2 ส.ค. 2022 เวลา 10:23 • ประวัติศาสตร์
“อัสซีเรีย (Assyria)” อาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองในสมัยโบราณ
1
“จักรวรรดิอัสซีเรีย (Assyria)” เป็นจักรวรรดิโบราณที่เคยยิ่งใหญ่ และก่อร่างสร้างตัวมาในสมัย 1,000-700 ปีก่อนคริสตกาล
แต่อันที่จริง อาณาจักรแห่งนี้ดำรงอยู่มาตั้งแต่ยุค 2,000 ปีก่อนคริสตกาลแล้ว หากแต่เป็นเพียงการปกครองเมืองเล็กๆ ซึ่งปัจจุบันคือพื้นที่ของประเทศอิรัก และในเวลานั้น จักรวรรดิอัสซีเรีย ยังไม่ใช่ดินแดนมหาอำนาจ
ในเวลานั้น จักรวรรดิอัสซีเรียยังไม่มีกองทัพที่เข้มแข็ง ผู้คนต่างให้ความสำคัญกับการค้ามากกว่าการสงคราม
แต่ตั้งแต่ยุค 1,800 ปีก่อนคริสตกาลเป็นต้นมา จักรวรรดิอัสซีเรียก็ต้องเผชิญกับการรุกรานจากผู้รุกรานต่างดินแดน นั่นคือ “เมโสโปเตเมียตอนบน (Upper Mesopotamia)” ตามมาด้วย “บาบิโลน (Babylon)” และ “มิทานิ (Mitani)”
เมื่อราว 1,300 ปีก่อนคริสตกาล จักรวรรดิมิทานิได้พ่ายแพ้ต่อ “จักรวรรดิฮิตไทต์ (Hittites)” และจักรวรรดิอัสซีเรียก็ได้ใช้โอกาสนี้ในการปลดปล่อยตนเองเป็นอิสระ และพยายามจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ
1
ชาวอัสซีเรียได้ก่อร่างสร้างอาณาจักรของตน โดยเปลี่ยนจากสังคมการค้าที่สงบสุขไปสู่สังคมทหาร และดำเนินนโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าว เริ่มด้วยการเข้ายึดครองจักรวรรดิมิทานิ แย่งมาจากจักรวรรดิฮิตไทต์
4
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญได้มาถึงเมื่อ 911 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อกษัตริย์องค์ใหม่ “พระเจ้า Adad-Nirâri II” ขึ้นครองราชย์ และได้ออกนโยบายด้านการทหารใหม่ๆ
จากนั้น จักรวรรดิอัสซีเรียก็ได้ขยายออกไปกว้างใหญ่ กลายเป็นดินแดนขนาดใหญ่
ต่อมา เมื่อ 884 ปีก่อนคริสตกาล “พระเจ้า Ashurnasirpal II” กษัตริย์องค์ต่อมา ได้ทรงขยายดินแดนออกไปอีกด้วยการเข้ารุกรานเทือกเขาเลบานอนและชายฝั่งเมดิเตอเรเนียน
1
และในที่สุด 721 ปีก่อนคริสตกาล “พระเจ้า Sargon II” ก็ได้พิชิตอาณาจักรจูเดียได้ในที่สุด ซึ่งอาณาจักรจูเดีย ปัจจุบันก็คือดินแดนในประเทศปาเลสไตน์
2
สาเหตุที่จักรวรรดิอัสซีเรียประสบความสำเร็จ ก็มาจากการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยและน่าเกรงขาม สามารถบุกได้ทุกดินแดน
เมื่อราว 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นยุคเหล็ก (Iron Age) เหล็ก กลายเป็นวัตถุดิบหลักในการทำอาวุธและเครื่องมือ และจักรวรรดิอัสซีเรีย ก็ได้นำเหล็กมาทำอาวุธ
อีกทั้งในเวลาต่อมา กองทัพอัสซีเรียได้ขยายใหญ่ ชนชั้นสูงสามารถเรียกเกณฑ์ทหารได้ โดยกษัตริย์อัสซีเรียสามารถควบคุมทหารได้กว่า 100,000 นาย
อีกทั้งเหล่าทหารก็ได้รับการฝึกการใช้อาวุธอย่างชำนาญ มีการแบ่งหมวดหมู่เป็นอย่างดี โดยเป้าหมายคือการกำจัดศัตรูทุกๆ ทาง และห้ามแพ้
กองทัพอัสซีเรียนั้นเชี่ยวชาญในด้านการปิดล้อมเมือง โดยมักจะล้อมเมืองและสร้างป้อมปราการ หอคอยเคลื่อนที่เพื่อโจมตีตัวเมือง
701 ปีก่อนคริสตกาล “พระเจ้า Hezekiah “ กษัตริย์แห่งจูเดีย ได้ลุกขึ้นต่อต้านอัสซีเรีย ทำให้ “พระเจ้า Sennacherib” กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย ตัดสินพระทัยจะบดขยี้เมืองลาชิช (Lachish) เมืองหลวงของจูเดีย เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู อาณาจักรอื่นๆ จะได้ไม่กล้าขัดขืน
ทัพของพระเจ้า Sennacherib ประสบความสำเร็จในการปิดล้อมเมือง และสามารถเข้าเมืองได้ในที่สุด โดยประชาชนในเมืองจำนวนมากได้ถูกฆ่า ส่วนผู้ที่รอดชีวิตก็ถูกจับเป็นทาส
1
พระเจ้า Sennacherib ได้ทรงตั้งเมืองหลวงแห่งใหม่ที่นิเนเวห์ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำไทกริส ชานเมืองโมซูล
1
ทั้งเมืองมีคลองและวิหาร อารามต่างๆ เป็นจำนวนมาก โดยผนังของสิ่งก่อสร้างทั้งหลาย มีการวาดภาพการรบ สงครามต่างๆ รวมทั้งมีการสลักรูปการประหารนักโทษลงบนหิน เพื่อแสดงให้คนจากดินแดนอื่นซึ่งมาเข้าเฝ้ากษัตริย์อัสซีเรีย ให้เกรงกลัว ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นโพรพากันด้า (Propaganda) หรือโฆษณาชวนเชื่อยุคแรกๆ ก็ได้
พระเจ้า Sennacherib สวรรคตเมื่อ 681 ปีก่อนคริสตกาล โดยคาดว่าพระองค์ถูกพระราชโอรสปลงพระชนม์ ซึ่งในยุคนั้น การฆ่ากันเองในครอบครัวเพื่อชิงอำนาจ เป็นเรื่องปกติและมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จักรวรรดิอัสซีเรียตกต่ำลง
นอกจากนั้น จักรวรรดิอัสซีเรียยังต้องเผชิญภัยแล้ง ทำให้ประชาชนใช้โอกาสนี้ลุกขึ้นก่อกบฏ ทำให้อาณาจักรยิ่งอ่อนแอลงไปอีก
ข้าหลวงแห่งบาบิโลนได้ลุกขึ้นต้านกษัตริย์อัสซีเรีย โดยร่วมมือกับชาวมีเดส (Medes) ซึ่งเป็นกลุ่มคนในอิหร่าน ร่วมกันต้านกษัตริย์อัสซีเรีย
612 ปีก่อนคริสตกาล นิเนเวห์ได้พ่ายแพ้และตกเป็นของกองทัพบาบิโลนและมีเดส ทำให้จักรวรรดิอัสซีเรียถึงคราวล่มสลายในที่สุด
โฆษณา