตที่ทำให้คุณรู้สึกอึดอัดและทำในสิ่งที่คุณกลัว ผมอยากให้คุณจำสมการต่อไปนี้ให้ขึ้นใจ ข.ส. = ข.ร.
ซึ่งหมายความว่า "เขตความสบาย" เท่ากับ "เขตความร่ำรวย"
ยิ่งคุณขยายเขตความสบายออกไปได้มากเท่าไหร่ เขตความร่ำรวยและรายได้ก็จะยิ่งกว้างขึ้นเท่านั้น แต่ยิ่งคุณอยากสบายมากเท่าไหร่ คุณก็จะเต็มใจเผชิญความเสี่ยงน้อยลง มีโอกาสผ่านเข้ามาในชีวิตน้อยลง พบปะผู้คนน้อยลง ลองทำสิ่งใหม่ๆน้อยลง คุณตามผมทันไหมครับ? ยิ่งคุณให้ความสำคัญกับการอยู่อย่างสบายๆมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งยึดติดกับความกลัวมากขึ้นเท่านั้น
ในทางกลับกัน เมื่อคุณเต็มใจ ยืดโดดโดด ขนาดตัวคุณเองคุณก็จะได้ขยายขอบเขตแห่งโอกาส ทำให้คุณสามารถหาและเก็บรายได้เพื่อสร้างฐานะสู่ความร่ำรวยยิ่งขึ้น เมื่อคุณมี ภาชนะ (ขอบเขตความสบาย) ใบใหญ่ขึ้น สวรรค์ก็จะเร่งเติมภาชนะใบนั้นให้เต็ม คนรวยผู้ประสบความสำเร็จมีขอบเขตความสบายที่กว้างขวาง และยังตั้งหน้าตั้งตาขยายขอบเขตของตนเพิ่มเรื่อยๆเพื่อสร้างฐานะอันมั่งคั่งและรักษามันไว้
ไม่มีใครเคยตายเพราะความอึดอัด แต่การใช้ชีวิตแบบยึดติดกับความสบายนี่สิที่ฆ่าไอเดีย โอกาส การลงมือทำ และการเติบโตมานักต่อนัก ยิ่งกว่าสาเหตุอื่นใดทั้งหมดรวมกันเสียอีก ความสบายบ่อนทำลายคุณ! ถ้าเป้าหมายในชีวิตคุณคือความสบาย ผมรับประกันได้ 2 อย่าง อย่างแรกคือ คุณจะไม่มีวันรวย
อย่างที่สอง คือ คุณจะไม่มีวันมีความสุข ความสุขไม่ได้มาจากการใช้ชีวิตอย่างสบายๆไปวันๆพร้อมๆกับนึกสงสัยตลอดเวลาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตบ้าง แต่ความสุขเกิดจากการเติบโตตามอัตราการเติบโตที่ควรจะเป็นและการใช้ชีวิตด้วยศักยภาพสูงสุดของตัวเรา
ลองดูนะครับ ครั้งต่อไปที่คุณรู้สึกอึดอัด ไม่แน่ใจ หรือกลัว แทนที่จะรู้สึกหงอแล้วถอยหลังกลับเข้าเขตปลอดภัย ให้ก้าวต่อไปข้างหน้า สังเกตและเผชิญหน้ากับความรู้สึกอึดอัดนั้น เตือนตัวเองเอาไว้ว่ามันเป็นเพียงแค่ความรู้สึก...และมันไม่มีอำนาจที่จะหยุดยั้งคุณ ถ้าคุณทำต่อไปด้วยใจที่แน่วแน่แม้จะรู้สึกอึดอัด คุณก็จะบรรลุเป้าหมายในที่สุด
ไม่ว่าความรู้สึกอึดอัดจะจางหายไปหรือไม่ มันก็ไม่สำคัญ อันที่จริง เมื่อมันลดน้อยลง นั่นคือสัญญาณว่าคุณควรตั้งเป้าหมายของคุณให้สูงขึ้น เพราะในนาทีที่คุณเริ่มสบาย คุณก็จะหยุดเติบโต แล้วก็อย่างที่ผมบอกไปนั่นแหละ ถ้าต้องการเติบโตให้ถึงขีดสุดของศักยภาพ คุณต้องใช้ชีวิตอยู่ที่บริเวณขอบเขตที่กั้นระหว่างความสบายและความอึดอัด
เนื่องจากมนุษย์เราทุกคนล้วนมีนิสัยติดตัว เราจึงเลือกต้องฝึกฝน ผมสนับสนุนให้คุณฝึกปฏิบัติแม้จะหวาดกลัว แม้จะไม่สะดวก แม้จะอึดอัด และแม้ว่าคุณไม่อยู่ในอารมณ์อยากจะทำ อาการฝึกฝนเช่นนี้ คุณจะก้าวไปสู่อีกระดับขั้นของชีวิตได้อย่างรวดเร็วพร้อมกันนี้ ขอให้คุณคอยตรวจดูตัวเลขในบัญชีธนาคารด้วยเพราะรับประกันได้เลยว่า ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เมื่อมาถึงจุดนี้ ในช่วงท้ายของการสัมมนา ผมจะถามผู้เข้าร่วมสัมมนาว่า "พวกคุณคนไหนเต็มใจจะลงมือทำทั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับความกลัวและความอึดอัดบ้าง?" ทุกคนยกมือขึ้นเหมือนเช่นเคย (อาจเป็นเพราะพวกเขากลัวจนหัวหดว่าผมจะ "เลือก" คนที่ไม่ยกมือ) แล้วผมก็จะพูดว่า "แค่พูดมาง่าย! ไหนดูซิว่าคุณทำได้จริงหรือเปล่า"
แล้วผมก็จะหยิบลูกธนูไม้ซึ่งมีปลายลูกศรเป็นโลหะขึ้นมาและประกาศว่า เพื่อฝึกฝนหลักการนี้ ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะต้องหักลูกธนูนี้ด้วยลำคอ แล้วผมก็สาธิตด้วยการจอบลายลูกธนูที่ทำจากโลหะเข้ากับเนื้อนุ่มๆตรงคอ ขณะที่ให้กี่คนใช้ฝ่ามือยันอีกข้างของปลายธนูไว้ คุณต้องเดินตรงเข้าหาลูกธนูจนกว่ามันจะหักด้วยลำคอของคุณ และโดยที่มันไม่เจาะทะลุคอหอยคุณ
เมื่อได้ยินดังนั้น คนส่วนใหญ่ต่างพากันช็อค! บางครั้งผมก็เลือกอาสาสมัครคนหนึ่งมาลองทำ บางครั้งผมก็แจกลูกธนูให้ทุกคน ผมเคยให้ผู้เข้าร่วมสัมมนากว่า 1,000 คนลองหักลูกธนูด้วยซ้ำ!
กิจกรรมนี้สามารถทำได้จริงไหม? จริงสิ แล้วมันน่ากลัวไหม? ไม่ต้องถามก็น่าจะรู้ น่าอึดอัดไหม? แน่นอนที่สุด แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ อย่าให้ความกลัวและความลำบากมาหยุดยั้งคุณได้ นี่คือเรื่องของการฝึกฝน ฝึกตัวเองให้ทำในสิ่งที่ต้องทำและลงมือทำแม้จะมีอุปสรรคขัดขวาง
คนส่วนใหญ่หักลูกธนูได้ไหม? ได้ครับ ทุกคนที่เดินเข้าหาลูกธนูด้วยความมุ่งมั่นเต็มร้อยสามารถหักมันได้ คนที่หักไม่ได้คือคนที่เดินเข้าหามันอย่างช้าๆและล้านๆละลัง หรือไม่กล้าทำตั้งแต่แรก
หลังแบบฝึกหัดลูกธนู ผมจะถามทุกคนว่า "มีใครบ้างที่พบว่าการหักลูกธนูทำได้ง่ายกว่าที่คิดไว้มาก?" ทุกคนล้วนเห็นฟ้องว่ามันเป็นเรื่องง่ายกว่าที่คิด ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? นี่คือหนึ่งในบทเรียนสำคัญที่สุดที่คุณจะได้ค้นพบ
สมองของคุณคือนักเขียนบทละครน้ำเน่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มันสร้างเรื่องเหลือเชื่อขึ้นมามากมาย โดยวนเวียนอยู่แต่กลับเรื่องโศกเศร้าและหายนะ เรื่องของสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นและอาจไม่มีวันเกิดขึ้นเลย มาร์ค ทเวน กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ได้ดีที่สุด "ผมมีปัญหาเป็นพันๆเรื่องในชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงๆเลย"
หนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุดที่คุณควรทำความเข้าใจไว้คือ ตัวคุณไม่ใช่ความคิดของคุณ คุณใหญ่โตกว่าและเข้มแข็งกว่าความคิดของคุณ ความคิดของคุณเป็นแค่ส่วนหนึ่งของคุณ เหมือนมือซึ่งเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของคุณ
เราคิดถึงคำถามนี้ดูนะครับ จะเป็นอย่างไรถ้าคุณมีมือที่ทำตัวเหมือนกับความคิดของคุณ? มันก็คงจะเตลิดไปทั่วสารทิศ ตบตีคุณตลอดเวลา และไม่เคยหุบปาก แล้วคุณจะทำยังไงกับมันดี? คนส่วนใหญ่คงตอบประมาณว่า "ตัดมันทิ้งซะ!" แต่มือคุณเป็นเครื่องมือที่ทรงอำนาจ แล้วคุณจะตัดมันทิ้งไปได้อย่างไรล่ะ? แน่นอน คำตอบที่แท้จริงก็คือ คุณต้องหัดควบคุมมัน บริหารมัน และฝึกให้มันทำงานให้คุณ แทนที่จะเป็นปรปักษ์กับคุณ
การฝึกฝนและบริหารความคิดของคุณเป็นทักษะสำคัญที่สุดที่คุณควรมีไว้ครอบครอง เพื่อให้บรรลุความสุขและความสำเร็จและนั่นคือสิ่งที่เรากำลังฝึกฝนกันในหนังสือเล่มนี้
หลักการแห่งความมั่งคั่ง
การฝึกฝนและบริหารความคิดของคุณเป็นทักษะสำคัญที่สุดที่คุณควรมีไว้ครอบครองเพื่อให้บรรลุความสุขและความสำเร็จ
คุณจะฝึกความคิดของคุณได้อย่างไร? เริ่มต้นจากการสำรวจ ลองสังเกตว่าจิตของคุณสร้างความคิดที่เป็นอุปสรรคต่อความร่ำรวยและความสุขของคุณอย่างไร เมื่อคุณสามารถบ่งชี้ความคิดเหล่านั้นได้แล้ว คุณก็ย่อมสามารถแทนที่ความคิดที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เหล่านั้นด้วยความคิดที่ก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่า แล้วคุณจะหาวิธีการคิดที่ก่อให้เกิดประโยชน์ได้จากที่ไหน? ก็จากที่นี่ ในหนังสือเล่มนี้นั่นเอง ทุกคำประกาศเจตจำนงในหนังสือเล่มนี้เป็นวิธีคิดที่ก่อให้เกิดประโยชน์และเอื้อต่อความสำเร็จของคุณ
ฝึกวิธีคิด วิธีการใช้ชีวิต และทัศนคติเหล่านี้จนเป็นนิสัย คุณไม่ต้องรอคำเชื้อเชิญอย่างเป็นทางการหรอก จงตัดสินใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ว่าชีวิตของคุณจะดีขึ้นถ้าคุณเลือกวิธีคิดที่สอดคล้องกับหลักการในหนังสือเล่มนี้ แทนที่จะยึดติดกับความคิดที่บั่นทอนตัวเองดัง เช่นที่ผ่านมาในอดีต จงตัดสินใจตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปว่าความคิดของคุณมิได้ควบคุมคุณ คุณต่างหากที่ควบคุมความคิดตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ความคิดของคุณไม่ใช่กัปตันบังคับเรือ คุณต่างหากที่เป็นกัปตัน จงให้ความคิดทำงานให้คุณ
คุณสามารถเลือกที่จะคิดได้
โดยธรรมชาติแล้ว คุณสามารถยกเลิกความคิดใดๆก็ตามที่ไม่ส่งผลดีกับตัวคุณได้ตลอดเวลา นอกจากนี้คุณยังสามารถคิดในแบบที่เกื้อหนุนตัวเองได้ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน เคล็ดลับง่ายๆก็คือ การเลือกที่จะเพ่งความสนใจไปที่ความคิดแง่บวก จำไว้ว่าคุณมีอำนาจในการควบคุมความคิดของตัวเอง
หนึ่งในเพื่อนสนิทที่สุดของผม โรเบิร์ต อัลเลน ซึ่งเป็นนักเขียนหนังสือขายดีหลายเล่ม เคยกล่าวไว้อย่างลุ่มลึกทีเดียวว่า "ไม่มีความคิดใดอยู่ในหัวเราได้ฟรีๆ"
มันหมายความว่า คุณต้องสูญเสียอะไรบางอย่างสำหรับความคิดในแง่ลบ คุณอาจจะต้องเสียเป็นเงิน พลัง เวลา สุขภาพ และความสุข ถ้าคุณอยากจะก้าวไปสู่อีกระดับชั้นหนึ่ง ของชีวิตอย่างรวดเร็ว จงเริ่มแบ่งแยกความคิดของคุณออกเป็นสองฝ่าย...ฝ่ายเกื้อหนุนและฝ่ายบ่อนทำลายตัวเอง สำรวจความคิดต่างๆในหัวคุณและตัดสินว่าความคิดเหล่านั้นเพื่อหนุนความสุขและความสำเร็จของคุณหรือไม่
จากนั้นจึงเลือกเปิดรับเฉพาะความคิดที่เกื้อหนุนและไม่ต้องให้ความสนใจกับความคิดบ่อนทำลาย เมื่อความคิดบ่อนทำลายผุดขึ้นมา ให้บอกตัวเองว่า "ยกเลิก!" หรือ "ขอบคุณนะที่แสดงความเห็น" แล้วดึงเอาความคิดที่เกื้อหนุนมากกว่าเข้ามาแทนที่ ผมเรียกกระบวนการนี้ว่า การคิดเสริมพลัง และจงจำคำของผมไว้ ถ้าคุณฝึกฝนมัน ชีวิตคุณจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกเลย ผมกล้าท้า!
แล้ว "การคิดเสริมพลัง" กับ "การคิดเชิงบวก" แตกต่างกันอย่างไร? ความแตกต่างมีน้อยนิด ถ้าว่าลึกซึ้ง สำหรับผมแล้ว คนเราใช้การคิดเชิงบวกเพื่อสร้างทำเป็นเหมือนว่าทุกอย่างโรยด้วยกลีบกุหลาบ ทั้งๆที่พวกเขาเชื่อว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย แต่สำหรับการคิดเสริมพลัง เราเข้าใจว่าทุกอย่างล้วนเป็นกลาง ไม่มีสิ่งใดมีความหมายนอกจากความหมายที่เรามอบให้มันเอง และเราสามารถสร้างเรื่องขึ้นมาเองและให้ความหมายกับมัน
นี่คือความแตกต่างของการคิดเชิงบวกและการคิดเสริมพลัง เมื่อคิดเชิงบวก เราต้องเชื่อว่าความคิดเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง แต่สำหรับการคิดเสริมพลัง เราตระหนักว่าความคิดของเราไม่ใช่เรื่องจริง แต่เนื่องจากความคิดใดๆในหัวเราก็เกิดจากการสร้างขึ้นมาเองอยู่แล้ว เราจึงน่าจะหันมาสร้างเรื่องที่เป็นประโยชน์กับตัวเราเอง เราไม่ได้ทำแบบนี้เพราะความคิดใหม่ของเราเป็น "ความจริง"
ในทุกๆแง่มุม แต่เพราะมันเป็นประโยชน์กับเราและให้ความรู้สึกที่ดีกว่าความคิดที่บั่นทอนพลังมากมายนัก
ก่อนจะสิ้นสุดบทเรียนนี้ ผมต้องขอเตือนก่อนว่า...อย่าลองทำแบบฝึกหัดหัดลูกธนูเองที่บ้าน แบบฝึกหัดนี้ต้องได้รับการเตรียมการพิเศษ ไม่เช่นนั้นคุณอาจเจ็บตัวหรือทำคนอื่นๆเจ็บตัวได้
ประกาศเจตจำนง :
เอามือวางภาพหัวใจแล้วพูดว่า....
"ฉันลงมือทำทั้งๆที่กลัว"
"ฉันลงมือทำทั้งๆที่กางขา"
"ฉันลงมือทำทั้งๆที่กังวล"
"ฉันลงมือทำทั้งๆที่ไม่สะดวก"
"ฉันลงมือทำทั้งๆที่อึดอัดใจ"
"ฉันลงมือทำทั้งๆที่ไม่มีอารมณ์อยากทำ"
เอานิ้วชี้แตะที่ศีรษะของคุณแล้วพูดว่า...
"ฉันมีสมองเงินล้าน!"
*ข้อปฏิบัติสมองเงินล้าน*
1. เขียนความวิตกกังวลหรือความกลัวที่สุด 3 อย่างของคุณในเรื่องเงินๆทองๆและความร่ำรวย แล้วลองหักล้างความคิดเหล่านั้น ให้เขียนวิธีรับมือกับแต่ละสถานการณ์เมื่อมันเกิดขึ้นจริง คุณยังจะมีชีวิตรอดอยู่ไหม? คุณจะกลับมาตั้งตัวใหม่ได้ไหม? โอกาสมีสูงมากที่คุณจะตอบว่าใช่ เพราะฉะนั้นเลิกกังวลแล้วมาเริ่มลงมือสร้างฐานะไปสู่ความมั่งคั่งกันดีกว่า!
2. ฝึกก้าวออกนอกเขตความสบายของคุณ ให้คุณตัดสินใจทำในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง ลองพูดกับคนที่คุณไม่อยากคุยด้วย ขอขึ้นเงินเดือนหรือขึ้นราคาสินค้า ตื่นให้เช้าขึ้น 1 ชั่วโมง เดินเข้าป่าในเวลากลางคืน
3. หัดใช้ "การคิดเสริมพลัง" ลองสำรวจตัวเองและรูปแบบความคิดของคุณ ให้ส่งเสริมเฉพาะความคิดที่เกื้อหนุนความสุขและความสำเร็จ คัดค้านเสียงเล็กๆในหัวเมื่อใดก็ตามที่มันบอกว่า "ฉันทำไม่ได้" หรือ "ฉันไม่ต้องการจะทำ" หรือ "ฉันไม่รู้สึกอยากทำเลย" อย่าให้เสียงที่มาจากความกลัวและความรักสบายมาครบนำคุณได้
จงทำสนธิสัญญากับตัวเองว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เสียงเล็กๆนั่นพยายามหยุดยั้งคุณจากการกระทำอะไรที่เอื้อต่อความสำเร็จ คุณก็จะเดินหน้าทำต่อไป เพื่อแสดงให้ความคิดในหัวคุณรู้ว่าคุณต่างหากที่เป็นเจ้านาย ไม่ใช่มัน ไม่เพียงแต่คุณจะสามารถเพิ่มพูนความมั่นใจในตนเองได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ในที่สุด เสียงนี้ก็จะค่อยๆหายไปเมื่อมันรู้ตัวว่าไม่สามารถทำอะไรคุณได้เลย
จบ ep ที่ 17 แล้วพบกัน EP สุดท้ายในวันพรุ่งนี้นะครับอย่าพลาดหนังสือเล่มนี้ดีมากพี่ซีจึงพยายามนำมาลงไว้ในบทนี้เพื่ออยากจะให้ทุกท่านได้อ่านแล้วนำไปปฏิบัติใช้ PC รู้สึกว่ามันใช้ได้ดีมากกับตัวของ PC เอง
หากท่านใดต้องการแลกเปลี่ยนความคิดพูดคุยกับพี่ซีได้กดที่ลิงค์นี้ครับ
โฆษณา