Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
JINNPUURINN
•
ติดตาม
2 ส.ค. 2022 เวลา 17:00 • ไลฟ์สไตล์
เราจะจัดการกับอุปสรรค ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างไรดี
อุปสรรคนี้ส่วนใหญ่จะเป็นในเรื่องของการทำงานการพบปะผู้คนนะคะยังไม่ใช่อุปสรรคที่เกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ไว้โอกาสหน้า
เมื่อมีโอกาสจะบรรยายถึง
การจัดการอุปสรรคของความสัมพันธ์ของคู่รักค่ะ
สูดลมหายใจเข้าช้าๆ ลึกลึก และ
เริ่มอ่านบทความนี้ได้เลยค่ะ
ท่านผู้อ่านกำลังพบอุปสรรค บางอย่างในชีวิตอยู่ใช่ไหมคะ ท่านผู้อ่านพอจะทราบไหมคะว่า อุปสรรคที่เกิดขึ้นมานั้นเกิดมาจากอะไร ต้นเหตุที่เกิดน่ะคืออะไร หากท่านผู้ฟังยังไม่ทราบ ลองทบทวน ให้ตระหนักรู้ถึง ต้นเหตุของปัญหาแล้วจากนั้น ก็ค่อยๆ หาเหตุ และผลไปเรื่อย ๆ ดูสิคะ ไม่มีอะไรยากไปหรอกนะคะ
ถ้ายังไม่เห็นภาพอยากให้ท่านผู้อ่านได้เปิดใจ ลองทำตาม ขั้นตอนต่อไปนี้ดูค่ะ
1 ทบทวนดูว่า อุปสรรคที่เกิดขึ้น มันเกิดมาจากอะไร
อ๋อ แล้วก็อย่าลืมนะคะ ว่า ไม่ว่าใครก็อยากจะมีความสุข กันทั้งนั้น เพียงแต่ว่าความสุข อาจจะเป็นความสุขที่แท้จริงหรือ ความสุขจอมปลอมก็ได้ค่ะ
อย่างเช่นว่า
ต้นนเหตุของ
อุปสรรคคือ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ถูกขัดขวางอยู่ตลอด จะดีอยู่แล้ว แต่ทำไมนะ มันถึงต้องมีอุปสรรคตลอดเลย
แล้วต้นเหตุของปัญหาก็คือ การที่เราไม่ถูกยอมรับในสายตาของคนอื่นค่ะ
จากนั้นเราก็มาทบทวนดูว่า ทำไมเราถึงได้ ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น
ในสายตาของคนอื่นเราวางตัวยังไงคะ
จะมีคนบางประเภทที่ ถูกมองว่าแอ๊บ
หรือ เสแสร้ง วางตัวในสังคมได้น่าหมันไส้สุดๆ แปลกใช่ไหมคะ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว คนประเภทนั้นก็ไม่ได้ คิดร้ายกับใคร แต่การวางตัวของคนประเภทนั้นกลับทำให้คนหมันไส้มากๆ
อันนี้ อธิบายได้จาก เรื่องศีลอัน ไม่เสมอกันได้เลยค่ะ คนบางคน ขอแทนว่าเป็น เอ นะคะ เป็นคนที่จิตใจดีมีเมตตามีน้ำใจมากๆไม่ได้คิดร้ายกับใครเลย ให้เพราะอยากให้
ไม่ได้อยากได้อะไรตอบแทนแค่สิ่งที่ให้ไปเป็นประโยชน์ก็ดีใจแล้ว
แต่จะมีคนอีกประเภทหนึ่ง
ขอแทนว่า เป็น บี นะคะ ที่ จะทำอะไรให้ใครก็ตามจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอว่า ถ้าทำให้แล้วจะต้องได้กลับคืนมาเท่านั้นไม่งั้นไม่ให้ แน่ ๆ คือทำทุกอย่างหวังผลโดยทั้งสิ้น เลยอะค่ะ
อย่างถ้า มีสถาณการณ์ ว่า มีเพื่อนที่ทำงานคนหนึ่ง รถเสีย ขึ้นมา
คนประเภท เอ จะเข้าไปช่วยโดยไม่ได้คิดว่า คนที่รถเสียนั้น จะให้อะไรตอบแทนไหมมแค่อยากช่วยเฉยๆ ก็แค่ ต้องการให้เขา สบายใจมีความสุขก็พอแล้ว
แต่คนประเภท บี จะคิดก่อนเลยว่า ถ้าช่วยคนที่รถเสียแล้วได้อะไร ได้ผลตอบแทนคุ้มค่าพอที่จะช่วยไหม มีค่าพอให้ช่วยหรือเปล่า และไม่ได้สนว่าผลลัพธ์ของการช่วยคือการที่ทำให้เขา เกิดความสบายใจมีความสุขแต่สนเพียงว่า สิ่งที่ทำไปต้องได้กลับคืนมา หรือมากกว่านั้น ไหม
เลยคิดว่าคนที่มีจิตใจดีมีเมตตา ทำดีกับใครๆ เนี่ยทำดีหวังผลเหมือน บี ไปซะอย่างนั้นค่ะ
นั่นก็เพราะ ศีลของคนประเภท เอนั้น ไม่เสมอกับ คนประเภท บี ค่ะ
เรามีความมั่นใจไหม
ถ้าไม่มีเราก็ต้องสร้างความมั่นใจให้ตนเองค่ะ
คนบางคนเป็นคนที่เก่งมากมีศักยภาพมากแต่ดันไม่มีความสามารถในการสร้างความมมั่นใจของตนเองให้คนอื่นๆได้รับรู้ถึงความมั่นใจนั้น
แล้วมันก็ทำให้ คนอื่นๆไม่มั่นใจในตัวเราและขาดความเชื่อใจในเราไปซะอย่างนั้นค่ะ
เพราะ ฉะนั้น เราจะต้องดึงศักยภาพความเก่งออกมาให้คนอื่นได้รับรู้ ให้ตนเองมีความมั่นใจ เพื่อให้คนอื่น เกิดความเชื่อ ในให้ได้นะคะ
เราทำอะไรผิดใจสายตาคนอื่นอยู่หรือเปล่า ถ้ามีล่ะก็รีบเคลียร์ใจด่วนๆเลยนะคะ อย่าปล่อยทิ้งไว้ค่ะ ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะมีแต่พลังงานด้านลบนะคะ เพราะฝ่ายคนที่ไม่ชอบเรา เขาจะปล่อยพลังงาน ท็อกซิกมาใส่เรา
จนทำให้เรารู้สึก อึดอัดและไม่มีความสุขเท่าไหร่เลยค่ะ
ลองเปิดใจพูดคุยกันดีๆค่ะ แบบว่า แลกเปลี่ยนความคิด ลองถอยมาคนละก้าวค่ะ จะรู้ว่า ปัญหาจริงๆ มันคืออะไร
เพราะ อย่างที่ว่าค่ะ ทุกคนแสวงหาความสุข การที่เขา ไม่พอใจเรา มันจะต้องเป็น เพราะเราไปขัดความสุขของเขาในด้านใดด้านหนึ่ง แน่นอนเลย
แต่ เราอาจจะจะไม่รู้ก็ได้ เพราะงั้น เมื่อเราไม่รู้จึงต้องถามค่ะ คนเราสามารถสื่อสารผ่านการพูดและการกระทำค่ะ
การถามน่ะดีที่สุดค่ะ เพราะเราก็คงอ่านใจเขาไม่ได้หรอกจริงไหมคะ
แต่ก็จะมี นะคะ คนที่ปากไม่ตรงกับใจ คนแบบนี้ เราต้องสังเกตการกระทำค่ะ แบบว่า
เขาทำอะไรบ้าง เขาสนใจอะไร เขาชอบอะไร อะไรเป็นความต้องการของเขา
สืบเลยค่ะ สู้ๆนะคะ เพื่อขจัด ความท็อกซิก
อย่างสมมติว่า เรา มีปัญหากับคนที่ทำงาน แต่คนที่ทำงานทำเป็นแกล้งทำดีกับเรา
แต่ในใจเขาคือ ไม่ชอบเราเลยแกล้งเราลับหลังสารพัด
เพราะ เราดูเด่นกว่าเขา เก่งกว่าเขาในทุกด้าน แต่ในสายตาของเขาคือมองว่าเราด้อยกว่า ทั้งเป็นเด็กใหม่ ขาดประสบการณ์ อายุน้อยกว่าเป็นต้น
แต่เรากลับโดดเด่นกว่าเขาที่ทำงานในตำแหน่งนั้นมานานแล้ว
และเขาก็คิดว่า ถ้าไม่มีเรา เขาจะเก่งกว่า เขาจะเด่นกว่า เขาจะเป็นที่ 1
ก็เลยหาทางขัดขวางชีวิตเราที่จะได้ดี ทุกวิถีทาง อะไรแบบนี้
ทีนี้เรารู้แล้วว่าต้นเหตุคืออะไร เราก็ไปจัดการกับต้นเหตุเหล่านั้น ให้เรียบร้อย
(วงเล็บเลยยนะคะ )
ต้องจัดการอย่างมีสติ ใช้ปัญญา
อย่าใช้อารมณ์นะคะ
เพราะ โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ไม่โกรธดีกว่า จะได้ไม่บ้าไม่โง่นะคะ
สรุปนะคะ
ท่านผู้อ่านจะสามารถเอาชนะ อุปสรรคต่างๆ ได้จากความมุ่งมั่นและสติปัญญา
ขอเพียงคุณตระหนักรู้ในทุกสิ่งที่เผชิญแล้วคุณก็จะพบทางออกของอุปสรรคค่ะ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อยและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงนะคะ
ขอให้ท่านผู้อ่านพบแต่ความสุขนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป
และอย่าลืมว่าความสุขนั้นเริ่มได้ตั้งแต่วินาทีนี้นะคะ
เราสามารถควบคุม
หัวจิตหัวใจของเราบังคับให้มีความสุขแล้วหลีกเลี่ยงความทุกข์
โดยการขจัดปัญหาอุปสรรคออกไปแล้วมองหาแต่ความสุขกันเถอะค่ะ
สู้สู้นะคะจิ้นพุริ้นขอเป็นกำลังใจให้
ถ้าอยากจะจัดการกับอุปสรรคได้เราก็ต้องรู้ก่อนว่าอุปสรรคคืออะไรจากนั้นเราจึงจะแก้ปัญหาของต้นเหตุอุปสรรคนั้นและค่อยค่อยแก้ไปทีละปมจนครบ และ สุดท้ายอุปสรรคนั้นก็จะหายไป เพราะต้นเหตุของอุปสรรคนั้นไม่มีแล้วค่ะ
JINNPUURINNจิ้นพุริ้น
อุปสรรคที่เกิดขึ้นเป็นเพียงบทเรียนในการพัฒนาชีวิตให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นและอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างแข็งแกร่งนะคะ
JINNPUURINNจิ้นพุริ้น
JINNPUURINN
จิ้นพุริ้น
🤍
ที่จิ้นพุริ้นใช้ เป็นหัวใจสีขาวก็เพราะว่าสีขาวนั้นจะถูกแต่งเติมด้วยสีอะไรก็ได้
นั่นหมายความว่าเราสามารถควบคุมได้แค่ หัวใจของเราว่าจะใส่สีอะไรลงไป มันก็อยู่ตรงที่ เราเลือกค่ะ 🤍
ปรัชญา
ไลฟ์สไตล์
พัฒนาตัวเอง
1 บันทึก
2
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย